พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 445 โปรดบอก (2)
คำพูดนั้นล้วนแต่เป็นความสัตย์จริง ฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยคำใด
“ตอนนั้นกระหม่อมปฏิเสธคำร้องของแม่นาง ในใจก็หม่อมทั้งรู้สึกผิดทั้งยังเสียใจ ต่อมาแม่นางออกจากเมืองหลวงไป กระหม่อมเองก็ไม่มีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณนางอีกเลย”
“นึกไม่ถึงเลยว่าสองปีให้หลังนางจะกลับมาเมืองหลวงอีกครั้ง พอมาถึงก็มาร้องขอความช่วยเหลือจากกระหม่อมในทันที”
“แต่คราวนี้ กระหม่อมก็ไม่อาจช่วยเหลือได้เช่นกัน…”
“พอกระหม่อมรู้ว่านางยื่นหนังสือร้องเรียน ตอนนั้นก็รู้สึกตกใจนัก เรื่องนี้ไม่อาจมองข้ามได้ แต่เพราะไม่รู้จะทำเช่นไร จึงได้สั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปสืบความจากกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือ คิดว่าจะค่อยๆ สืบไป แต่สุดท้ายหลูเจ้ากลับใจกล้าเอ่ยปากถามขึ้น ต่อมาจึงได้เกิดเรื่องนี้ จนเรื่องถึงหูฝ่าบาท”
“ฝ่าบาท ครั้งนี้กระหม่อมไม่เพียงแต่ไม่ช่วยเหลือแม่นางในการยื่นคำร้อง แต่ยังขัดขวางไม่ให้นางยื่นคำร้องอีกต่างหาก ฝ่าบาทกำหนดโทษแม่นางผู้นั้นว่ากุข่าวลือ ร้องเรียนเรื่องเท็จ แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะกระหม่อมบีบบังคับให้นางต้องทำเช่นนั้น จนนางต้องก่อเรื่องบานปลายใหญ่โตไปทั่วทั้งแผ่นดิน ว่ากันตามตรงแล้ว ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเพราะกระหม่อม”
เฉินเซ่าเอ่บพลางหยิบสาส์นฉบับหนึ่งออกมาพลางโค้งคำนับแล้วชูขึ้นเหนือศีรษะ
“กระหม่อม ขอลาออกพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย
ลาออกอย่างนั้นหรือ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องและองค์ชายใหญ่มองมา คราวนี้แม้แต่จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด
ขุนนางราชสำนักลาออกนั้นเห็นได้บ่อยนัก อย่างเช่นเวลาทูลขอสิ่งใดแต่ฮ่องเต้ปฏิเสธ ก็มักจะเง้างอนไม่พอใจ หรืออย่างเช่นยามถูกกรมขุนนางท้าทาย หรือว่ายามต้องการเลื่อนตำแหน่ง รวมถึงยามสารภาพผิด ไม่ว่าเรื่องใดก็มักจะยื่นเรื่องขอลาออกทั้งนั้น
แน่นอนว่าการลาออกเช่นนี้ก็ทำไปพอเป็นพิธีเท่านั้น
ทว่าตั้งแต่เฉินเซ่าเข้าราชสำนักมาก็ไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน อย่าว่าแต่ขอลาออกเลย แม้แต่ยามที่ถูกกรมขุนนางยื่นคำร้องไม่ไว้วางใจ เขายังไม่เคยสละตำแหน่งตามธรรมเนียมเลยสักครั้ง
ตอบแทนผู้มีพระคุณ ทุ่มกายใจเพื่อบ้านเมือง ไม่ละทิ้งตำแหน่งหน้าที่
เดิมทีที่ราชสำนักเรียกเขามาในยามนี้ก็เพื่อหาทางเจราจา คำพูดที่เฉินเซ่าได้บอกกับฮ่องเต้ไป ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขากระทำมาตลอดหลายปี เขาซื่อตรงดั่งเหล็กกล้า ไม่เคยประนีประนอมกลับผู้ใดหากเป็นเรื่องของแผ่นดิน
สีหน้าของฮ่องเต้ดูผ่อนคลายลง เขาถอนหายใจ มองดูเฉินเซ่าที่โค้งคำนับอยู่เบื้องหน้า ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าขุนนางผู้มีความมุ่งมั่นล้นปรี่ผู้นี้ เส้นผมทั้งสองข้างเริ่มกลายเป็นสีขาวแล้ว
“เพียงแต่ก่อนลาออก กระหม่อมขอฝ่าบาทให้ความเห็นชอบต่อรางวัลนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่ทัพตะวันตกเฉียงเหนือ หรือว่าเรื่องนี้ อย่างน้อยก็ล้วนแต่มีพยานหลักฐานยืนยันเพียงพอที่จะพิจารณาได้ ฝ่าบาทเองก็รับปากนางแล้วด้วย กระหม่อมนั้นเพียงแค่ทำตามพระประสงค์ ไม่ได้ฝ่าฝืนกฎใด และในที่สุดก็ได้ตอบแทนบุญคุณแก่แม่นางบ้าง แม้จะน้อยนิดก็ยังดี ทั้งยังไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง ไม่ขัดต่อคำสั่งของฝ่าบาทด้วย” เฉินเซ่าเอ่ยแล้วโค้งคำนับอีกหน
ฮ่องเต้จ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบสาส์นบนโต๊ะแล้วเปิดออก
จากนั้นไม่นาน เรื่องที่เฉินเซ่ายื่นหนังสือลาออกก็แพร่ไปทั่วสารทิศ
“อดทนรอไม่ไหวจนตัวสั่นราวกับสุนัขมิปาน แม้แต่ละครตบตาอย่างยื่นเรื่องลาออกก็เอามาใช้!”
