พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1085 รีบเดินทาง
ยังมีเด็กที่ผ่านการทดสอบก็เข้าภูเขาไปด้วยกันกับฐปนีย์พวกเขาทั้งสาม นั่นเป็นเด็กวัยรุ่นอายุประมาณสิบแปด เพราะในใจเกรงกลัวลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์ ดังนั้นตลอดทางก็ไม่กล้าพูด
เป้าหมายของรพีพงษ์ก็แค่ให้ฐปนีย์พวกเขาทั้งสามพาเขาไปพบผู้คุมกันคนที่สี่ของชัชพิสิฐ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่จะพูดกับพวกเขา
อาจเป็นความประทับใจในตอนแรกค่อนข้างแย่ ดังนั้นฐปนีย์ก็เห็นรพีพงษ์ขัดหูขัดตาอยู่เสมอ ในระหว่างทางมักจะพึมพำพูดเรื่องไม่ดีของรพีพงษ์กับปวีณวัชและเมทนีทั้งสองคน
รพีพงษ์ไม่สนใจ และมองข้ามฐปนีย์คนคนนี้ไป
อาจเป็นเพราะเป้าหมายที่อยากให้รพีพงษ์คุกเข่าขอโทษไม่สำเร็จ ดังนั้นฐปนีย์ยังคิดวิธีที่จะทำให้รพีพงษ์ยอมจำนนอยู่โดยตลอด
เธอจ้องมองไปที่สิ่งของที่ตัวเองถืออยู่ในมือแวบหนึ่ง จากนั้นยื่นไปให้รพีพงษ์ แล้วเอ่ยปากพูดว่า: “นายถือของให้ฉันด้วย”
รพีพงษ์เหลือมองไปที่เธอแวบหนึ่ง เอ่ยปากพูดว่า: “ทำไมฉันต้องถือให้เธอด้วย? เธอไม่มีมือเหรอ?”
ใบหน้าของฐปนีย์เต็มไปด้วยความโกรธ พูดด้วยความโกรธ: “คนอย่างนายทำไมไม่รู้จักกาลเทศะขนาดนี้ นายเป็นคนจะตามพวกเราไปพบอาจารย์เองนะ? ให้นายช่วยฉันถือของก็ไม่ช่วย ตกลงว่านายอยากจะไปพบอาจารย์พวกเรามั้ย?”
รพีพงษ์ยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า: “ไปพบอาจารย์ของพวกเธอ เป็นข้อตกลงระหว่างพวกเรา ข้อตกลงนี้ ไม่มีข้อที่จะช่วยเธอถือของ”
ฐปนีย์กัดฟันทันที ปกติอยู่บนภูเขา เพราะเด็กผู้หญิงค่อนข้างน้อย แล้วเธอก็เป็นคนที่ค่อนข้างสวยกว่า ดังนั้นศิษย์พี่ศิษย์น้องเหล่านั้นต่างก็ตามใจเธอ
อยู่ในใจของเธอ ช่วยเธอถือสิ่งของเป็นเรื่องที่สมควร แต่รพีพงษ์กลับปฏิเสธเธอตรงๆ และสิ่งนี้ทำให้เธอค่อนข้างไม่พอใจ
“ฉันจะบอกนายให้ ตอนนี้นายไม่เชื่อฟังฉัน เดี๋ยวกลับถึงที่ภูเขา ฉันก็จะให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องเหล่านั้นของฉันจัดการนาย!”ฐปนีย์เอ่ยปากพูด
รพีพงษ์ยักไหล่ บ่งบอกว่าไม่สนใจ แล้วพูดว่า: “ตามใจเธอ”
ต่อให้ฐปนีย์ให้อาจารย์ของเธอออกโรง รพีพงษ์ก็ไม่หวาดกลัว และศิษย์พี่ศิษย์น้องเหล่านั้นของเธอก็ไม่เท่าไหร่หรอก
ปวีณวัชและเมทนีทั้งสองคนมองไปที่รพีพงษ์แวบหนึ่ง จากนั้นพูดปลอบใจฐปนีย์ว่า: “ศิษย์น้อง อย่าไปทะเลาะกับคนที่มีความรู้ที่ต่ำกว่า รอถึงสำนักแล้ว เขาได้ทรมานแน่”
ฐปนีย์พยักหน้า หลังจากที่จ้องมองไปที่รพีพงษ์อย่างโหดเหี้ยม ถึงได้ไม่พูดอะไร และเดินต่อไปทางด้านหน้า
