พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1306 ทะเลทรายตะวันตกเฉียงเหนือ
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1306 ทะเลทรายตะวันตกเฉียงเหนือ
เมื่อได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ คนอื่น ๆ ก็ไม่พูดอะไรอีก พวกเขารู้ว่า สิ่งที่รพีพงษ์ตั้งใจทำไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถขวางได้
“รพีพงษ์ คุณจะออกเดินทางเมื่อไหร่?” นฤชัยกล่าวถาม
“ตอนนี้”
“ตอนนี้?”
เมื่อทุกคนได้ยิน ก็แสดงสีหน้าเศร้าสร้อย
ศิษย์พี่ศิษย์น้องเพิ่งได้พบกัน ยังไม่ได้คุยกันดี ๆ รพีพงษ์ก็จะออกเดินทางอีกครั้งแล้ว
“อนาคตยังอีกยาวไกล รอให้ผมออกมาจากแดนลับก่อน พวกเราจะพบกันอีกครั้งที่สำนักเทพยาเซียน!”
รพีพงษ์กล่าวเสียงดัง
เขาก็อยากหยุดฝีเท้าของตนเอง และดื่มด่ำกับทัศนียภาพรอบ ๆ แต่ว่าเขาที่ถือเรื่องทุกอย่างของโลกเป็นความรับผิดชอบของตัวเอง ก็ต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อโลกใบนี้
ทุกคนเดินไปส่งรพีพงษ์ที่ชายหาด ซึ่งเรือเร็วลำนั้นยังคงจอดอยู่
“ส่งกันพันลี้ ยังต้องจากกัน รพีพงษ์ คุณต้องระวังตัวด้วย” นฤชัยกล่าว
รพีพงษ์พยักหน้า “ผมได้ตรวจสอบเม็ดยาชั้นเลิศที่ชัชพิสิฐทิ้งไว้ในตอนบ่ายแล้ว ผมเลือกยาทั้งหมดที่มีประโยชน์ไว้แล้ว แต่จำไว้ว่า ยาเม็ดนั้นเป็นเพียงพลังภายนอก และสิ่งที่มีประโยชน์จริง ๆ คือพยายามพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองให้สูงขึ้น”
“พวกเรารู้แล้ว” นฤชัยกล่าว
“รพีพงษ์ เมื่อไปถึงแดนลับแล้ว คุณต้องระมัดระวังตัวให้มาก หรือให้ฉันไปเป็นเพื่อนคุณดีไหม?” บาวันกล่าว
“ไม่ ผมไปคนเดียวเองได้” รพีพงษ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม ถ้าเดินทางไปพร้อมกับหญิงสาวคนนี้ โดยเฉพาะสาวที่สวยเช่นนี้ เป็นการยากที่จะรับประกันว่าจะไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิดระหว่างทาง
ตอนนี้ เวลากระชั้นชิดแล้ว รพีพงษ์ไม่อยากเสียเวลามากในระหว่างการเดินทาง
“แต่คุณคนเดียว และไม่มีใครดูแลระหว่างการเดินทาง มันจะได้ยังไงล่ะ?” บารันกล่าว
รพีพงษ์ยิ้มและหยิบรูปถ่ายออกมาจากอ้อมแขน รูปถ่ายใบนี้อารียาให้ก่อนที่ตนเองจะไปที่สำนักเทพยาเซียน และตนเองได้เก็บไว้ข้างกายตลอด
“มีพวกเขาอยู่เป็นเพื่อนผมก็พอแล้ว”
รพีพงษ์กล่าวเบา ๆ ในรูปถ่าย อารียาและหนูลินยิ้มอย่างอบอุ่น
เมื่อเห็นคนสองคนในรูป บารันก็ขมวดคิ้ว และรู้สึกอิจฉาริษยาอยู่ในใจ
“เอาล่ะทุกคน เวลาก็สายแล้ว พวกคุณรีบกลับไปเถอะ รพีพงษ์ขออำลา”
พูดจบ รพีพงษ์ก็กระโดดขึ้นไปบนเรือเร็ว และเสียงคำรามของเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นในทะเลทันที
ทุกคนในสำนักสยบเซียนโบกมือให้รพีพงษ์บนชายฝั่ง จนกระทั่งมองไม่เห็นคลื่นสีขาวในทะเลอีกต่อไป…
ทะเลทรายตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นสถานที่ที่ร้อนและแห้งแล้งที่สุดในประเทศจีน
คนธรรมดามาที่นี่ มันยากมากที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น โดยเฉพาะในทะเลทรายเช่นนี้ หากผู้ไม่มีประสบการณ์มาที่นี่เป็นครั้งแรก มายังไม่ถึงวันก็อาจจะหลงทางได้
ขณะนี้ กองกำลังอูฐกำลังเดินช้า ๆ อยู่เหนือทะเลทราย
มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนหลังอูฐที่เดินนำหน้า ชายหนุ่มคนนี้สวมหมวกกันทรายที่ปีกกว้างมาก และสวมชุดทำงาน บนรองเท้าบูตมาร์ตินถูกคลุมด้วยผ้าเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทรายเข้าในรองเท้า
บนหลังอูฐที่อยู่ข้างหลังเขามีชายชราคนหนึ่งอายุประมาณ 60 ปี รอยย่นบนใบหน้าสามารถบอกได้ว่าเขาเป็นผู้นำทางที่มีประสบการณ์มากในทะเลทราย
อูฐที่เหลือแบกสัมภาระและสิ่งของที่จำเป็นไว้บนหลัง
ผิวของชายหนุ่มถูกแสงแดดส่องเป็นสีบรอนซ์ นัยน์ตาของเขาคม สามารถบอกได้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีความมุ่งมั่น
“ประมุขรพี เมื่อข้ามเนินทรายลูกด้านหน้านี้ไป ก็ถึงตำแหน่งที่กำหนดแล้ว” ชายชรากล่าว
รพีพงษ์ที่สวมแว่นกันแดดมองไปข้างหน้า ขณะนี้ แสงตะวันยามอัสดงลับขอบฟ้าบนยอดเขาภูเขาหานซาน เนินทรายที่อยู่ข้างหน้าดูเหมือนจะอยู่ใกล้มาก แต่จริง ๆ แล้วต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงถึงจะไปถึง
“ลุงตรัย ผมมาอยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว ถ้านับสองวันที่มาจากเกาะก็ใช้เวลาไปทั้งหมดห้าวันเต็ม ทะเลทรายนี้กว้างใหญ่มาก และมันก็น่าทึ่งมากด้วย!” รพีพงษ์ถอนหายใจ
ควันพวยพุ่งขึ้นบนทะเลทรายอันกว้างใหญ่ พระอาทิตย์กลมตกเหนือแม่น้ำสายยาว เมื่อมองดูทิวทัศน์อันงดงามตรงหน้าเขา รพีพงษ์รู้สึกว่าตนเองพบฉากที่บรรยายไว้ในบทกวี
“แม้ว่าทะเลทรายจะงดงาม แต่ก็เต็มไปด้วยอันตราย” ลุงตรัย กล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
รพีพงษ์รู้อยู่แก่ใจว่า ทะเลทรายที่ดูสงบแห่งนี้ แท้จริงแล้วซ่อนเจตนาสังหารไว้
พายุทรายก็เพียงพอแล้วที่จะเปลี่ยนภูมิทัศน์ที่นี่ทั้งหมด เมื่อคุณหลงทาง มีแค่ความตายเท่านั้นที่รอคุณอยู่
“ลุงตรัย ผมไม่คิดว่าจะได้พบกับผู้รับผิดชอบของกิสนาที่ซีเป่ย ทำไมคุณถึงอยากอยู่ที่นี่ล่ะ ในเมืองมีสถานที่ดีมากมาย คุณไม่ชอบหรือ?” รพีพงษ์ถามด้วยความสนใจ
ระหว่างทางจากเกาะไปทางซีเป่ย ตนเองได้โทรศัพท์บอกพ่อว่าตนเองปลอดภัยดี
ปรากฏว่าทันทีที่ตนเองมาถึงเขตแดนของซีเป่ย ลุงตรัยก็ได้มาหารพีพงษ์
ได้ยินว่ารพีพงษ์กำลังจะไปที่ทะเลทราย ลุงตรัยจึงเสนอตัวเป็นผู้นำทางให้รพีพงษ์ และใช้เวลาแค่ครึ่งวัน เขาก็เตรียมทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการเดินทางเข้าไปในทะเลทรายอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และสร้างกองกำลังอูฐนี้ขึ้นมา
ลุงตรัยจุดบุหรี่ มีรอยยิ้มที่มุมปาก แล้วกล่าวว่า “เมื่อคนอายุมากขึ้น ก็แสวงไปสู่พื้นฐานดั้งเดิม ส่วนเรื่องในเมืองนั้น ทุกอย่างที่ควรสัมผัสผมก็สัมผัสมาหมดแล้ว ทะเลทรายที่กว้างใหญ่แห่งนี้ถึงเป็นสถานที่ที่ผมฝันถึงมากที่สุด ดังนั้นผมจึงบอกกับเจ้านาย แล้วก็มาถึงซีเป่ย”
รพีพงษ์แสดงความเข้าใจ ลุงตรัยก็เหมือนกับตนเอง แม้ว่าตนเองจะอยู่ข้างนอกตลอดเวลา แต่คนสองคนที่คิดถึงอยู่ในใจมากที่สุดก็คืออารียาและหนูลิน
ขณะพูดคุย ท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ตกดิน และกลางคืนอุณหภูมิในทะเลทรายลดลงอย่างรวดเร็ว
ในระหว่างวันอุณหภูมิอาจสูงถึงสี่สิบถึงห้าสิบองศา แต่หากเป็นเวลากลางคืน ลมที่เหน็บหนาวดูเหมือนจะสามารถทำลายกระดูกมนุษย์ได้
เวลานี้ รพีพงษ์และลุงตรัยได้มาอยู่ใต้เนินทรายลูกสุดท้ายแล้ว และตอนกลางคืนมีดวงดาวเต็มท้องฟ้าที่อยู่เหนือท้องฟ้าทะเลทราย ซึ่งสิ่งพวกนี้ถ้าอยู่ในเมืองจะไม่สามารถมองเห็นได้
“นายน้อย ถ้าเดินทางข้ามเนินทรายในตอนกลางคืนจะอันตรายมาก และตอนนี้ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว พวกเราตั้งค่ายพักแรมที่ใต้เนินทรายสักคืนหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินข้ามเนินทราย คุณคิดว่าเป็นไง”ลุงตรัยกล่าว
“ทำตามที่คุณบอก”
รพีพงษ์เห็นด้วย
หลังจากมัดอูฐเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็รีบตั้งเต็นท์
สุราหนึ่งขวด กองไฟหนึ่งกอง รพีพงษ์นั่งอยู่นอกเต็นท์แล้วมองไปที่ขอบฟ้า
ทวีปโอชวิน เป็นการดำรงอยู่แบบไหน?