เกาหลิงปอแค่นหัวเราะ “รู้อยู่แล้วว่าศึกใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น หากเปลี่ยนแม่ทัพจะทำให้จิตใจของทหารสั่นคลอน ยังกล้าดีเอาประโยชน์ของประเทศและราชสำนักมาข่มขู่ฝ่าบาทอีก”
“ใต้เท้า ดูเหมือนว่าที่เขาเรียกร้องจะมิใช่เรื่องทัพตะวันตกเฉียงเหนือ” ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งเอ่ย “แต่เป็นรางวัลของเหล่าพี่น้องจากเขาเม่าหยวนซาน”
เกาหลิงปอชะงักไป
“เรื่องนี้อย่างนั้นหรือ” เขาถามก่อนจะส่งเสียดฮึดฮัดออกมา “เป็นไปได้อย่างไร ยามนี้ยังจะมาห่วงเรื่องแบบนี้อยู่อีกหรือ”
“เป็นเรื่องนี้จริงๆ ขอรับ ฝ่าบาทก็เห็นชอบแล้วด้วย” ผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ย
เฉินเซ่าต้องการจะทำอะไรกันแน่
เกาหลิงปอขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า เพราะสัมผัสได้ว่าช่วงนี้เฉินเซ่าทำตัวแปลกพิลึกนัก ยิ่งตำแหน่งสูงขึ้น ยิ่งได้พบปะกับเขามากขึ้น แต่กลับรู้สึกเหมือนห่างเหินมากกว่าเคย ราวกับไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันเหมือแต่ก่อน
นี่น่ะหรือที่เรียกว่ายิ่งเข้าก็จะยิ่งไม่เข้าใจ
“คงคิดว่าเรื่องนี้ตนต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แน่ แถมฝ่าบาทยังสงสัยว่าเขากับแม่นางเฉิงมีวางแผนสมรู้ร่วมคิดกัน เช่นนั้นแล้วสู้ไปสารภาพกับฝ่าบาทตามตรงว่าสมรู้ร่วมคิดกัน บางทีอาจจะถือโอกาสอธิบายเรื่องที่ตัวเองเคยทำไว้ในอดีต ให้ฝ่าบาทได้หายเคลือบแคลงใจเขา” เสนาทหารผู้หนึ่งเอ่ย
เพียงเพราะเหตุนี้น่ะหรือ
เกาหลิงปอลูบเคราไม่เอ่ยคำใด
เขาไม่อาจสงบจิตสงบใจได้เลย เฉินเซ่าเล่นมาไม้นี่ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบโต้เช่นไร โชคดีที่สวรรค์ยังเข้าข้างเขา
“ใต้เท้า ศึกคราวนี้ไม่ใช่สู้กันแค่กำลังพล หากสั่งว่าห้ามรบก็จะไม่รบอย่างนั้นหรือ ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็คงไม่ทำการใดให้สั่นคลอนจิตใจทหารในยามนี้เป็นแน่ โจวเฟิ่งเสียงก็ดี เฉินเซ่าก็ดี ล้วนแต่ไม่มีกำลังทัดทาน” เสนาทหารเอ่ย
ว่ากันตามหลักแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง
เกาหลิงปอพยักหน้า
“จับตาดูเขาให้ดี” เขาเอ่ยก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเสริมต่อ “แล้วก็เด็กบ้าเจียงโจวนั่นด้วย”
เด็กบ้าเจียงโจวทำให้เกาหลิงปอหวาดหวั่นได้ แถมยังอยู่ในระดับเดียวกันกับอำมาตย์เฉินอีกต่างหาก ผู้ใดจะไปเชื่อกัน
เสนาทหารคิดในใจก่อนจะขานรับ
“…ชาวเมืองนับร้อยคอยปกป้องป้อมหลินกวานจากศัตรู ยืนหยัดไม่ท้อถอย ต้านทานจนสิ้นแรง สละชีพตนเพื่อผู้อื่น ภักดีไม่เสื่อมคลาย สมควรมอบเงินชดเชยพิธีศพให้แก่ครอบครัว…”