ชายหนุ่มที่ผ่านการทดสอบเห็นท่าทีแบบนี้ของรพีพงษ์ที่มีต่อลูกศิษย์ทั้งสามคนนี้ของท่านปรมาจารย์ ก็เดินไปที่ด้านข้างของเขา พูดเบาๆว่า: “พวกเขาทั้งสามคนเป็นลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์ ต่างก็แข็งแกร่ง ผมเตือนพี่อย่ามีเรื่องกับพวกเขา พี่ไปในภูเขา ก็เพื่อฝึกฝนความสามารถไม่ใช้เหรอ? มีปัญหากับพวกเขา ไม่ดีสำหรับพี่”
รพีพงษ์ยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า: “ฉันไปในภูเขา ไม่ได้เพื่อฝึกฝนความสามารถ พวกเขาไม่มีความสามารถอะไรที่สามารถสอนให้ฉันได้”
เมื่อชายหนุ่มคนนั้นได้ยินพูดรพีพงษ์แบบนี้ ก็ขมวดคิ้วทันที รู้สึกว่าคนคนนี้อวดดีทระนงมากเกินไป
เขาแค่ทำให้หินทดสอบทิพย์เปล่งแสงสีทองออกมาได้เท่านั้นเอง แม้ว่านี่จะแสดงให้เห็นว่าคุณสมบัติของเขาดีมาก แต่ว่าไม่ได้หมายความว่าพลังของเขาจะแข็งแกร่ง
“ถึงเวลาพี่เสียเปรียบ ก็จะรู้ว่าเสียใจ”ชายหนุ่มบ่นพึมพำ จากนั้นก็ไม่พูดอีก และเดินตามฐปนีย์พวกเขาทั้งสามคนไปด้านหน้า
เมื่อตอนที่ฟ้าใกล้จะมืด ฐปนีย์พวกเขาทั้งสามคนก็หยุดลงมา หาสถานที่แห่งหนึ่งที่ค่อนข้างราบเรียบ เอ่ยปากพูดว่า: “ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ตอนกลางคืนรีบเดินทางไม่ได้ พวกเราพักที่นี่กันก่อนคืนหนึ่ง พรุ่งนี้รีบเดินทางต่อ”
รพีพงษ์ขมวดคิ้ว เอ่ยปากถามว่า: “ตำแหน่งที่อยู่สำนักของพวกเธออยู่ไกลขนาดนั้นเลยเหรอ? รีบเดินทางมานานขนาดนี้ก็ยังไม่ถึง?”
ฐปนีย์มองไปที่รพีพงษ์อย่างดูถูก เอ่ยปากพูดว่า: “ถ้าหากตำแหน่งที่อยู่สำนักของพวกเราอยู่ใกล้ภายนอกขนาดนี้ เป็นแค่คนก็สามารถหาพบได้ไม่ใช่เหรอ ”
รพีพงษ์คิดดูก็ใช่ ธัชธรรมให้ผู้คุมกันคนที่สี่ของชัชพิสิฐเคลื่อนที่ไปรอบๆเทือกเขาฉินหลิง ไม่สามารถติดต่อกับคนภายนอกได้มากนัก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะซ่อนตัวอยู่ในภูเขาป่าลึก
โดยที่ไม่พูดอะไรมากนัก รพีพงษ์หาต้นไม้ที่ใหญ่อยู่ใกล้เคียงหนึ่งต้น ตั้งใจว่าตอนกลางคืนก็จะนอนบนต้นไม้คืนหนึ่ง
ฐปนีย์พวกเขาทั้งสามคนพกเต็นท์ที่เรียบง่าย และตั้งเต็นท์บนพื้นที่โล่ง
ฐปนีย์มองไปที่รพีพงษ์แวบหนึ่ง พบว่าเขาอยู่บนต้นไม้แล้ว ก็พึมพำทันที: “ดูสิว่าตอนกลางคืนฝนตกนายจะทำยังไง”
หลังจากประสบเหตุการณ์นอนบนต้นไม้แล้วฝนตกก่อนหน้านี้ รพีพงษ์ไม่มีทางที่จะไม่สนใจปัญหานี้เป็นธรรมดา ตอนนั้นในระหว่างทางที่มา เขาพบว่าบนภูเขามีถ้ำแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกล
ถ้าหากว่าฝนตก เขาก็ตรงไปในถ้ำก็พอแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน ฐปนีย์พวกเขาทั้งสามคนก็จุดกองไฟขนาดใหญ่อยู่บนพื้น จากนั้นก็หยิบเสบียงกรังที่พกมาบนตัวออกมา เริ่มทานของให้อิ่มท้อง
ท่าทางชายหนุ่มคนนั้นจ้องตาเป็นมัน มองไปที่ฐปนีย์พวกเขาทั้งสามคนที่ทานอาหาร และกลืนน้ำลายลงไปอย่างไม่หยุด
