พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 431 ต้องได้
อากาศที่เมืองหลงกู่ในช่วงกลางเดือนแปดเริ่มหนาวเย็น
เสียงตีเหล็กดังออกมาจากภายในบ้านหลังเก่าทรุดโทรม
“หัวหน้าสวี เผาเกือกม้าใส่ให้ม้าแบบนี้แล้วมันจะวิ่งบนน้ำแข็งได้เร็วจริงหรือ”
ด้านนอกเพิงของร้านตีเหล็กธรรมดาแห่งหนึ่ง ทหารสองสามคน บ้างก็ยืน บ้างก็นั่งยอง เอ่ยถามคนที่กำลังง่วนอยู่ด้านในเพิง
“ใช่แล้ว” ชายด้านในเพิงที่ไม่สวมเสื้อท่อนบนเอ่ยตอบขณะกำลังยุ่งอยู่กับงานในมือ
“ถ้าอย่างนั้นฤดูหนาวปีนี้พวกข้าก็จะสามารถข้ามแม่น้ำเลี่ยงหม่าไปบุกเข้าฐานทัพของพวกโจรตะวันตกได้อย่างนั้นหรือ” เหล่าทหารถามพลางหัวเราะ
“ก็ต้องได้อยู่แล้ว” ชายคนนั้นเอ่ยตอบพลางยื่นมือรับเกือกม้าที่ช่างตีเหล็กยื่นให้ เขาพินิจมันอย่างละเอียดแล้วจึงโยนทิ้ง “หนาบางไม่เสมอกัน”
เหล่าช่างตีเหล็กหันไปก้มหน้าตีเหล็กต่อ
ส่วนชายผู้นั้นเดินไปนั่งคุกเข่าลงด้านหน้าม้าตัวหนึ่งที่ถูกผูกอยู่ เขายกขาม้าขึ้นอย่างคล่องแคล่ว มือหนึ่งดึงแผ่นไม้เข้ามาแล้ววางกีบม้าลง อีกมือหนึ่งช้อนเหล็กที่ถูกเผาจนร้อนขึ้นมา
ถึงแม้ยามนี้ม้าของกองทัพจะใส่เกือกม้ากันเกือบทุกตัวแล้ว และทุกคนต่างก็เห็นเกือกม้ากันจนคุ้นเคย แต่คนที่เคยเห็นม้าถูกตีเกือกใส่ต่อหน้านั้นมีไม่มากนัก ทหารบางนายถึงกับอดไม่ได้ ร้องขึ้นด้วยความหวาดเสียว
“เจ็บแค่ไหนกัน..” คนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
สวีซื่อเกินเงยหน้าขึ้นมอง เห็นทหารเด็กอายุราวสิบสี่หรือสิบห้า ร่างผอมบาง ใบหน้าซีดขาว ชุดทหารที่สวมใส่ดูใหญ่เกินตัว แต่ดวงตาเขาสดใสและตื่นเต้นนัก เหมือนกับตอนที่พวกเขาได้เป็นทหารและใส่ชุดทหารเป็นครั้งแรก
“ไม่เจ็บหรอก ครู่เดียวเอง” เขาตอบพลางหัวเราะ ข้างหนึ่งเพิ่งจะใส่เกือกม้าเสร็จ อีกข้างหนึ่งก็วางแท่นเหล็กลงแล้วหยิบพลั่วขึ้นมาแก้ทรงเกือกม้าเรียบร้อยแล้ว ชั่วพริบตาเดียวเกือกม้าทั้งสี่ก็ถูกใส่จนเสร็จเรียบร้อย
“ใต้เท้าสวีฝีมือดีเสียจริง” ทุกคนพากันชื่นชม
สวีซื่อเกินเผยยิ้มพลางลุกขึ้นยืน
“ใช่แล้วใต้เท้าสวีฝีมือดีเสียจริง”
เสียงประหลาดดังขึ้นมาจากด้านนอก
รอยยิ้มบนใบหน้าสวีซื่อเกินหุบลงในทันใด ทุกคนต่างหันกลับไปมอง เห็นแม่ทัพสองสามนายกำลังเดินเข้ามา
พวกเขาเป็นคนจากศาลาว่าการ เหล่าทหารผู้น้อยจึงพากันก้มหน้าแล้วถอยจากไป
“ใต้เท้าสวี” หนึ่งในแม่ทัพเอ่ยขึ้น เน้นย้ำเสียงคำว่าใต้เท้า “ดูท่าท่านจะทำงานที่นี่อย่างมีความสุขดี”
“ข้ามิได้สวมใส่ชุดขุนนาง คงไม่สามารถคำนับทุกท่านตามธรรมเนียมได้” สวีซื่อเกินเอ่ย “นี่เป็นงานในความรับผิดชอบของข้า”
งานในความรับผิดชอบ
