พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1286 การผจญภัยในถ้ำ
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1286 การผจญภัยในถ้ำ
รพีพงษ์ก็ค่อยๆ เดินเข้าไป เดินตามปลายของกระบี่สยบเซียนที่ชี้ไปยังทิศทางนั้น
สีหน้าของเขาค่อนข้างอึ้งไป บนผนังหินนั้น มีช่องลับที่เจาะไว้
นี่คือ……..
รพีพงษ์มีสายตาระแวดระวัง ในช่องลับนั้นมีวัสดุที่ทำจากไม้ล็อกไว้ ดูภายนอกเป็นรูปทรงเครื่องหมายบวกที่แนบสนิทไม่มีช่องว่าง
“ไม้ปริศนางั้นหรือ?”
รพีพงษ์อึ้งไปมาก
กุญแจแบบนี้เต็มไปด้วยภูปัญญาของคนโบราณแบบนี้ ด้านในของมันก็คือระบบการขัดกันของหมุดไม้ที่คนโบราณคิดค้นเพื่อเป็นรูปแบบการก่อสร้าง มันไม่ต้องใช้ตะปูหรือเชือก ล้วนใช้ช่องของไม้ที่ขัดกันและรับแรงซึ่งกันและกันเท่านั้น
ดูเหมือนจะง่าย แต่มันเต็มไปด้วยภูมิปัญญา ในขณะเดียวกัน มันยังแสดงถึงความรู้ด้านงานช่างของคนจีนโบราณ จิตวิญญาณของช่างโบราณนี้ สูงส่งกว่า “วัฒนธรรมการโค้งคำนับ” ของประเทศญี่ปุ่นเสียอีก!
อีกอย่าง ต่อให้เป็นประเทศจีนในปัจจุบันนี้ สิ่งก่อนสร้างที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ก็ล้วนมีความคิดด้านการประกอบโครงสร้างระบบคานรับน้ำหนักแบบโบราณรวมอยู่ด้วย
เพียงแต่ ถ้าคนธรรมดาอยากจะเปิดไม้ปริศนานี่ละก็ เกรงว่าคงจะใช้เวลานานพอสมควรจึงจะเปิดออก
การตอบสนองแรกของรพีพงษ์ก็คือใช้กระบี่สยบเซียนฟันออก แต่ทว่า เขาก็หวนคิด ถ้าเปิดออกโดยพละการณ์ แล้วอาวุธลับหรือของล้ำค่าด้านในถูกทำลาย หรือไม่ก็ไปเปิดระบบอาวุธลับเข้า ล้วนไม่เป็นผลดี
“ดูเหมือนว่า คนที่ทำไม่ปริศนานี้ คงคิดอยากจะแกล้งคนอื่นสินะ”
รพีพงษ์ก็มีสายตายิ้มๆ แล้วพูดอย่างมั่นใจว่า “แต่ว่า ความยากในระดับนี้ สำหรับตนเองแล้วนั้น มันง่ายไปหน่อยนะ”
ไม้ปริศนาสิบสองรู นับว่าเป็นระบบล็อกของไม้ปริศนาที่พบได้ปกติทั่วไป
รพีพงษ์คาดเดา ในเมื่อมั่นใจขนาดนี้ คิดว่าในตอนนั้นไม้ปริศนาสิบสองรูคงจะเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก
แต่ทว่า สำหรับคนสมัยนี้นั้น ขอเพียงเคยศึกษาเรื่องไม้ปริศนามาก่อน ก็จะสามารถแกะไม้ปริศนาสิบสองรูออกได้โดยไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ยิ่งกว่านั้น รพีพงษ์ที่กำลังยืนอยู่ข้างหน้าไม้ปริศนาสิบสองรู ก็คือคนที่ตอนเด็กเคยทำหีบสมบัติตามโครงสร้างของไม้ปริศนามาแล้ว!
ไม่ถึงนาที ไม้ปริศนาสิบสองรูก็เหมือนของเล่นที่อยู่ในมือของรพีพงษ์ มันถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย
“นี่มันคืออะไรกัน?”