เมื่อฐปนีย์เห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็ให้เสบียงกรังในมือของตัวเองกับชายหนุ่มเล็กน้อย
จากนั้นเธอก็หันไปมองที่รพีพงษ์ที่อยู่บนต้นไม้อีกครั้ง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “หมั่นโถวของวันนี้หอมจริงๆ อยู่ในภูเขาป่าลึก ได้กินหมั่นโถว คือเป็นเรื่องที่ดี”
“บางคนก็น่าสงสาร อะไรก็ไม่มี ทำได้เพียงแค่มองดูพวกเรากิน”
“คนแบบนี้ยังดูท่าทางหยิ่งยโสโอหังอย่างยิ่ง ต่อให้ฉันจะมีหมั่นโถวมากกว่านี้ ก็จะไม่แบ่งให้คนแบบนี้กิน”
รพีพงษ์รู้ว่าคำพูดนี้ของฐปนีย์ก็พูดให้เขาฟัง ในเวลานี้เขาก็รู้สึกหิวเล็กน้อย ที่สำคัญตอนที่เขามาไม่ได้พกเสบียงกรังมาด้วย เดิมทีเขาคิดว่าจะรีบเดินทางถึงสำนักของฐปนีย์ก่อนตอนกลางคืน
ตอนนี้ได้ยินฐปนีย์พูดแบบนี้ รพีพงษ์เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็กระโดดลงมาจากต้นไม้
เมื่อฐปนีย์เห็นรพีพงษ์ลงมา รีบปกป้องหมั่นโถวของตัวเองอย่างรวดเร็ว เอ่ยปากพูดว่า: “ฉันไม่มีทางแบ่งให้นายกิน คืนนี้นายก็หิวไปเถอะ!”
รพีพงษ์ยิ้มเล็กน้อย และไม่ได้สนใจเธอ แต่เดินไปในป่าไม่ไกล
ฐปนีย์เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา ก็รู้สึกงงงวยเล็กน้อย มองไปที่ปวีณวัชและเมทนีทั้งสองคนเอ่ยปากถามว่า: “เขาไปทำอะไร?”
ปวีณวัชยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า: “อาจจะไม่อยากดูพวกเราทานอาหาร ดังนั้นจึงไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีคน”
หลายคนไม่สนใจ และยังคงกินเสบียงกรังในมือของตัวเองต่อไป
หลังจากนั้นไม่นาน รพีพงษ์ก็เดินกลับมา แต่เมื่อเทียบกับก่อนนี้ที่จะจากไป ในมือของเขามีไก่ป่าเพิ่มมาอีกสองตัว
หลังจากที่จัดการไก่ป่าทั้งสองตัวนั้นอย่างเรียบง่าย รพีพงษ์ก็หาฟืนมา และจุดไฟกองใหญ่ จากนั้นก็ย่างไก่ป่าทั้งสองตัวบนกองไฟขึ้นมา
ฐปนีย์พวกเขาทั้งสามคนมองไก่ป่าตรงหน้ารพีพงษ์อย่างตกตะลึงจนตาค้าง คาดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะวิ่งออกไปล่าสัตว์
บริเวณในภูเขาแห่งนี้มีสัตว์ป่าไม่มากนัก ที่สำคัญก็เก่งเรื่องการพรางตัว ไม่อย่างนั้น ฐปนีย์พวกเขาทั้งสามคนก็ออกไปล่าสัตว์ตั้งนานแล้ว แล้วจะมากินเสบียงกรังได้อย่างไร
แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่า รพีพงษ์ออกไปล่าสัตว์ ยังล่าไก่ป่ากลับมาสองตัว ทั้งสามคนต่างประหลาดใจว่ารพีพงษ์ทำได้อย่างไรกันแน่
พวกเขาไม่รู้ว่า รพีพงษ์มีพลังจิต ต่อให้สัตว์เหล่านี้จะอำพรางดีแค่ไหน แค่จิตใจเดียวเขาก็สามารถค้นพบ
หลังจากนั้นไม่นาน ไก่ป่าสองตัวที่อยู่ตรงหน้ารพีพงษ์ก็ย่างจนสุก และกลิ่นหอมก็ล่องลอยออกมา ฐปนีย์พวกเขาทั้งสี่คนจ้องมองอย่างเหม่อลอย