สวีซื่อเกินเป็นหัวหน้าผู้ดูแลเรื่องม้าของกองทัพ ที่จริงก็ไม่ถึงขั้นว่าจะต้องมาเผาเกือกม้าด้วยตนเอง แต่เขาถูกลงโทษให้มาทำ
“สวีซื่อเกิน” แม่ทัพคนหนึ่งตะโกนขึ้น สีหน้าเคร่งขรึม “พวกข้าไม่ได้มาคุยเรื่องไร้สาระกับเจ้า ไหนบอกมาสิว่าช่วงนี้เจ้าทำร้ายม้าของทหารไปแล้วกี่ตัว”
สวีซื่อเกินส่งเสียงอืม
“ยี่สิบห้าตัว” เขาเอ่ยตอบ
“เจ้ายังมีหน้าพูดออกมาอีก!” แม่ทัพอีกคนหนึ่งตะคอกพลางก้าวเท้าขึ้นมาถลึงตาใส่เขา “ให้เจ้าดูแลเรื่องม้าของทหาร ไม่ได้ให้เจ้ามาทำร้ายม้าของทหาร!”
“ไม่ควรเรียกว่าทำร้าย พวกข้าได้ตีเกือกม้าเหล็กที่ดีที่สุดออกมาแล้ว” สวีซื่อเกินกล่าว “ฤดูหนาวปีนี้ ม้าของทหารเราก็จะสามารถวิ่งได้เร็วขึ้นและไกลขึ้น ม้ายี่สิบห้าตัวแลกมาด้วยชีวิตพวกโจรตะวันตกอีกมากมาย คุ้มค่าแล้ว”
แม่ทัพหันมองหน้ากัน
มันคงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ เกือกม้าที่คนผู้นี้ทำออกมามันมีประโยชน์จริงๆ ถึงแม้เมื่อก่อนตอนไม่มีเกือกม้าก็สามารถฆ่าศัตรูเอาชัยชนะมาได้ แต่บัดนี้เมื่อมีเกือกม้าก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร เพราะหากม้าบาดเจ็บน้อยลง ทุกคนก็จะมีม้าใช้กันอย่างครบถ้วนยิ่งขึ้น
ถ้าเป็นเรื่องเกือกม้า เขามีความมั่นใจมาก ในขณะที่แม่ทัพพวกนี้ไม่มี
“ตั้งใจทำงานอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน” แม่ทัพทิ้งประโยคสุดท้ายไว้แล้วหันหลังเดินกลับไป
สวีซื่อเกินไม่ได้สนใจ ยังคงทำงานในมือต่อไป
เมื่อเดินถึงประตู แม่ทัพคนหนึ่งนึกอะไรขึ้นได้จึงหันกลับมา
“สวีเม่าซิว” เขาตะโกนขึ้น
สวีซื่อเกินหยุดมือ ร่างกายแข็งทื่อ
แม่ทัพคนนั้นหัวเราะร่า
“ขอโทษด้วย ขอโทษด้วย ชื่อพวกเจ้าคล้ายกันเกินไป ข้าจึงเรียกผิด” เขากล่าว “แต่ข้าจำสวีเม่าซิวได้แม่นเลยนะ เพิ่งเคยเห็นคนตายในสนามรบเพราะตัวเองไร้ความสามารถแต่กลับมาเรียกร้องรางวัลแบบนี้ ถ้าจะพูดแบบนี้ศพทหารที่นอนกองอยู่นอกเมืองหลงกู่ต้องลุกขึ้นมาอีกกี่คน…”
สวีซื่อเกินกำพลั่วเหล็กในมือไว้แน่นจนเส้นเลือดปูด
แม่ทัพยังคงพูดต่อ
“…ข้าก็แค่ไม่ชินกับคนไร้ประโยชน์แบบนี้…”
สวีซื่อเกินยกขาขึ้นทันที
เสียงคำรามดังขึ้นจากภายในบริเวณบ้าน ทุกคนยังไม่ทันมองเห็นว่าเป็นใคร แม่ทัพก็ถูกเตะลอยออกไปแล้ว
แต่ยังทันไม่จบ เขาก็โผเข้าไปปล่อยหมัดอย่างบ้าคลั่ง
บริเวณเรือนเกิดความวุ่นวายขึ้นในทันใด
โชคดีที่พวกเขาถูกจับแยกกันอย่างรวดเร็ว หน้าแม่ทัพผู้นั้นถูกต่อยจนเลือดออกมุมปาก จมูก และตา เขายกมือขึ้นเช็ดเลือด แล้วคำรามขึ้นทำท่าจะโผเข้าไปในทันที แต่กลับถูกอีกสองสามคนห้ามไว้
อีกฝั่งหนึ่ง หลิวขุยซึ่งถูกคนลากไว้ก็มีแผลบนใบหน้าเช่นกัน