รพีพงษ์มองออกไป เห็นว่าหลังจากที่ปริศนาสิบสองรูได้ถูกแกะออกแล้ว แล้วด้านในเป็นหนังสือโบราณ
ปริศนาสิบสองรูเต็มไปด้วยขี้ฝุ่น แต่หนังสือโบราณเล่มนั้น นอกจากหน้าปกจะกลายเป็นสีเหลืองแล้ว ส่วนอื่นๆไม่มีฝุ่นเกาะเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่า ไม้ปริศนาถูกประกอบขึ้นอย่างแนบสนิท
พอเห็นว่าด้านในมีหนังโบราณเล่มหนึ่ง รพีพงษ์ก็เบาใจ สายตาที่ระแวดระวังก็ผ่อนคลายสบายลง
ส่วนกระบี่สยบเซียน หลังจากมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ครึกครื้นหนักกว่าเดิม ในตอนนี้ มันลอยขึ้นไปในอากาศ
บนตัวกระบี่ของมัน ก็มีแสงสีทองสว่างออกมา โดยไม่ต้องฟังคำสั่งเรียกหาของรพีพงษ์ ราวกับอยากให้รพีพงษ์อ่านเนื้อหาด้านในที่หนังสือโบราณจดบันทึกไว้ให้ละเอียด
รพีพงษ์ก็ไม่ทำให้กระบี่สยบเซียนผิดหวัง เขาค่อยๆ เปิดหน้าแรกของหนังสือโบราณออก
ด้านในเป็นตัวอักษรโบราณของจีน แต่สำหรับรพีพงษ์ที่เคยได้รับการศึกษามาอย่างรอบด้านแล้วนั้น จะอ่านมันขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
หน้าแรกของหนังสือ เขียนด้วยอักษรยึกยืออยู่หนึ่งบรรทัดว่า
ผู้ที่มาถึงที่นี่โดยไม่ตาย แล้วยังสามารถแกะไม้ปริศนาออกได้ ก็จะเป็นเจ้าของหนังสือเล่มนี้ ที่ได้หนังสือเล่มนี้ ล้วนเป็นอาณัติสวรรค์!
รพีพงษ์ก็ครุ่นคิด เป็นจริงดังนั้น ถ้าอยากจะมาถึงที่ถ้ำแห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าต้องตกลงมาจากหน้าผาแล้วไม่ตาย แล้วก็สามารถหาถ้ำนี้จนเจอ จากนั้นก็แก้กลไกไม้ปริศนาออกได้ อัตราความสำเร็จทั้งหมดนี้ แทบไม่ต้องคิดกันเลยทีเดียว
ไม่แปลกที่หนังสือจะบอกแบบนี้ ได้ครอบครองหนังสือเล่มนี้ มันเป็นอาณัติสวรรค์จริงๆ !
เปิดหนังสือหน้าต่อไป รพีพงษ์หยุดสายตาของตนเองไม่ได้แล้ว
หลังจากที่ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้อธิบายการเกิดแหล่งพลังทิพย์ของที่นี่โดยบังเอิญแล้วนั้น ก็หาถ้ำนี้เจอแล้วใช้ชีวิตที่นี่ พร้อมกับฝึกวิชา ร่องรอยทั้งหมดบนผนังหิน ก็เกิดจากที่คนคนนี้ได้รำกระบี่แล้วคมกระบี่ไปสัมผัสกับหินจนเกิดเป็นรอยบาก
อีกอย่าง หนังสือเล่มนี้ยังพูดถึงกระดูกของสัตว์เซียนด้านนอกถ้ำ
พอรพีพงษ์แล้ว ก็เข้าใจอะไรขึ้นมาได้
ที่แท้ ป่าหมอกเมื่อหลายร้อยปีก่อน ครึกครื้นกว่าตอนนี้มาก ที่นี่มีสัตว์เซียนดำรงชีวิตอยู่มากมาย
แต่ตอนนั้นก็มีพวกโลภมาก ก็เหมือนกับที่แรดโบราณบอกไว้ครั้งก่อน พวกมันไม่สามารถควบคุมพลังทิพย์ได้ สักวันหนึ่งร่างกายที่ยักษ์ใหญ่ก็จะรับแรงดันที่รุนแรงไม่ไหว แล้วก็ระเบิดตาย
ส่วนร่างของพวกมัน แล้วก็ถูกสัตว์เซียนตัวอื่นดันลงมาทิ้งจากทางด้านบนหุบเหว พอได้รับการกัดกร่อนจากสายลมเป็นเวลานาน ก็เลยเปลี่ยนเป็นสภาพแบบนี้
รพีพงษ์พยักหน้าเบาๆ พอได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว แต่ก็ยังขาดบางอย่างไปเสมอ หลักการนี้ตั้งแต่โบราณก็ไม่เปลี่ยน
พออ่านลงมาข้างล่างเรื่อยๆ รพีพงษ์ยังเห็นว่าหนังสืออธิบายถึงหุบเขาหลิงซี
“ในหุบเขามีแรดยักษ์อยู่ตัวหนึ่ง เวลาว่างๆ แรดตัวนั้นก็จะบินไปประลองฝีมือกับเขา นานเข้าแรดยักษ์ก็ได้คบค้าสมาคมกับเขา ชื่นชมกันว่า สรรพชีวิตล้วนจิตวิญญาณ ที่แห่งนี้เป็นดินแดนสำคัญ!”
