พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1304 การต่อสู้จริงครั้งแรก
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1304 การต่อสู้จริงครั้งแรก
ด้านหน้าสุสานกษัตริย์ฉินซึ่งถูกทรายสีเหลืองกลืนกิน ชายเจ็ดแปดคนที่มีรอยแผลเป็นบนร่างกายได้มาถึงที่นี่แล้ว
“พวกคุณแน่ใจหรือว่าเสียงระเบิดเมื่อสักครู่ดังมาจากที่นี่?”
หนึ่งในนั้นกล่าวถาม
“ผมแน่ใจ”
ชายที่เป็นผู้นำกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือแดนดั่งเทพเพียงคนเดียวในหมู่คนเหล่านี้ จึงทำให้ไม่มีใครกล้าสงสัยในสิ่งที่เขาพูด
“พวกคุณคิดว่า พี่ใหญ่จะอยู่ที่นี่ไหม เสียงระเบิดเมื่อสักครู่เกิดจากเขาหรือเปล่า?” ชายคนหนึ่งกล่าวด้วยดวงตาที่ชั่วร้าย
“น่าจะใช่ ทุกคนหาให้ดี ๆ ถ้าหาเขาไม่เจอ พวกเราก็จะกลับไป”
คนที่เป็นผู้นำกล่าว
คนเจ็ดแปดคนเหล่านี้จึงมองหาไปรอบ ๆ หวังว่าจะได้พบเจอ
ขณะนี้ รพีพงษ์เดินออกมาจากพุ่มไม้ด้านข้าง สวมใส่ชุดสูทที่สั่งทำใหม่แต่ตอนนี้ชุดสูทดูโทรมไปหน่อยเนื่องจากการต่อสู้เมื่อสักครู่ และถูกปกคลุมไปด้วยทรายสีเหลือง
“ฉิบหาย ทำให้กูตกใจแทบแย่ ไอ้หมอนี้มันมาจากไหน มานี่สิ!”
ชายที่ปากแหลมแก้มตอกเหมือนลิงกล่าวกับรพีพงษ์ และคนอื่น ๆ ที่เหลือก็มองรพีพงษ์พร้อมกัน
“คุณพูดกับผมหรือ?”
รพีพงษ์ถามด้วยเสียงราบเรียบ และเดินไปหาพวกเขา
“ไร้สาระ ผมถามคุณ นอกจากคุณแล้ว คุณเห็นคนอื่นอยู่ที่นี่อีกหรือ?” ชายปากแหลมถาม
“คนอื่น?” รพีพงษ์ล้อเล่นอย่างจงใจ และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผมเห็น”
“คุณเห็น? อยู่ที่ไหน รีบบอกพวกเราเร็ว มิเช่นนั้นกูจะฆ่ามึงทันที!” อีกฝ่ายกล่าว
รพีพงษ์กล่าวอย่างไม่แยแสว่า “คนอื่น ๆ ที่ผมเห็น ก็คือพวกคุณไง”
“พวกเรา?”
ชายปากแหลมผงะไปชั่วครู่ จากนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง
เขาดึงมีดมาเซเต้ออกมา ด่าและกำลังจะพุ่งไปหารพีพงษ์ “ไอ้เด็กเปรต มึงกล้าล้อเล่นกับกู กูจะฆ่ามึง!”
“หยุดก่อน!”
สีหน้าของคนที่เป็นผู้นำเคร่งขรึม และมองไปที่รพีพงษ์ “ในเมื่อคุณไม่เห็นใครเลย ผมขอถามคุณว่า คุณเป็นใคร และคุณมาที่เกาะแห่งนี้ได้อย่างไร?”
มุมปากของรพีพงษ์ยกขึ้นเล็กน้อย “ผมเป็นใคร คุณยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้”
“ไอ้เด็กยโส แม่งฉิบหาย กูจะฆ่ามึง!”