ภายในเรือนสะพานอวี้ไต้ ขุนนางจากราชสำนักกำลังนั่งอ่านข้อความในราชโองการที่ถืออยู่ในมือ
“…ให้ฟ่านสือโถว สวีเม่าซิว สวีล่าเย่ว์ ฟ่านซานโฉ่ว สวีปั้งฉุยได้รับตำแหน่งแม่ทัพ ฟ่านเจียงหลินให้รับตำแหน่งเตี้ยนซื่อ องครักษ์ฝ่ายใน ลูกชายของสวีปั้งฉุยให้ได้รับตำแหน่งขุนนางขั้นสาม”
เหล่าชาวเมืองที่มีมุงดูอยู่ได้ยินดังนั้นก็ถกเถียงกันเซ็งแซ่ พลางมองดูเด็กทารกน้อยในอ้อมอกของหญิงนางหนึ่ง
ทารกน้อยผู้นี้ได้กลายเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นไปแล้ว แม้จะเป็นชั้นผู้น้อยสุด แต่หากเทียบกับการที่พ่อของเขาแลกตำแหน่งนี้มาด้วยชีวิตนั้น ช่างดูง่ายดายเสียเหลือเกิน
ครั้งนี้ฮ่องเต้ช่างมีเมตตานัก
“เห็นได้ว่าฝ่าบาทนั้นมีจิตเมตตา ผู้ทำคุณุปการย่อมต้องได้รับรางวัล ผู้ประพฤติมิชอบย่อมต้องได้รับการตรวจสอบ เพียงแต่ยามนั้นความจริงถูกปิดบัง ท้าทายปัญญาของพระองค์”
พอได้ยินชาวเมืองถกเถียงกันเรื่องราชโองการ เหล่าขุนนางเองก็โล่งใจ ทว่ากลับไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด
ยามนี้ไม่ใช่เวลาจะมาสนใจเรื่องนี้ ฮ่องเต้กำลังเคร่งเครียดกับเรื่องทางตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ หากคราวนี้ทำการไม่รอบคอบอีก คงไม่ใช่แค่ถูกชาวเมืองหัวเราะเยอะเย้ยเสียแล้ว เกรงว่าเหล่าขุนนางจะอาละวาดกันยกใหญ่ ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนพากันไปร้องห่มร้องไห้ขอรับผิดหน้าหลุมศพบรรพบุรุษตนก็เป็นได้
ขุนนางยื่นราชโองการในมือให้แก่ฟ่านเจียงหลินที่ก้มหัวคำนับขอบคุณอยู่บนพื้น เขากล่าวคำพูดตามแบบแผนอีกสองสามประโยคก็พาคนกลับไป
พอเหล่าขุนนางกลับไป บรรดาชาวเมืองก็แห่เข้ามายินดี
สาวใช้ที่เตรียมตะกร้าเงินไว้สองใบตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว ก็เรียกบ่าวให้มายกออกไป
“ขอบคุณพี่น้องชาวเมืองทั้งหลาย” นางเอ่ยขึ้น เหล่าบ่าวก็ช่วยกันแจกจ่ายเงิน
หน้าประตูเรือนสะพานอวี้ไต้คึกครื้นขึ้นมาในทันใด
ขณะเดียวกัน เรือนไท่ผิง เรือนนางฟ้า และอี๋ชุนถังที่ทราบข่าวแล้วก็เริ่มแจกเงินที่หน้าร้านเช่นกัน บนถนนเริ่มแน่นขนัดไปด้วยผู้คนและเสียงวุ่นวาย
แม้ด้านนอกจะครื้นเครงเพียงใด แต่ฟ่านเจียงหลินและพวกพ้องนั้นไม่ได้สนใจเลยสักนิด พวกเขานั่งอยู่กลางห้องโถง มองดูหนังสืออวยยศและราชโองการที่วางอยู่เบื้องหน้า ดวงตาแดงก่ำของฟ่านเจียงหลินพลิกดูหนังสือนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ภรรยาที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ร้องไห้ไม่หยุด
“น้องสาว ข้าจะไปที่หลุมศพของพวกเขา บอกข่าวดีให้พวกเขาดีใจเสียหน่อย” ฟ่านเจียงหลินชูหนังสืออวยยศในมือแล้วเอ่ยขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงที่นั่งอยู่ด้านข้างได้แต่ส่ายหน้า