“เข้ามาสิ ไอ้สวะ ข้าจะต่อยเจ้าให้ยับไปเลย” เขาตะโกนขึ้น
แม่ทัพยังคงคำรามต่อเนื่อง
“ทหารสู้กันเองแบบนี้ไม่ดีหรอก”
“จะมาก่อเรื่องกับเจ้านี่ไม่ได้นะ”
“มันไม่สนใจอนาคต ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรมแล้ว พวกเราจะเป็นเหมือนมันไม่ได้”
ทุกคนห้ามไว้ไม่ปล่อยขณะหันไปมองหลิวขุย
หลิวขุยหนวดเครายาวรุงรัง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ สีหน้าเมามาย ดวงตาฉ่ำเยิ้ม เมื่อเห็นทุกคนมองมา ก็ทำท่าเตรียมสู้
ทุกวันนี้เขาเมาเหล้าก่อเรื่องในกองทัพจนไม่คิดว่าตัวเองเป็นทหารแล้ว เบื้องบนได้แจ้งตระกูลหลิวแล้วว่าอีกไม่กี่เดือนจะส่งตัวเขากลับไป กลับไปคราวนี้จะไม่เหมือนคราวก่อนที่ไปทำงานลาดตระเวนถนนในเมืองหลวง แต่เป็นการกลับไปอยู่บ้านเฉยๆ รอแก่ตาย
การถูกขับไล่ออกจากกองทัพถึงสองครั้งคงทำให้เขาถูกคนในครอบครัวไล่ออกจากบ้าน ทั้งยังมองว่าเป็นคนไร้ประโยชน์เช่นกันแน่นอน
“หากข้าใช้หมัดตัวเองต่อยสวะอย่างเจ้า ก็คงจะเป็นเรื่องน่าอาย” แม่ทัพทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ด้วยความโกรธเคืองก่อนจะถูกคนอื่นลากออกไป
“ไอ้สวะ หมัดของเจ้าใช้ต่อยได้แค่คนของตัวเองเท่านั้นแหละ” หลิวขุยตะโกนขึ้นพลางกัดฟันหันมองคนกลุ่มนั้น “ข้าจะรอ รอให้เจ้ามาต่อยข้า!”
แม่ทัพจากไปแล้ว ผู้คนยืนล้อมรอบหลิวขุยพลางชี้นิ้วไปที่เขา
หลิวขุยยกมือเช็ดเลือดที่ไหลออกจากจมูกหน้าตาเฉย
“มองอะไรกัน ไม่เคยเห็นคนต่อยกันหรือไง ถ้ายังมองอีกข้าจะต่อยพวกเจ้าแทน!” เขาตะโกนขึ้น
ผู้คนที่ยืนมุงอยู่เบะปาก ทำสีหน้าดูถูก แล้วเดินจากไป
“คนบ้า…”
“คนวิกลจริต…”
“เศษสวะ…”
เสียงซุบซิบยังคงลอยมา
หลิวขุยไม่สนใจ เขาก้มหน้าหันซ้ายขวามองไปที่พื้น แล้วจึงโผเข้าใส่ขวดเหล้าน้ำเต้าราวกับเจอของรัก เขายกน้ำเต้าขึ้น เปิดฝาออกด้วยความดีใจแล้วดื่มเข้าไปอึกใหญ่ เหล้าหกออกจากมุมปาก ผสมกับเลือดบนใบหน้าไหลลงมา
สวีซื่อเกินวางพลั่วเหล็กในมือลงแล้วเดินเข้าไป
“เจ้านี่มันช่างไร้ประโยชน์เสียจริง” เขากล่าว
“เป็นคนไร้ประโยชน์ก็ไม่เลวนะ” หลิวขุยเอ่ยตอบพลางถลึงตาใส่เขา “จริงด้วย ข้าคงเทียบกับท่านใต้เท้าสวีไม่ได้ ก้มหน้าก้มตาตั้งใจทำงาน รอวันเลื่อนตำแหน่งร่ำรวย”
สวีซื่อเกินยื่นมือไปแย่งขวดเหล้าน้ำเต้าของเขามาแล้วปาลงพื้น
ขวดเหล้าน้ำเต้าแตกออก เหล้าที่อยู่ด้านไหลออกมาทุกทิศทาง
“สวีซื่อเกิน เจ้าบ้าไปแล้ว!” หลิวขุยคำรามพลางกระโดดขึ้นมาจับตัวสวีซื่อเกิน
ขณะนั้นเอง เสียงวุ่นวายก็ดังขึ้นจากด้านนอก เป็นเสียงม้าวิ่งด้วยความเร็วสูง
“ข่าวด่วนจากเมืองหลวง”
เขาหันหลังกลับไปในทันใด
ข่าวด่วนจากเมืองหลวงหรือ