ชายปากแหลมดุร้าย ได้เหวี่ยงมีดทันที
คราวนี้ คนที่เป็นผู้นำไม่ได้ห้ามปราม เพราะการฆ่าใครสักคนก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพวกเขาเช่นเดียวกับการกินข้าว
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่เป็นผู้นำไม่ได้รู้สึกถึงพลังทิพย์ใด ๆ จากตัวของรพีพงษ์ ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่า อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนโง่ที่ไม่มีพื้นฐานการฝึกฝนอะไร
เพียงแต่ เขามองข้ามจุดหนึ่ง การที่ไม่รู้สึกถึงระดับของผู้อื่น ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งคืออีกฝ่ายไม่เคยฝึกฝนเลย และความเป็นไปได้ประการที่สองคือระดับของอีกฝ่ายหนึ่งสูงกว่าตนเองมาก ทำให้ไม่สามารถสำรวจได้
เห็นได้ชัดว่า รพีพงษ์อยู่ในกลุ่มหลัง
มีดมาเซเต้เหวี่ยงไปทันที และเขากำลังจะจู่โจมรพีพงษ์
รพีพงษ์ยิ้มเล็กน้อย และลงมืออย่างรวดเร็ว เพียงแค่สะบัดสองนิ้ว ชายปากแหลมก็พุ่งออกไปหลายสิบเมตร เลือดพุ่งออกจากปากของเขา และเขาก็ตายทันที
อยู่แค่ระดับแดนปรมาจารย์เท่านั้น รพีพงษ์บีบเขาให้ตายได้ง่าย ๆ เหมือนกับการหายใจ
คนที่เหลืออยู่ก้าวถอยหลังไปหลายก้าวตามสัญชาตญาณ นักฝึกวิชาระดับแดนปรมาจารย์ ถูกสะบัดแล้วตายทันที?
ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจ พวกเขารู้ว่าผู้ชายที่อยู่ข้างหน้า ไม่ใช่คนที่พวกเขาสามารถล่วงเกินได้ และแม้แต่ผู้นำที่เป็นยอดฝีมืออยู่ในระดับแดนดั่งเทพ แต่ก็ไม่สามารถทำเหมือนรพีพงษ์ได้
ผ่านไปสามวินาที พวกเขาก็วิ่งหนีไป
รพีพงษ์ยิ้มและยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาคาดเดาการกระทำของฝ่ายตรงข้ามไว้แล้ว และไม่สนใจที่จะไล่ตาม
เหล่าลูกศิษย์ของสำนักสยบเซียนทั้งหมดพุ่งออกมาจากแนวทแยงมุม และล้อมคนเหล่านั้นไว้ทันที
เมื่อเห็นผู้คนจำนวนมากออกมาพร้อมกัน และแต่ละคนดูเหมือนจะมีทักษะวิชาที่ไม่ธรรมดา
ในหมู่พวกเขา พรยศอยู่ใกล้ระดับแดนดั่งเทพชั้นยอด และนิศมาอยู่ระดับแดนดั่งเทพขั้นต้นแล้ว ส่วนคนอื่น ๆ อีกหลายคนก็อยู่ในระดับแดนปรมาจารย์
รพีพงษ์เดินเข้าไปอย่างช้า ๆ และกล่าวเบา ๆ ว่า “ตอนนี้ ถึงเวลาที่ผมจะถามพวกคุณแล้ว!”
“พูดมา พวกคุณเป็นใคร มาที่เกาะนี้ทำไม มีความเกี่ยวข้องอะไรกับนภวัต!”
คำถามเหล่านี้ ทำให้พวกเขาตกใจกลัวจนหน้าซีด
คนที่เป็นผู้นำกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “พวก…..พวกเราเป็นองค์กรผู้ก่อบาป คือนภวัตเขา…..เขาขอให้พวกเรามาที่นี่ โดยบอกว่าเขาสามารถเสริมพลังความแข็งแกร่งให้พวกเราได้”
“องค์กรผู้ก่อบาป?”
“ถูกต้อง”
ผู้นำกล่าวต่อไปว่า “อันที่จริง พวกเราทั้งหมดเป็นนักโทษ รอยแผลเป็นบนร่างกายของพวกเราเกิดจากการต่อสู้กับผู้คน นภวัตเห็นว่าพวกเราแข็งแกร่งจึงพาพวกเราทั้งหมดมารวมกันเป็นทีมและตั้งเป็นองค์กรผู้ก่อบาปขึ้นมา”
“ฮ่า ๆ องค์กรผู้ก่อบาปอะไร ก็แค่กลุ่มคนร้ายเท่านั้น”
รพีพงษ์กล่าวอย่างโกรธเคือง เนื่องจากพวกเขาเป็นนักโทษ ก็ต้องเคยทำความชั่วร้ายมาก่อนมากมาย
และฟังคนเหล่านี้พูดว่า นภวัตให้พวกเขามาหาที่เกาะ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้พวกเขา
เมื่อนึกถึงยาชั้นเลิศหลายกล่องนั้น รพีพงษ์ก็เข้าใจในทันที
ยาชั้นเลิศไม่มีประโยชน์สำหรับจิตวิญญาณอย่างนภวัต แต่สำหรับคนเหล่านี้ยานั้นมีประโยชน์มากมายมหาศาล
ถ้าอย่างนั้น คนเหล่านี้ก็มาที่นี่เพื่อยาชั้นเลิศ!