รพีพงษ์อ่านลงมาอีก หนังสือเขียนไว้ว่า พอหลังจากที่สัตว์เซียนพวกนั้นโลภในพลังทิพย์จนตัวเองระเบิดตาย สัตว์เซียนตัวอื่นๆ ก็รับรู้ได้ว่าร่างกายของตนเองไม่สามารถทนรับกับพลังทิพย์ที่เข้มข้นมากๆ ได้ เวลานานเข้า ก็แบ่งเป็นเขตของหุบเขาหลิงซี ส่วนตำแหน่งกึ่งกลางของป่า ถ้าไม่ถึงเวลาคับขัน จะไม่ไปที่นั่นเด็ดขาด
รพีพงษ์คิดในใจ แรดโบราณตัวนั้นสามารถอยู่ในหุบเขาหลิงซีเป็นเวลานานได้ แสดงว่าพลังของมันจะแข็งแกร่งกว่าสัตว์เซียนตัวอื่นๆ ในป่าหมอกอย่างมาก
อ่านต่อไปเรื่อยๆ รพีพงษ์ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ คนเขียนหนังสือเล่มนี้ดูเหมือนจะพูดมากไป จดบันทึกเรื่องราวในชีวิตประจำวันไม่น้อย เช่นผลทิพย์ในป่าหมอกชนิดไหนอร่อย ชนิดไหนกระเดือกไม่ลง
รพีพงษ์สายตาอมยิ้ม ไม่นานก็อ่านมาถึงส่วนท้ายไม่กี่หน้าของหนังสือ
ครั้งนี้ รพีพงษ์ทำตาโต แล้วมองสิง่ที่หนังสือบันทึกไว้
หัวเรื่องก็ดึงดูดสายตาของรพีพงษ์แล้ว
“ตั้งแต่ที่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีพลังทิพย์อยู่ ก็เลยอยากมีมันไว้ครอบครอง แต่ก็กลัวจะตายอย่างอนาถเหมือนสัตว์เซียนในหุบเหวนี้ วันนี้แสงแห่งปัญญาปรากฏ ได้คิดค้นวิธีดูดซับพลังทิพย์ จึงขอบันทึกไว้ในนี้!”
รพีพงษ์ตกใจมาก แล้วก็รีบเปิดหนังสือหน้าต่อไป
“นี่คือ จะสอนวิชาลับการดูดซับพลังทิพย์ให้กันจริงหรือนี่!”
รพีพงษ์มีใบหน้าที่ตื่นเต้น
พลังทิพย์นั้น สำหรับผู้ฝึกวิชาแล้ว ล้วนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่อยากจะมีครอบครอง!
ถ้าหากร่างกายมีหลังทิพย์ไหลเวียนเต็มเปี่ยม เช่นนั้น การพัฒนาของพลังฝีมือตนเอง ก็จะได้รับผลดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!
