พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1291 กระจายอำนาจ
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1291 กระจายอำนาจ
รพีพงษ์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เขารู้ดีว่าถ้าครอบครัวใหญ่ที่คิดจะยืนยงนั้นจะต้องมีคนรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่
คนหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยพลัง ความกระตือรือร้น ในขณะเดียวกันก็สามารถทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆได้ ดังนั้นขอเพียงตั้งใจก็จะเผชิญกับหลายๆ สิ่งได้
เพราะเขาก็เคยเป็นเช่นนั้น หลังจากผ่านพ้นความทุกข์ทรมานและความอัปยศอดสูมานานหลายปี ในที่สุดวันนี้เขาก็ยืนอยู่จุดสูงสุดของประเทศจีนได้!
จากสายตาที่มั่นใจของคนรุ่นใหม่นี้ เขาคาดเดาได้ว่าคนเหล่านี้จะเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อผู้อื่นในอนาคตอย่างแน่นอน!
“จริงด้วยครับ นายน้อย”
ในเวลานี้ ชยินพูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ตระกูลโคบายาชิของประเทศญี่ปุ่นมาที่ประเทศจีน ไม่รู้ว่าท่านประธานอารียาได้บอกคุณแล้วยังครับ”
“ตระกูลโคบายาชิ?”
รพีพงษ์ยิ้มจางๆ “คุณหมายถึงโคบายาชิจุนอิจิสินะ”
ชยินพยักหน้าเบาๆ “ใช่ครับ ตอนนั้นเขามาด้วยความมั่นใจมากเลยครับ ดูแล้วน่าจะทำให้อุตสาหกรรมด้านกิจการร้านอาหารของประเทศจีนสั่นคลอนได้ แต่ว่า ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ จู่ๆ เขาก็ประกาศถอนตัวจากการตีตลาดของประเทศจีนไป ผมยังสงสัยว่าเรื่องนี้น่าจะมีนัยอยู่นะครับ”
“ชยินพูดถูกนะ รพีพงษ์ โคบายาชิจุนอิจิที่มีแผนว่าจะยึดครองทั้งอุตสาหกรรมธุรกิจร้านอาหารของประเทศจีน แต่จู่ ๆ กลับถอนตัวแบบนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหนกันแน่”
อารียาก็แสดงความคิดเห็นด้วย เมื่อคืนนี้ทั้งสองกลับสู่ชีวิตคู่ที่เป็นข้าวใหม่ปลามัน ดังนั้นเธอจึงไม่มีเวลาคุยเรื่องนี้กับรพีพงษ์
“คนประเทศญี่ปุ่นส่วนมากจะเจ้าเล่ห์ เราควรระวังกันไว้ก่อนนะดีกว่านะ!”
“ใช่ครับ แต่ตอนนี้นายใหญ่ของเรากลับมาแล้ว ถ้าใครคิดจะแบ่งตลาดของประเทศจีน เขาจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากตระกูลลัดดาวัลย์ของเราก่อนครับ”
……
หลายๆ คนต่างแสดงความคิดเห็น
แต่ทุกคนไม่รู้เลยว่ารพีพงษ์กลับไม่ได้รู้สึกสนใจเลยแม้แต่นิด
เพราะเขาเคยเจอกับโคบายาชิจุนอิจิสองครั้งแล้ว และทั้งสองครั้งที่โคบายาชิจุนอิจิต้องเจอเขา ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นฝันร้ายสำหรับโคบายาชิจุนอิจิจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคั่งหรืออิทธิพล รพีพงษ์ก็อยู่เหนือกว่าโคบายาชิจุนอิจิทุกประการ ดังนั้นการที่ถอนตัวออกจากอุตสาหกรรมธุรกิจร้านอาหารของโคบายาชิจุนอิจินั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และเป็นทางเลือกเดียวสำหรับเขา
“เรื่องนี้เราไม่ได้กังวลให้มากหรอก”
รพีพงษ์พูดอย่างใจเย็น
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ต่างก็พยักหน้าและรู้สึกมั่นใจในตัวเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากสิ้นสุดการประชุม ทุกคนก็แยกย้ายกันออกไป และในห้องโถงที่กว้างใหญ่นั้นเหลือเพียงรพีพงษ์กับอารียาสองคนเท่านั้น
“ออกมาได้แล้ว!”
