พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1245 ไม่ได้การแล้ว
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1245 ไม่ได้การแล้ว
งูยักษ์โบราณตัวใหญ่ถมึงตามอง ไม่รีรอให้รพีพงษ์ตอบสนอง มันก็อ้าปากกว้าง และโจมตีเข้ามายังรพีพงษ์
แม้ว่าลำตัวใหญ่โต แต่ว่าความเร็วของงูยักษ์ตัวนี้ก็ไม่ช้าเลยสักนิด กลับว่าเต็มไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่
รพีพงษ์ขมวดคิ้วแน่น
พลังการโจมตีของงูยักษ์ตัวนี้ ไม่น้อยไปกว่ายอดฝีมือแดนดั่งเทพเลย
เพียงแค่ ภายใต้แดนเทพ รพีพงษ์ใหญ่ที่สุด!
เขาพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างไม่ลังเลเลย ในมือวาดหอกยาวออกมาเล่มหนึ่ง
ปลายหอกแหลมคม แทงเข้าไปยังอีกฝ่าย
งูยักษ์ในเวลานี้ก็ได้สูดลมหายใจที่อันตรายแล้ว เพียงแค่ ตอนที่มันคิดอยากจะหลบหนี ปลายหอกก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว
ฉึก……
งูยักษ์คายลิ้นยาวออกมา นัยน์ตานำมาซึ่งเส้นเลือดแดงก่ำ
หนังงูที่หนาๆถูกหอกยาวเฉือนอย่างง่ายดาย
“ผู้ใดไม่รุกรานข้า ข้าก็ไม่รุกรานผู้นั้น!ข้าก็แค่ดื่มน้ำจากลำธารแค่นั้นเอง ถ้าเจ้ายังกล้าเข้ามาทำร้าย ข้าจะสับเจ้าอย่างไม่ให้อภัยแน่!”
รพีพงษ์ยืดอกตรง พูดเสียงดัง
งูยักษ์คำรามเสียงทุ้มต่ำออกมา สีตาที่โกรธเคืองนัยน์ตายิ่งเพิ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
ดูเหมือนว่ามันจะเข้าใจในสิ่งที่รพีพงษ์พูดมาทั้งหมด เพียงแค่เผชิญหน้ากับรพีพงษ์ กลับว่าไม่ได้เข้าไปโจมตีอีกครั้ง
รู้สึกเหมือนว่างูยักษ์ตัวนี้กำลังคิดอะไรอยู่ รพีพงษ์พูดกล่าวอีกครั้ง : “ตอนนี้ ข้าจะไปจากที่นี่ รู้จักกาลเทศะด้วย กลับไปในน้ำซะ!”
พูดแล้ว เขาก็มองไปยังงูยักษ์พลาง พร้อมทั้งเดินถอยหลังอย่างรวดเร็วไปพลาง!
ทั้งสองห่างกันประมาณสามสิบเมตร ในใจของรพีพงษ์ก็ประมาณการ ดูเหมือนว่า งูยักษ์ตัวนี้น่าจะไม่กล้ามาสร้างความวุ่นวายให้ตัวเองอีกแล้ว
และตอนที่รพีพงษ์เตรียมที่จะออกไป งูยักษ์ตัวนี้ก็กลับว่าบ้าคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับว่าไม่ยินยอมที่จะให้รพีพงษ์ออกไป
หางขนาดใหญ่กวาดไปทางน้ำ เพียงพริบตาเดียว น้ำก็กระเซ็นไปทั่วทุกสารทิศ ลอยไปยังรพีพงษ์โดยตรง
รพีพงษ์ยกแขนขึ้นมาปิดบังใบหน้า ร่างกาย เปียกฉ่ำไปด้วยน้ำจากภูเขา
“สัตว์เดรัจฉานที่สมควรตาย เจ้ามันรนหายที่ตาย!”
รพีพงษ์พูดคำรามเสียงดัง กลับว่าเห็นเบื้องหน้า งูยักษ์มาอย่างรวดเร็วมากกว่าก่อนหน้าอีก โจมตีเข้ามาที่ตัวเอง
หางของมันเหมือนกับแส้ยาวที่แข็งแกร่งยังไงอย่างนั้น ม้วนไปที่รอบๆตัวของรพีพงษ์อย่างรวดเร็ว
หมุนเป็นเกลียวให้ตาย!
รพีพงษ์รู้โดยทันทีว่างูยักษ์ตัวนี้จะทำอะไรต่อไป!
“เจ้าคิดว่า ทำแบบนี้สามารถบีบบังคับให้ข้ายอมเจ้าได้งั้นเหรอ?”
รพีพงษ์หัวเราะอย่างดูถูก หอกยาวในมือเปลี่ยนเป็นมีดสั้น
ทันทีที่หางของอีกฝ่ายกระทบมายังบนตัวของตัวเอง รพีพงษ์ก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ใช้มีดสั้นแล้วบินขึ้นไปสับที่หางของงูยักษ์
ทันใดนั้น ทำให้งูยักษ์เสียเปรียบอย่างมาก ร่างกายของมันก็อ่อนนิ่มลงทันที
เพียงแต่ แววตาที่แดงก่ำนั้นยังคงมองไปยังรพีพงษ์เช่นเดิม
มันอ้าปาก โจมตีเข้ามาอย่างทุ่มสุดตัว
“วิชามังกรเลื้อย!”