“ยังไม่ต้องรีบร้อนหรอก” นางเอ่ย “แค่นี้ยังไม่พอ”
ยังไม่พออย่างนั้นหรือ
ฟ่านเจียงหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ท่าทางดูสงสัย
“ท่านพี่ ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าอยากทำอะไรต่อจากนี้” เฉิงเจียวเหนียงถามต่อ
ฟ่านเจียงหลินสติหลุดลอยไป
ตั้งแต่บาดเจ็บ แม้จะไม่กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันนัก แต่จะให้เขาง้างธนูสามฉือ ยิงธนูติดต่อกันสิบดอก ยกดาบฟาดฟันทะลุเกราะศัตรูเหมือนแต่ก่อนก็คงไม่ได้แล้ว อย่างมากก็คงทำได้แค่ยิงหน้าไม้ฆ่าศัตรูจากระยะไกล
แต่ในสนามรบไม่ได้มีโอกาสให้เล็งหน้าไม้ฆ่าศัตรูจากระยะไกลบ่อยครั้งนัก
เดิมทีเอาแต่คิดเรื่องกอบกู้ชื่อเสียงให้แก่บรรดาพี่น้อง ไม่ได้คิดเรื่องหลังจากนี้เลย แต่ยามนี้ทุกอย่างสมดั่งใจหมายแล้ว พอถูกเฉิงเจียวเหนียงถามเช่นนี้ เขาเองก็รู้สึกห่อเหี่ยวใจอย่างอดไม่ได้
คนไร้ค่าเช่นเขา จะทำอันใดได้อีก...
แม่นางหวงที่อยู่ข้างกันก็ตกใจไม่น้อย นางรวบรวมความกล้ามองหน้าเฉิงเจียวเหนียง หากพูดออกไปยามนี้คงไม่เหมาะกระมัง
“ข้าน่ะหรือ ก็คงอยู่ดูแลร้านที่เมืองหลวงต่อกระมัง” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยยิ้มกลบเกลื่อน
“ท่านพี่ไม่อยากฆ่าศัตรูแล้วหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
เหตุใดถึงจะไม่อยาก…
เพียงแต่จะฆ่าอย่างไรเล่า
ฟ่านเจียงหลินมองเฉิงเจียวเหนียง น้องสาวผู้นี้ไม่เคยคิดแทนผู้ใด นางเคารพการตัดสินใจของพวกเขาและช่วยทำให้มันเป็นจริงมาเสมอ…
เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังความต้องการของตัวเองต่อหน้านาง ไม่ต้องคาดเดาหยั่งเชิง นางถามสิ่งใดก็ตอบไปตามนั้น สิ่งที่เขาต้องทำมีเพียงแค่พูดสิ่งที่คิดออกมาให้ดังก้องเท่านั้น
“คิด” เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วพยักหน้ารัว
“ข้าจะช่วยให้ท่านพี่เป็นอาวุธทำลายล้างศัตรูนับหมื่น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วลุกยืนขึ้น
อาวุธทำลายล้างศัตรูนับหมื่นอย่างนั้นหรือ เป็นจอมทัพอย่างนั้นหรือ
ฟ่านเจียงหลินมองเฉิงเจียวเหนียงอย่างตกตะลึง
ตอนนั้นสวีเม่าซิวเคยพูดกับเขา ธนู ม้า อาวุธ และฝีมือ คือของคู่กายของนักรบเพื่อฆ่าศัตรูเพียงหนึ่งคน ทั้งอาวุธและฝีมือแม้จะฝึกฝนจนชำนาญสักเพียงใด แต่ก็ฆ่าศัตรูได้แค่ไม่กี่คน แต่จอมทัพผู้สั่งการต่างหากที่เป็นผู้ฆ่าศัตรูนับหมื่น
จอมทัพผู้สั่งทหารให้ฆ่าศัตรูนับหมื่นอย่างนั้นหรือ เขาจะเป็นได้อย่างไร แม้แต่หนังสือยังอ่านไม่ออกสักตัว
“อาวุธทำลายล้างศัตรูนับหมื่นบนโลกนี้ไม่ได้มีเพียงแค่จอมทัพ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ท่านพี่ได้โปรดตามข้ามา”