รพีพงษ์สีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นชยนต์กับแม่นางทอผ้าก็ออกมายืนอยู่ตรงหน้าเขา
แม่นางทอผ้ามองไปที่รพีพงษ์ด้วยรอยยิ้ม ส่วนชยนต์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วแล้วมองแม่นางทอผ้าด้วยความลำบากใจ
“แคลร์ คุณกลับไปรอผมที่ห้องก่อน เดี๋ยวผมตามไปนะ” รพีพงษ์พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“คุณต้องการ……อีก?” อารียาถามอย่างเขินอาย เมื่อคืนเพิ่งมีอะไรกันเสร็จ และในตอนนี้ก็เพิ่งผ่านไปไม่ถึงครึ่งวัน แล้วเขาต้องการอีกแล้วหรือ?
รพีพงษ์ยิ้มพูด “คุณอย่าลืมว่าคุณยังมีพิษในร่างกายอยู่นะ”
“อ้อ” อารียาเขินจนหน้าแดงและก้มหน้าเดินออกจากห้องโถง
“นายคะ นายให้พวกเราออกมาทำไมเหรอคะ”
แม่นางทอผ้าพูดไปด้วยแล้วใช้แขนเสื้ออันกว้างของเธอมาปิดริมฝีปากไว้ เหลือเพียงดวงตาคู่นั้นของเธอที่มองไปที่รพีพงษ์
“ไอ้หุ่นเชิด พวกคุณจะรับผิดยังไง!”
รพีพงษ์พูดอย่างเด็ดขาด
“นายคะ……”
รอยยิ้มบนใบหน้าของแม่นางทอผ้าหายไปทันที เธอไม่คิดเลยว่ารพีพงษ์จะโกรธตัวเองขนาดนี้
“นายท่านใจเย็นๆ ก่อนนะครับ กระผมผิดเองที่ห้ามแม่นางทอผ้าไม่ได้ ถ้านายท่านจะทำโทษเธอ นายท่านทำโทษผมด้วยคนนะครับ!” ชยนต์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รีบพูดขึ้น
รพีพงษ์มองดูพวกเขาด้วยสายตาที่นิ่งสงบ ซึ่งทำให้เขาทั้งสองไม่สามารถเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
จากนั้นเขาค่อยๆ เดินเข้ามาหาทั้งสองแล้วพูดกับแม่นางทอผ้า “เมื่อคืนคุณเสียมารยาทมากเลยนะ ถึงแม้คุณจะเป็นหุ่นเชิด รูปร่างน่ากลัว แล้วคุณจะยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของคนอื่นได้เหรอ?”
“นายท่านคะ หนูไม่รู้จริงๆ หนูแค่แอบฟังเฉยๆ ไม่คิดว่ามันจะผิดขนาดนี้ค่ะ” แม่นางทอผ้าพูดอย่างรู้สึกผิด
“คุณว่าไงนะ แอบ……แอบฟัง?”
รพีพงษ์รู้สึกตกใจ แม่นางทอผ้าที่มาจากยุคโบราณคนนี้กล้าทำเรื่องแบบนี้จริงๆ หรือ?
“สรุปคือ ผมไม่อนุญาตให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองนะ เข้าใจที่ผมพูดไหม?” รพีพงษ์พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“แม่นางทอผ้ารับทราบแล้วค่ะ”
รพีพงษ์มองไปที่ทั้งสองแล้วพูดต่อ “ในยามวิกฤต ชยนต์ยังก้าวออกมาช่วยคุณ คุณคงได้ยินแล้วสินะ?”
แม่นางทอผ้าพยักหน้า “คนซื่อบื้อ ไม่ใช่ความผิดของเขาเลย แต่ยังมาเสนอรับผิดด้วย”
รพีพงษ์ยิ้มจางๆ จากนั้นพูดต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่ว่าจะยังไง ในเมื่อคุณทำผิดแล้วก็ต้องถูกลงโทษ!”
“นายท่านคะ……” แม่นางทอผ้าได้แต่ก้มหน้า เธอไม่กล้าที่จะต่อต้านรพีพงษ์ และเธอก็ไม่มีกำลังมากพอที่จะต่อต้านด้วย
“นายท่านครับ ถ้านายท่านจะลงโทษแม่นางทอผ้า โปรดลงโทษผมด้วยคนครับ” ชยนต์พูดอย่างหนักแน่น
“คุณพูดจริงไหม?”
รพีพงษ์เข้ามาถามชยนต์ และชยนต์ก็พยักหน้าตอบ
“ถ้าผมลงโทษโดยที่ผนึกหุ่นเชิดอย่างพวกคุณสองคนไว้บนเสาหิน คุณก็จะยอมถูกลงโทษกับแม่นางทอผ้าด้วยงั้นหรือ?” รพีพงษ์ถาม
“ผนึก?”