“ได้โปรดปล่อยพวกเราไปเถอะ พวกเรามาที่นี่โดยไม่โดยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบ และพวกเราไม่คิดว่าจะรบกวนมนุษย์เทพ ต้องขอโทษจริง ๆ”
คนที่เป็นผู้นำกล่าวต่อ
การลงมือเมื่อสักครู่ของรพีพงษ์ สำหรับในสายตาของอีกฝ่าย มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์เทพจริง ๆ
“ปล่อยพวกคุณไป? คุณคิดว่ามันเป็นไปได้หรือ? พวกคุณในฐานะบุคคลในโลก แต่กลับให้นภวัตเป็นผู้นำ และไม่ใช่เรื่องเกินไปถ้าจะบอกว่าพวกคุณเป็นคนทรยศ” รพีพงษ์กล่าวอย่างเย็นชา และไม่คิดที่จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ
พวกเขาสัมผัสถึงรู้สึกเหน็บหนาวในดวงตาของรพีพงษ์ คนที่เป็นผู้นำกล่าวด้วยเสียงสั่นเทาว่า “คุณ….คุณอย่าฆ่าพวกเรา ผมสามารถบอกความลับอย่างหนึ่งได้!”
“ความลับ?” รพีพงษ์ขมวดคิ้วและถาม
“ถูกต้อง”
อีกฝ่ายพยักหน้าและกล่าวว่า “แต่ก่อนที่ผมจะบอกความลับกับคุณ คุณสัญญาได้ไหมว่าจะไม่ฆ่าพวกเรา”
รพีพงษ์ฮึ่มประโยคหนึ่งอย่างเย็นชา “คุณคิดว่า คุณยังมีคุณสมบัติที่จะต่อรองกับผมหรือ?”
“ผม……”
ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักจากยอดฝีมือแดนเทพ อีกฝ่ายก้มศีรษะลง ร่างของชายปากแหลมก็นอนอยู่ไม่ไกล อีกฝ่ายเชื่อว่า ถ้ารพีพงษ์จะฆ่าตนเอง ก็จะไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“คุณพูดมาเถอะ ถ้าผมพอใจกับความลับนี้ ผมสัญญาว่าจะไม่ฆ่าคุณ” รพีพงษ์กล่าวเบา ๆ
คนที่เป็นผู้นำพยักหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “นภวัตให้พวกเรามาที่เกาะนี้ โดยบอกว่าสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้พวกเราได้ อันที่จริง เขาต้องการให้พวกเราช่วยทำเรื่องบางอย่างให้เขา”
“เรื่องอะไร?”
รพีพงษ์กล่าวถาม
“เขาบอกว่า มีแดนลับอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่เนื่องจากความพิเศษของแดนลับ วิญญาณอย่างนภวัตไม่สามารถเข้าไปได้ เขาจึงเห็นถึงความสำคัญของพวกเรา”
ชายที่เป็นผู้นำกล่าว
“แดนลับ?”
รพีพงษ์ขมวดคิ้ว เขารู้ว่ามีแดนลับมากมายบนแผ่นดินจีน และเขาเคยไปมาแล้ว ใต้ทะเลสาบจงซินก็เป็นหนึ่งในนั้น
แดนลับถูกผนึกโดยผนึกพิเศษ และข้อจำกัดการเข้าสำหรับแต่ละแดนลับก็แตกต่างกัน
“เขาให้คุณเข้าไปในแดนลับเพื่อทำอะไร?” รพีพงษ์กล่าวถาม
“นภวัตต้องการเสริมความแข็งแกร่งให้พวกเรา จากนั้นให้พวกเราเข้าไปที่แดนลับพร้อมกัน เพื่อไปเอาผลไม้ที่อยู่ในแดนลับ”
“ผลไม้”
“ถูกต้อง ผลไม้นี้เรียกว่าผลเทพ เขาบอกว่าเคยได้ยินคนพูดถึงมันมาก่อน เขาขอให้พวกเราช่วยเข้าไปในแดนลับเพื่อไปเอาผลเทพ” อีกฝ่ายกล่าวตามความจริง
รพีพงษ์คิดอยู่ครู่หนึ่ง นภวัตมีชีวิตอยู่มานานกว่าสองร้อยปีแล้ว และสิ่งที่เขารู้ต้องมากกว่าตนเอง
ในเมื่อพยายามอย่างเต็มที่จะเข้าสู่แดนลับเพื่อเอาผลเทพ แค่คิดก็รู้แล้วว่า ผลเทพนั้นไม่ใช่ของต้องห้ามอย่างแน่นอน!