รพีพงษ์ดื่มสุรา และการเผาไหม้ของแอลกอฮอล์ดีกรีสูงจากลำคอลงไปที่ท้อง
“สะใจ!”
รพีพงษ์ขว้างขวดสุราอย่างสง่า จากนั้นก็ยืนขึ้น
ก็แค่ทวีปโอชวิน เป็นลูกผู้ชายต้องมีความรับผิดชอบ ถ้าไม่สามารถทำเรื่องให้เกริกก้อง สะเทือนเลื่อนลั่นได้ ก็เสียแรงที่เกิดมาในโลกใบนี้?
ลุงตรัยที่อยู่ด้านข้างมองรพีพงษ์ที่ท่าทางสง่าในเวลานี้ ด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจบนใบหน้า
ก่อนที่รพีพงษ์จะมา เขาได้ยินมาว่านายน้อยของตนเองนั้นเกิดมาไม่ธรรมดา เมื่อวันนี้ได้เห็น และมันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
เวลาผ่านไปนาน ลุงตรัยก็เข้าไปนั่งในเต็นท์ และตะโกนออกมาว่า “นายน้อย ข้างนอกอากาศหนาว เข้ามาพักผ่อนข้างในก่อนเถอะ”
“รู้แล้วครับ ลุงตรัย คุณนอนพักผ่อนไปก่อนเถอะ”
รพีพงษ์ตอบ
กองไฟค่อยๆดับลง รพีพงษ์รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยจากเร่งการเดินทาง เพื่อที่จะเข้าสู่แดนลับอย่างราบรื่นในวันพรุ่งนี้ รพีพงษ์จึงเข้าไปพักผ่อนในเต็นท์แต่เนิ่น ๆ
รอบ ๆ เงียบสงบ เวลาเที่ยงคืน ทันใดนั้น รพีพงษ์ที่อยู่ในเต็นท์ก็ลืมตาขึ้น
“มีคน?”
รพีพงษ์เกิดคำถามขึ้นในใจ และเมื่อเขาปล่อยพลังจิต เขาสามารถรับรู้ถึงสถานที่ที่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตนเอง มีเสียงฝีเท้ามุ่งหน้ามาทางที่ตนเองอยู่
รพีพงษ์มาที่เต็นท์ของลุงตรัย และกำลังจะปลุกลุงตรัย แต่ทันใดนั้นเต็นท์ถูกเปิดออก
ลุงตรัยที่สวมเสื้อผ้าฝ้ายหนาๆ ที่มีประสบการณ์มากมาย เขาต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลาเมื่ออยู่ในทะเลทราย
“นายน้อย……”
“ชู่วว ไม่ต้องพูด ดูเหมือนว่ามันจะมาทางพวกเราแล้ว”
รพีพงษ์กระซิบ และดึงลุงตรัยออกมา แล้วทั้งสองก็เดินไปหลบซ่อนอยู่ไม่ไกลจากเต็นท์
ประมาณห้านาทีต่อมา มีคนสองคนปรากฏตัวอยู่ในระยะไกล พวกเขาขี่อูฐสองตัวและดูเหนื่อยมาก
หลังจากที่พวกเขาเห็นเต็นท์ของรพีพงษ์อยู่ไม่ไกล พวกเขาตื่นเต้นมาก จากนั้นก็กระโดดลงจากอูฐ
“พี่ ดูสิ มีคนอยู่ที่นี่ พวกเรารอดแล้ว!”
หญิงสาวกล่าวอย่างมีความสุข
ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน “ให้ตายสิ สวรรค์ไม่ลืมผม น้องไม่ต้องรีบ พี่จะเชิญคนในเต็นท์ออกมาก่อน แล้วให้พวกเขาหาอะไรให้พวกเรากิน”
คิ้วของหญิงสาวหักเหลี่ยม “ไม่ต้องเชิญหรอก พวกเรายกเต็นท์ออก คนข้างในก็จะออกมาเอง!”