แม่นางทอผ้ารู้สึกตกใจและชยนต์ก็ถึงกับปากสั่น
การผนึกหุ่นเชิดนั้น สำหรับหุ่นเชิดแล้วเป็นการลงโทษที่ร้ายแรงที่สุด
นอกจากจะขยับตัวไปไหนไม่ได้แล้ว ผู้ถูกลงโทษยังต้องทนกับความเจ็บปวดที่เหมือนถูกทิ่มแทงกระดูกอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วย
“ชยนต์ คุณไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบด้วยก็ได้ ผมไม่ได้โทษคุณ เพราะเรื่องนี้แม่นางทอผ้าผิดเพียงคนเดียว!” รพีพงษ์พูดอย่างเย็นชาและไม่มีทีท่าว่าจะล้อเล่น
“ครับ ผมยินยอมครับ!” ชยนต์ก้มหน้าตอบด้วยท่าทีที่หนักแน่น
“ไอ้ซื่อบื้อ คิดว่าตัวเองเป็นท่อนไม้เหรอ! ทำไมต้องมารับผิดกับฉันด้วย!” แม่นางทอผ้าด่าอย่างดุเดือด
แต่ชยนต์ยังคงยืนนิ่งเหมือนก้อนหินด้วยสีหน้าท่าทางที่แน่วแน่และไม่มีการหวั่นไหวใดๆ
“นายท่านคะ นายท่านอย่าไปสนใจคนซื่อบื้อคนนี้นะคะ นายท่านลงโทษหนูคนเดียวก็พอ ไม่ว่าจะหนึ่งวัน หรือจะสิบปี หนูก็ยอมทำตามคำสั่งของนายท่านค่ะ” แม่นางทอผ้าพูด
รพีพงษ์มองหน้าทั้งสอง และหลังจากนั้นสามวินาทีรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“พวกคุณทั้งสองเหมาะสมกันจริงๆ นะ”
แม่นางทอผ้ากับชยนต์ตกใจทันที “นายท่านครับ นาย…….นายท่านพูดว่าอะไรนะครับ?”
รพีพงษ์ยิ้มตอบ “เมื่อกี้ผมก็แค่ทดสอบคุณทั้งสองเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าพวกคุณคงรู้สึกดีต่อกันมาหลายปีแล้วสินะ ไม่อย่างนั้นคงไม่ปกป้องกันขนาดนี้หรอก”
“ไม่ใช่เลยค่ะนายท่าน หนูจะไปชอบคนซื่อบื้อแบบนั้นได้ยังไงคะ!” แม่นางทอผ้ารีบเบะปากพูด
ชยนต์ได้แต่โบกมือปฏิเสธโดยที่ไม่รู้จะพูดอะไร
“เอาล่ะ เมื่อกี้ผมบอกแล้ว ในเมื่อพวกคุณต้องถูกลงโทษ ผมจะลงโทษให้พวกคุณเป็นสามีภรรยากัน และนี่เป็นคำสั่งของผม ห้ามฝ่าฝืนคำสั่ง!” รพีพงษ์พูดอย่างจริงจัง
“นายท่านคะ หนู……” แม่นางทอผ้าที่ดูเหมือนจะกังวล แต่สีหน้าก็เต็มไปด้วยความเขินอาย
“นายท่านครับ นายท่านจะทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ ผมกับแม่นางทอผ้า……มัน……ไม่ได้หรอกครับ!” ชยนต์ก็พูดอย่างกังวล
แม่นางทอผ้าที่ได้ยินก็รู้สึกโกรธมาก จากนั้นเธอหันไปหยิกหูของชยนต์แล้วพูดต่อ “ให้ตายสิ ไอ้ชยนต์ กล้ารังเกียจฉันใช่ไหม หรือว่านายคิดว่าฉันไม่คู่ควรสำหรับนายจริงๆ ?”
“โอ๊ย เปล่า เปล่านะ ผมก็แค่คิดว่าคุณไม่มีทางชอบผมหรอก คุณเบาๆ หน่อย” ชยนต์ไม่ได้มีท่าทีว่าจะปฏิเสธเธอ
จากนั้นรพีพงษ์ก็แยกพวกเขาทั้งสองออกจากกันและยิ้มพูดว่า “พอแล้วๆ รอให้ผมไปก่อนพวกคุณค่อยทะเลาะกัน ตอนนี้ผมมีภารกิจสำคัญจะให้พวกคุณทั้งสองไปทำ”
“ภารกิจอะไรครับ ค่ะ”
ชยนต์กับแม่นางทอผ้ามองไปที่รพีพงษ์แล้วพูดพร้อมกัน