สวีซื่อเกินใบหน้าแข็งทื่อในทันใด เขารีบผลักหลิวขุยออกอย่างแรงแล้วพุ่งตัววิ่งตามออกไป จนกระทั่งม้าส่งข่าวด่วนพุ่งเข้าไปในโถงว่าการ เขาถึงหยุดยืนหอบอยู่ข้างถนน สายตายังคงจดจ้องไปทางโถงราชการ
“เจ้าทำใจยอมแพ้เสียเถิด”
เสียงหลิวขุยดังขึ้นจากด้านหลัง
“คราวก่อน คราวก่อนเจ้าก็วิ่งตามมาแบบนี้ แล้วมันเป็นอย่างไร ไม่มีอะไรเลยอย่างไรเล่า! เขาก็ยังใช้ชีวิตเสพสุขอยู่อย่างนั้น”
“ไม่แน่หรอก ไม่แน่หรอก” สวีซื่อเกินเอ่ยพลางส่ายหน้า
“ไม่แน่หรอก ไม่แน่หรอก คราวก่อนเจ้าก็พูดแบบนี้!” หลิวขุยตะคอกใส่ “ไม่มีทางเป็นจริงได้หรอก ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น!”
“ไม่แน่หรอก ไม่แน่หรอก” สวีซื่อเกินยังคงพึมพำพลางส่ายหน้า สีหน้ามุ่งมั่น
ไม่แน่หรอก!
ไม่แน่หรอก!
“นายท่านสี่ นายท่านสี่”
เสียงดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับเสียงฝีเท้าม้า
สวีซื่อเกินหันกลับไป ในใจรู้สึกเหลือเชื่อ เห็นม้าตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
นี่คือภาพที่เห็นในฝันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ครั้งนี้เป็นเรื่องจริงใช่ไหม มีคนมาแล้วจริงๆ ใช่ไหม สำเร็จแล้วใช่ไหม
“นายท่านสี่ จดหมายจากนายใหญ่” ผู้มาเยือนลงจากหลังม้าพลันยื่นจดหมายให้
สวีซื่อเกินกลืนน้ำลาย ยื่นมือออกไปด้วยความลังเล แล้วหยิบจดหมายมาเปิดด้วยมืออันสั่นเทา
ฟ่านเจียงหลินอ่านหนังสือไม่ค่อยออก สวีซื่อเกินก็เช่นกัน ดังนั้นสองพี่น้องจึงรู้ดีว่าต้องเขียนจดหมายอย่างเรียบง่ายชัดเจน จดหมายทั้งฉบับมีคำอยู่เพียงคำเดียว
พูด
พูด
พูดได้แล้ว
สามารถพูดได้
ต้องพูดแล้ว
สวีซื่อเกินถือจดหมายไว้ในมือ แผ่นหลังที่เคยยืดตรงมาตลอดเริ่มโค้งงอ เขารู้สึกเจ็บปวดจนต้องใช้มือทาบอก
เขาคิดไว้อยู่แล้ว คิดอยู่แล้วว่าต้องทำได้ น้องสาวต้องทำได้
“พูด หมายความว่าอย่างไร”
ด้านในโถงว่าการ เจียงเหวินหยวนมองดูจดหมายในมือด้วยสีหน้าตกตะลึง
“ใต้เท้า นี่คือเรื่องที่ท่านต้องตอบ” ทหารนายหนึ่งเอ่ยขึ้น
เพิ่งจะพูดจบเจียงเหวินหยวนก็ฟาดจดหมายลงโต๊ะ
“ให้ข้าตอบอะไร ข้ามีอะไรให้ตอบหรือ!” เขาตะคอกใส่ “ให้รางวัลและลงโทษได้ไม่ชัดเจน ทุจริตและฉ้อฉลรางวัล อีกทั้งยังปิดบังราชสำนักงั้นหรือ ข้าหรือ ข้าต้องตอบแบบนี้หรือ หมายความว่าอย่างไรกัน”
ทหารนายนั้นถูกตะคอกใส่จนตัวสั่น
“หมายความว่าฝ่าบาททรงรับคำร้องที่หลูเจิ้งร้องเรียนไม่ไว้วางใจใต้เท้าแล้ว ฝ่าบาทต้องการสอบสวนเรื่องของคนทั้งห้าจากเขาเม่าหยวนซานอย่างละเอียด”
เขายังคงก้มหน้าแล้วเล่าสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้บอกต่อออกมาอย่างตะกุกตะกัก
เรื่องของคนทั้งห้าจากเขาเม่าหยวนซาน!