รพีพงษ์พุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า ทันใดนั้น มังกรใหญ่ทั้งเก้าตัวก็บินออกมาอยู่กลางอากาศ
เมื่องูยักษ์เห็นฉากแบบนั้น ทันใดนั้นก็สั่นคลอนขึ้นมา
ล้วนแต่ว่ากันว่างูก็คือมังกรบนดิน แต่ว่า ตอนที่พวกมันเห็นมังกรที่แท้จริง มีความรู้สึกหยุดยั้งอยู่ข้างในลึกๆ ทำให้งูยักษ์ตัวนี้ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย
มังกรพ่นเปลวไฟออกมา เผาไหม้งูยักษ์ตัวนี้ไปเลย
ทันใดนั้น แสงไฟก็กระเซ็นไปทั่ว ลำตัวของงูยักษ์บิดเบี้ยวอย่างไม่หยุดหย่อน ลำดิ่งลงไปในลำธารทันที และไม่กล้าที่จะออกมาอีกแล้ว
เมื่อโจมตีขับไล่งูยักษ์ไป รพีพงษ์กลับว่าระมัดระวังตัวเองมากกว่าก่อนหน้าแล้ว
เมื่อคิดดูแล้ว ป่าหมอกมีพื้นที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ นี่เพิ่งจะเข้ามายังป่าหมอกเท่านั้นเอง สัตว์เซียนที่ได้เผชิญล้วนถึงแดนดั่งเทพแล้ว
และในป่าหมอก ยิ่งเข้าไปยังใจกลาง พลังทิพย์ก็ยิ่งเฟื่องฟู สัตว์เซียนที่อยู่ในนั้น ก็ยิ่งมีพละกำลังที่แข็งแกร่งไปโดยปริยาย
ผิวน้ำกลับมาสงบอีกครั้ง ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนยังไงอย่างงั้น รพีพงษ์ไม่กล้าล่าช้าอีก เริ่มเดินทางอีกครั้ง
……
ภายในถ้ำของสำนักเทพยาเซียน
จิลลาเซ้าซี้ถามปยุตว่า : “เจ้าปยุต เจ้าพูดกับเจ้าจิรภัทรหน่อยนะ ให้ข้าคอยคุ้มกันอยู่ที่ชายขอบป่าหมอกโอเคไหม”
“ทำไม ยัยเด็กอย่างเจ้าไม่กลัวอันตรายเหรอ?” ปยุตพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“ที่นั่นมีอะไรให้เป็นอันตราย เจ้าดูสิพี่รพียังเข้าไปเพียงลำพังเลย เขาก็ยังไม่กลัว แล้วข้าจะกลัวอะไร!” จิลลาพูดด้วยแววตาที่เลื่อมใสศรัทธา
ปยุตมองไปที่เธออย่างหยอกล้อแวบหนึ่ง ในใจก็พอคาดเดาได้แล้ว
“เจ้าอย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เจ้าคิดว่าหลังจากที่รพีพงษ์เดินออกมาจากป่าหมอกแล้ว จะได้เห็นเจ้าเป็นคนแรก ใช่ไหม ” ปยุตยิ้มพร้อมพูดกล่าว
“เจ้าปยุต เจ้า……เจ้าเป็นผู้ใหญ่ที่ทำตัวไม่น่าเคารพ เจ้ามาหยอกล้อข้าอย่างนี้ ต่อไปข้าจะไม่ทำกับข้าวให้เจ้ากินแล้ว!”
จิลลาทำปากมุ่ย สีหน้าแดงก่ำ พูดอย่างโมโหมาก
ที่แท้ทำแบบนี้ก็จะทำให้ยัยเด็กคนนี้ไม่ต้องมาทำอาหารให้ตัวเองทาน?
ปยุตราวกับว่าได้พบโลกใหม่ยังไงอย่างนั้นตามด้วยพูดว่า : “ที่ข้าพูดก็ไม่ผิดนะ เจ้าคิดอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ?แต่ว่าข้าจะบอกเจ้าให้นะ ข้าเคยช่วยเจ้าถามรพีพงษ์แล้ว เขาแต่งงานตั้งนานแล้ว มีลูกแล้วด้วย”
“อะไรนะ?เขา……แต่งงานแล้ว?”