“ถ้าอยากจะฝึกวิชานี้ จะต้องถึงระดับแดนดั่งเทพชั้นยอด”
รพีพงษ์อ่านออกเสียงเบาๆ ตนเองก็ได้มาถึงระดับแดนเทพครึ่งก้าวแล้ว ระดับสูงกว่าแดนดั่งเทพชั้นยอดมากนัก สามารถเรียนวิชาลับนี้ได้อย่างแน่นอน
พอนึกถึงเศษวิญญาณของนีย์ดวงนั้น รพีพงษ์ก็รีบฝึกวิชาตามที่หนังสือบันทึกไว้ โดยไม่สนความอ่อนล้าของร่างกายตนเองเลย
คนคนนี้บันทึกไว้ค่อนข้างละเอียด อีกทั้งยังเขียนอธิบายเพิ่มเติม ไว้ในส่วนที่สำคัญด้วย
เดิมทีรพีพงษ์ก็หัวดีอยู่แล้ว บวกกับมีพลังถึงระดับแดนเทพครึ่งก้าวแล้ว ไม่นานก็เรียนรู้วิชานี้ได้
หนังสือถูกเปิดมาถึงหน้าสุดท้าย
หน้านี้ ในหนังสือไม่ได้เขียนอะไรไว้ มีตัวอักษรเพียงบรรทัดเดียว
“วิชาดูดซับพลังทิพย์ก็ได้เรียนรู้มา3ปีกว่าแล้ว กายชูร่าถูกสร้างเสร็จสมบูรณ์ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ชื่อเสียงของจอมมารชูร่า จะดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งปฐพี!”
“จอมมารชูร่า!”
พอเห็นตัวอักษรที่คุ้นเคยทั้ง4ตัวนี้ รพีพงษ์อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
ถึงว่า พอกระบี่สยบเซียนเข้ามาในนี้ ก็อยู่ไม่นิ่งเลย มันคงจะรับรู้ได้ว่าในนี้กลิ่นไอของเจ้านายเก่าของมันอยู่ อีกอย่างร่องรอยบนผนังหินนั้น ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าจอมมารชูร่าใช้กระบี่สยบเซียนสลักลงไป
ส่วนรพีพงษ์ที่ได้รับการถ่ายทอดทั้งหมดจากจอมมารชูร่า ที่สัมผัสพลังไม่ได้นั้น ก็อาจจะเป็นเพราะว่าพลังจิตวิญญาณเทพถูกใช้จนหมดสิ้น จึงไม่สามารถรับรู้อะไรได้
อาณัติสวรรค์!
รพีพงษ์ชื่นชมอยู่ในใจ ถูกแรกโบราณกระแทกชนจนตนเองก็ตกลงมาในหุบเหว แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้กลับได้เจอที่มหัศจรรย์เข้าให้แล้ว
ดูเหมือนว่าหนังสือเล่มนี้จะรอคอยอยู่ที่นี่มาหลายร้อยปีแล้ว รพีพงษ์ก็ยิ่งคิดว่าทุกอย่างฟ้าได้กำหนดไว้แล้ว!
ตนเองได้รับการสืบทอดจากจอมมารชูร่าทั้งหมดแล้ว วันนี้ยังได้หนังสือที่จอมมารชูร่าเขียนไว้อีก
วิชาดูดวิญญาณ!
รพีพงษ์พยายามนึกทุกอย่างในหัว แต่ก็ไม่มีสิ่งที่จอมมารชูร่าถ่ายทอดไว้ในวันนั้น ต่อมาก็ค่อยๆ คิด วิชาดูดวิญญาณน่าจะเป็นวิชาที่เขาคิดค้นขึ้นมาก่อนที่จะได้เป็นจอมมารชูร่า แถมสถานที่ฝึกวิชาก็ยังพิถีพิถันมาก จะต้องใช้สถานที่ที่มีพลังทิพย์เต็มเปี่ยม ดังนั้นก็เลยไม่ได้อยู่ในส่วนของการถ่ายทอดวิชา
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม รพีพงษ์ก็ได้วิชาลับที่จะดูดซับพลังทิพย์แล้ว
“นอนพักเสียหน่อยแล้วกัน ให้พลังในร่างกายฟื้นคืนมาหน่อย แล้วค่อยเริ่มฝึก”
หลังจากที่รพีพงษ์ตัดสินใจ แล้วก็เอนหลังนอนหลับไปบนแท่นหิน