เจียงเหวินหยวนถลนตาใส่ทหารตรงหน้า ราวกับอยากจะกลืนกินเขาเข้าไป
“เรื่องของคนทั้งห้าจากเขาเม่าหยวนซานคืออะไร เกี่ยวอะไรกับข้า!” เขาตะโกนขึ้น
“ใต้เท้า บนจดหมายบอกว่าเป็นเรื่องของพวกฟ่านสือโถว สวีเม่าซิว…” เสมียนคนหนึ่งกระซิบตอบ “ใต้เท้า พวกเขาทำให้เป็นเรื่องใหญ่แล้วจริงๆ ”
คนพวกนั้นหรือ
เจียงหยวนเหวินหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งจึงนึกออกว่าเป็นเรื่องอะไร เขาแทบจะไม่อยากเชื่อ ยื่นมือไปดึงจดหมายมาอ่านอีกครั้ง
“…นักรบห้านายแห่งเขาเม่าหยวนซานเสียชีวิตจากการปกป้องเมือง เป็นผู้จงรักภักดี… คนหนุ่มเดือดดาล ชาวบ้านโกลาหล…อาลัยห้าคนเสียชีวิตในสนามรบแต่กลับไม่มีผลงาน...เจียงเหวินหยวนดื้อรั้นไม่เห็นอกเห็นใจ…ปิดบังฝ่าบาท…หากพวกเจียงเหวินหยวนปิดบังความจริง หลอกลวงฝ่าบาท จะปล่อยไว้ไม่ได้เด็ดขาด…”
เมื่ออ่านถึงตรงนี้เขาก็ทนอ่านต่อไม่ไหว ฟาดจดหมายลงบนโต๊ะอย่างโกรธเคือง
“หลูเจิ้ง! ข้าต้องจัดการมันให้ได้!” เขาตะโกนขึ้น
“ใต้เท้า ตอนนี้เรื่องสำคัญไม่ใช่หลูเจิ้งหรอก แต่เป็นเรื่องห้าคนนั้น” เสมียนรีบเอ่ย
ห้าคนนั้น…
เจียงเหวินหยวนเดินวนไปมาในห้องโถง
“ได้ เก่งนักใช่ไหมถึงกล้าส่งเรื่องไปถึงเมืองหลวง…” เขาพูดพลางหอบด้วยความโกรธ
ใต้เท้า ท่านจะต้องเสียใจ
เสียงชายหนุ่มดังขึ้นในหูเจียงเหวินหยวน เขาหยุดฝีเท้าในทันใดพลางมองไปตรงกลางห้องโถง ราวกับเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งมองมาจากตรงนั้น ใบหน้าดื้อรั้น
ใต้เท้า ท่านจะต้องเสียใจ
เจียงเหวินหยวนยกขาขึ้นถีบโต๊ะข้างๆ จนล้ม
“ไอ้คนตระกูลโจว!” เขาตะโกน “พวกเจ้ายื่นคำร้องไม่ไว้วางใจได้ แล้วคิดว่าข้าจะตอบโต้ไม่ได้งั้นหรือ”
การกล่าวหาและยื่นคำร้องไม่ไว้วางใจยังรุนแรงกว่านี้ได้อีก เจียงเหวินหยวนเดินมาถึงทุกวันนี้ได้ก็ผ่านเล่ห์เหลี่ยมทุกรูปแบบมาหมดแล้ว ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมเยี่ยงหญิงสาว
มาดูกันว่าสุดท้ายแล้วผู้ใดจะต้องเสียใจภายหลัง!