จิลลาพูดกล่าว นัยน์ตาสาดส่องความผิดหวังออกมา
“ยังจะพูดว่าเจ้าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา ทำไม พอได้ยินว่าเข้าแต่งงานแล้ว ก็ผิดหวังแล้ว?” ปยุตกล่าวพูดอย่างหยอกล้อ
“เช้อะ ข้าเปล่าสักหน่อย ข้าอายุน้อยขนาดนี้ ไม่ชอบคนอายุเยอะอย่างเขาหรอกนะ สามีในอนาคตของข้าจะต้องแข็งแกร่งกว่ารพีพงษ์เป็นร้อยเท่า!” จิลลาพูดอย่างอารมณ์เสีย
“อะไรนะ?แข็งแกร่งกว่าร้อยเท่า? ”
หลังจากที่ปยุตได้ยินก็หัวเราะฮ่าๆๆ : “โอเค มีความคิดแบบนี้ก็ดีนะ งั้นก็ขออวยพรให้ทั้งชิวตนี้ของเจ้าได้สมดังใจหวังนะ”
จิลลาดูไม่มีความสุขเลย เธอก็รู้ดีที่ตัวเองพูดออกไปทั้งหมดคือพูดด้วยอารมณ์
ความสามารถของรพีพงษ์เป็นที่ประจักษ์ต่อทุกคน เป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมหาได้ยากจริงๆ แม้จะย้อนหลังกลับไปกว่าหลายร้อยปี บนโลกใบนี้ ก็ไม่มีใครสามารถเอื้อมถึงได้
ต้องการที่แข็งแกร่งกว่ารพีพงษ์เป็นร้อยเท่า?งั้นก็ไม่ต่างอะไรกับความฝันของคนโง่เขลา
“พอแล้วๆ ข้าให้เจ้าฝึกกลั่นยาระดับสูงเจ้าทำแล้วยัง?ตอนที่รพีพงษ์ทำครั้งแรก ไม่ถึงสองชั่วโมงก็ทำออกมาสำเร็จแล้วนะ”
ปยุตยิ้มพร้อมพูดกล่าว แล้วเดินไปที่เตียงนั่งทันที
กี่วันมานี้ เขาฝึกฝนคาถาคำสิบที่รพีพงษ์สอนให้ตัวเอง มีประโยชน์อย่างมากมาย
ปราณทิพย์ที่อยู่ในร่างกายเหมือนว่าถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พละกำลังก็แข็งแกร่งมากกว่าก่อนไม่น้อยเลย
และทันใดนั้น จิลลาจะมีกะจิตกะใจทำยาชั้นดีอะไรกันล่ะ
เธอเอามือข้างนึงกุมไว้ที่แก้ม บนใบหน้าที่อ่อนเยาว์ มองขึ้นไปยังยอดถ้ำด้วยตากลมโต
“นี่ก็สามวันแล้วนะ ไม่รู้ว่าพี่รพีอยู่ข้างในจะเป็นอย่างไรบ้าง จะเจออันตรายหรือไม่……”
จิลลาคิดอยู่ในใจ
และในเวลานี้ ชุติเดชวิ่งเขามาอย่างลนลาน
“เจ้าปยุต พี่จิลลา ไม่ได้การแล้ว!”
“อะไรนะ!”
จิลลารีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามายังชุติเดช ดึงปกคอเสื้อของชุติเดช : “เจ้าพูดว่าอะไรไม่ได้การแล้วนะ?พี่รพีเผชิญกับอันตรายแล้วงั้นเหรอ?เจ้ารีบพูดสิ!”
“ข้า……โฮะๆ พี่สาว เจ้าปล่อยมือก่อนได้ไหม เจ้ารัดคอข้าซะอย่างนี้ ข้า……พูดไม่ออก”ชุติเดชพูดด้วยท่าทางที่เจ็บปวด
“จิลลา ปล่อยมือออก ให้เขาพูดให้เป็นเรื่องเป็นราวก่อน”
ปยุตก็ขมวดคิ้วแน่น แม้ว่าเขาไม่ได้พูด แต่ในใจของเขาก็เป็นห่วงถึงความปลอดภัยของรพีพงษ์มากเช่นกัน
ชุติเดชปรับลมหายใจครู่หนึ่ง มองไปยังทั้งสองคนพร้อมพูดทันทีว่า : “ไม่ใช่ข่าวคราวของพี่รพี”
หลังจากที่จิลลาและปยุตได้ยินแล้ว ในขณะเดียวกันก็โล่งอกทันที
ภายในสามวัน ไม่มีข่าวคราวก็เป็นข่าวที่ดีที่สุด
“งั้นเจ้าจะลนลานขนาดนี้ทำไมกัน ยังพูดอะไรอีกนะไม่ได้การแล้ว”จิลลาพูดกล่าวตำหนิ
ชุติเดชกลับว่าเป็นกังวลอย่างมาก : “เจ้าปยุต พี่จิลลา พวกท่านรีบลงจากเขามากับข้าเลย แล้วไปที่โถงต้อนรับแขกของสำนักเถอะ”
“โถงต้อนรับแขก?”ปยุตพูดถาม: “ใครมาเหรอ?เราเคยพูดกับไอจิรภัทรแล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องการเข้าสังคมแบบนี้ อย่ามาวุ่นวายกับข้า ข้าไม่มีอารมณ์อย่างสบายใจหรอกนะ ”
“เป็น……เป็นคนของสมาคมการเล่นแร่แปรธาตุ!” ชุติเดชพูดกล่าว
หลังจากที่ปยุตและจิลลาได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปมาก
“ไป เราจะลงเขากันเดี๋ยวนี้!” ปยุตพูดกล่าวอย่างเคร่งขรึม