“แดนลับอยู่ที่ไหน?” รพีพงษ์กล่าวถาม
“ผมก็ไม่รู้ นภวัตบอกเพียงแค่ว่าอยู่ในทะเลทรายตะวันตกเฉียงเหนือ แต่เขาได้ให้แผนที่กับผมไว้”
ขณะที่กำลังพูด ชายที่เป็นผู้นำก็ได้นำแผนที่ออกมา
รพีพงษ์คว้ามันมา และเปิดแผนที่ออก มันค่อนข้างชัดเจน มีตัวอักษรเล็ก ๆ มากมายเขียนอยู่ด้านข้างซึ่งดูเหมือนเป็นคำแนะนำหรืออะไรบางอย่าง
รพีพงษ์เก็บแผนที่ไว้ คิดว่าจะศึกษาอย่างละเอียดในภายหลัง
“ผมได้บอกทุกอย่างที่ผมรู้ให้คุณแล้ว คุณปล่อยพวกเราไปได้ไหม?” ชายคนนั้นพูดกับรพีพงษ์อย่างน่าสงสาร
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือแดนดั่งเทพที่สามารถวางอำนาจบาตรใหญ่ในโลกภายนอกได้ แต่อยู่ต่อหน้ารพีพงษ์แล้ว เขาทำได้เพียงขอความเมตตา! นี่ก็คือพลังอำนาจ!
รพีพงษ์กล่าวด้วยเสียงราบเรียบว่า “ความลับที่คุณพูดนั้นไม่เลว ผมจะไม่ฆ่าคุณ”
“งั้นก็ดี! งั้นก็ดี”
ชายคนนั้นโค้งคำนับอย่างเร่งรีบ แล้วบอกกับคนที่อยู่ข้างหลังว่า“พวกเรารีบไปเร็ว!”
เพียงแต่ ขณะที่พวกเขาก้าวเดินไปเพียงสองก้าว ด้วยสายตาของรพีพงษ์ คนของสำนักสยบเซียนก็ปิดกั้นเส้นทางของอีกฝ่าย
“นี่……นี่มันหมายความว่ายังไง?”
ชายคนนั้นมองย้อนกลับไปที่รพีพงษ์ด้วยความสับสน
รพีพงษ์ยักไหล่ “ผมแค่บอกว่าจะไม่ฆ่าพวกคุณ แต่ผมไม่เคยบอกว่าจะไม่สั่งสอนพวกคุณ ไม่ต้องกังวล ผมสัญญาว่าคราวนี้จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง”
นี่เป็นการต่อสู้ที่แท้จริงครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักสยบเซียน พี่น้องเหล่านี้ของรพีพงษ์ถูกกดดันจากนภวัตจนอึดอัด และต้องการหาโอกาสที่จะระบายความเคียดแค้นในใจมานานแล้ว
สำนักสยบเซียนเผชิญหน้ากับองค์กรผู้ก่อบาป ห้านาทีต่อมา รู้ผลชนะหรือพ่ายแพ้ ตอนนี้นอกจากชายผู้มีพลังแดนดั่งเทพที่เข่ายังไม่แตะถึงพื้น ส่วนคนที่เหลือทั้งหมดล้มลงกับพื้นแล้ว
“ไสหัวออกไปทั้งหมด และอย่ามาที่เกาะนี้อีกตลอดชีวิต ได้ยินหรือยัง!”
รพีพงษ์ตะโกนเสียงดัง และคนเหล่านั้นก็รีบช่วยกันพยุงกันแล้วออกไปจากที่นี่ เหมือนกลัวว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง