พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1325 โทเค็นโกลเด้น
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1325 โทเค็นโกลเด้น
นรียาก็มองยาพิษเม็ดสีแดงในมือ แล้วก็เหม่อลอยไป
“น้องพี่ แกฟังพี่นะ ในอานาคตพี่จะต้องรับช่วงต่อกิจการของโฮมสเตย์คัมแบค ช่วงชีวิตที่รุ่งโรจน์กำลังรอพี่อยู่ แกอย่าฆ่าพี่เด็ดขาดนะ” พชรก็เห็นว่าสายตาของนรียายิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยพูดอย่างรีบร้อน
นรียาค่อยๆ เดินมาตรงหน้าพชรทีละก้าว ดวงตาของเธอจ้องมองพชรนิ่งไม่ขยับ สายตานั้น ราวกับมองทะลุนิสัยของพชรไปหมดแล้ว
“น้องพี่ แก…อย่าเข้ามานะ แกอย่าเข้ามา!” พชรพูดอย่างร้อนรน
ตอนนี้ในหัวเขามีความคิดที่จะทำร้ายนรียา แต่ตนเองก็บาดเจ็บหนัก และรพีพงษ์ก็อยู่ข้างๆ ด้วย เขาลงมือไปไม่ได้
“พี่ว่า ยาพิษเม็ดนี้ให้ฉันกินหรือให้พี่กินดีล่ะ!”
พอมาถึงตรงหน้าพชร นรียาก็พูดออกมาอย่างเย็นชา
“น้องพี่ แกบอกว่าชอบพี่ไม่ใช่หรือ พ่อของพี่ก็มีลูกชายเพียงคนเดียว พี่จะตายไม่ได้ แกก็คงไม่ยอมให้พี่ตายหรอก ใช่ไหม” พชรคุกเข่าลง แล้วจับชายกระโปรงขอร้องนรียา
“พี่จะไม่ได้ ดังนั้นก็เลยจะให้ฉันไปตายแทน ใช่ไหม?” นรียาถามอย่างเย็นชา
ก่อนหน้านี้เธอถูกความรักบังตา แต่ตอนนี้ พอได้รู้จักนิสัยใจคอที่แท้จริงของพชรแล้วนั้น โฉมหน้าที่อำมหิตเลือดเย็นก็เปิดเผยออกมา
“ฉันก็เป็นแค่ญาติพี่น้องจนๆ คนหนึ่งเท่านั้น จะไปใฝ่ฝันเอื้อมมือหาคุณชายอย่างพี่ได้อย่างไรล่ะ”
“ไม่ น้องพี่ พี่ผิดไปแล้ว พี่ขอยกเลิกคำที่พี่พูดก่อนหน้านี้ทั้งหมด อย่าให้พี่กินยาพิษเลยนะ อย่าให้พี่กิน!” พชรแทบจะตะโกนออกมา
นรียาก็จ้องมองเขาอย่างเย็นชา เธอในตอนนี้ รู้สึกผิดหวังกับชายตรงหน้าอย่างที่สุด
“พี่เพิ่งบอกว่า ไม่ยอมตายกับฉัน ใช่ไหม” นรียาพูดเบาๆ แล้วปากก็เผยรอยยิ้มแปลกๆ ออกมา
“เอ่อ……..”
พชรยังไม่ทันได้ตั้งสติ ก็เห็นว่านรียาเอายาพิษใส่ปากแล้ว จากนั้นก็ดึงตัวของพชรที่กำลังบาดเจ็บอยู่เข้ามา
สุดท้ายก็จูบปากกัน ยาพิษในปากของนรียาถูกแบ่งเป็นสองส่วน ครึ่งแรกเข้าไปในปากตนเอง อีกส่วนถูกพชรกินเข้าไป
พอยาเขาปากก็ละลาย พชรอยากจะคายออกมาก็ไม่ทันแล้ว
“อีผู้หญิงบ้านี่ กู กูจะฆ่ามึง!”
พชรตะโกนเสียงดัง แต่จากนั้น เขาก็ใช้สองมือจับที่ลำคอตนเอง สีหน้าก็เขียวม่วงออกมา
พิษออกฤทธิ์เร็ว แม้แต่รพีพงษ์ก็ยังอึ้งๆ
ไม่นาน ที่พื้นก็มีคนสองคนนอนอยู่ ไม่ขยับตัว และไม่มีลมหายใจแล้ว
รพีพงษ์ก็มองสองคนนั้นอย่างเย็นชา สำหรับการตายของพวกเขาทั้งสองคน เขาก็แทบจะไม่ใส่ใจอะไรเลย
แต่กลับกัน ในช่วงเวลาสุดท้ายนั้น เขาก็ได้เห็นความทุเรศของมนุษย์
การตายของพชรและนรียานั้น สำหรับในแดนลับแห่งนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรมากนัก
หนึ่งก็เพราะว่าภาณินไม่ค่อยพอใจพวกเขาสองคนอยู่แล้ว สองก็เพราะสองคนนี้เป็นคนภายนอกแดนลับอยู่แล้ว ทหารของแดนลับไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไรนัก
พอกลับมาที่ห้อง คืนนี้เมื่อเทียบเมื่อคืนนี้แล้วนั้น ท่าทางที่ภาณินมีต่อตนเองก็เปลี่ยนไป
เมื่อคืนยังมีคนมาส่งของกินอร่อยๆ ให้ แต่วันนี้ไม่มีใครมาเลย
ดูเหมือนว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในลานประลองวันนี้ ทำให้ภาณินไม่สบายใจ
แต่ว่าการที่เป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมา3ปี รพีพงษ์ก็ได้คุ้นเคยกับสายตาดูถูกเหยียดหยามไปนานแล้ว หาอะไรมากินนิดหน่อย ก็ถือว่าได้กินมือเย็นแล้วล่ะ
ช่วงดึก รพีพงษ์เปิดประตู แล้วเดินออกไป
คืนนี้ดูเหมือนจะเงียบสงบกว่าสองคืนก่อนหน้านี้มากนัก
รพีพงษ์สัมผัสได้อย่างชาญฉลาดว่า ทหารเวรยามของคืนนี้ได้หายไปทั้งหมด
จิตใจคนเย็นชาขึ้น รพีพงษ์ยิ้มแหย หรือว่าเป็นเพราะวันพรุ่งนี้ตนเองจะจากไปแล้ว บวกกับช่วงกลางตนเองได้เป็นปรปักษ์กับภาณินอย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้น คนที่นี่ก็เลยไม่สนใจตนเอง และไม่ได้ช่วยระแวดระวังให้เหมือนเมื่อนก่อนแล้ว
แบบนี้ก็ดี รพีพงษ์ก็เดินเล่นในสวนดอกไม้ เดินไปทางตึกใหญ่
ไม่พูดไม่ได้เลยว่า สภาพแวดล้อมของแดนลับแห่งนี้มันดีมาก ในโลกนี้สถานที่ที่สามารถเทียบความสวยของที่นี่ได้ เกรงว่าคงจะมีแต่ที่สำนักเทพยาเซียนเท่านั้น
ในตอนนี้เอง รพีพงษ์ก็พบว่า ตรงหน้าไม่ไกลมีทหารกำลังวิ่งเข้ามาช้าๆ อยู่7-8คน สีหน้าล้วนเป็นกังวล
รพีพงษ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจก็กำลังคิดว่าจะอธิบายกับทหารพวกนี้อย่างไร ว่าตนเองทำไมมาอยู่ที่นี่ได้
แต่ทว่า สิ่งที่ทำให้รพีพงษ์รู้สึกแปลกใจก็คือ ทหารพวกนี้วิ่งผ่านหัวไหล่ตนเองไป จนแทบจะไม่มองเลยด้วยซ้ำ
รพีพงษ์ก็เหล่มองคนพวกนี้ สีหน้าทหารพวกนี้ดูเป็นกังวล ปลายทวนปลายหอกก็เป็นมันเงา ดูก็รู้ว่าเพิ่งลับคมมาใหม่ๆ
หรือว่าในแดนลับนี้จะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น?
รพีพงษ์ครุ่นคิด จากนั้นก็คิดว่าวันพรุ่งนี้ตนเองก็ต้องกลับออกไปจากที่นี่แล้ว เข้าไปยุ่งให้น้อยหน่อยก็ดี ดังนั้นเขาก็เลยไม่ได้อยากสนใจมากนัก
อีกอย่าง บนตึกนั้น วรันธรก็กำลังรอตนเองเพื่อที่จะปรึกษาเรื่องในวันพรุ่งนี้
เขารีบก้าวเท้าเดินไปยังตึก รพีพงษ์ก็เดินขึ้นชั้น3ไปอย่างมั่นใจ
ยังไม่ทันได้เคาะประตู ประตูก็เปิดออก ดูเหมือนว่าวรันธรจะรออยู่นานแล้ว
แต่ที่แปลกใจก็คือ ในห้องบนตึกนั้น ไม่เพียงมีวรันธรคนเดียวเท่านั้น ณรงค์ก็อยู่ที่นี่ด้วย
รพีพงษ์ก็ยิ้มมุมปาก ไม่ต้องพูดอะไรมาก ดูเหมือนว่า วรันธรคงบอกเรื่องที่ตนเองจะพาพวกเขาสองคนหนีออกไปจากแดนลับนี้ให้กับณรงค์หมดแล้ว
และณรงค์ก็ได้ยินยอมแล้วด้วย ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เขาก็คงไม่ฝ่าอันตรายยามค่ำคืนมาที่อยู่ที่นี่หรอก
“บุกเข้าห้องคุณหนูยามกลางดึก ณรงค์ ถ้าเจ้าสำนักของพวกคุณรู้เข้าล่ะก็ คงจะไม่ปล่อยคุณไปแน่”
รพีพงษ์แกล้งๆ พูด แต่หัวหน้าทหารคนนี้ก็เหงื่อตกอยู่เหมือนกัน และไม่ได้ขำกับการ “แซวเล่น” ของรพีพงษ์เลย
ก็เหมือนกับชื่อของเขา ที่แปลว่าหน้านิ่งไร้อารมณ์!
“รพีพงษ์ ขอบคุณมากที่ตอนกลางวันช่วยผมกับคุณหนูพูดออกไป แต่ว่าตอนนี้ ผมเรื่องที่อยากจะคุยกับคุณ” ณรงค์กล่าว
“โอ๋? งั้นผมก็ต้องพร้อมรับฟังเสียแล้วล่ะ”
รพีพงษ์พูดออกไปอย่างไม่สนใจ เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า ผู้ชายที่ไม่ค่อยพูดค่อยจาคนนี้ จะพูดอะไรกับตนเอง
“ผมอยู่ที่นี่นานไม่ได้ คุณหนูเพิ่งเอาแผนของคุณบอกให้ผมฟัง ผมซาบซึ้งมาก”
พูดไป ณรงค์ก็ยกมือคำนับให้รพีพงษ์ จากนั้นก็พูดด้วยสายตาเย็นชาว่า “คืนวันนี้ ผมได้รับโทเค็นโกลเด้นของเจ้าสำนักมา”
“อะไรนะโทเค็นโกลเด้นงั้นหรือ?” วรันธรสะดุ้งพูดออกมา สายตาก็ตกใจกลัว
รพีพงษ์ก็มองวรันธร “ทำไมล่ะ โทเค็นโกลเด้นมันหมายความว่าอย่างไร?”
วรันธรพูดอย่างกังวลว่า “ตั้งแต่ที่พ่อฉันได้เป็นเจ้าสำนักมา จนถึงวันนี้โทเค็นโกลเด้นถูกเอาออกมาใช้แค่2ครั้งเท่านั้น”
“สองครั้งหรือ?” รพีพงษ์ถามอย่างสนใจ “แล้วครั้งแรกคือ…….”
“ครั้งก่อนนั้น เป็นวันที่แม่ฉันเสีย” วรันธรเริ่มมีสายตาเศร้าๆ “วันนั้น พ่อฉันค่อนข้างกังวล หลังจากที่สั่งการโทเค็นโกลเด้นออกไป ก็สั่งการให้คนในแดนลับทั้งหมดเตรียมกำลังสู้รบในระดับที่หนึ่ง”
“เตรียมรบขั้นหนึ่งงั้นหรือ?” รพีพงษ์ก็รับรู้ได้ถึงความใหญ่ของเรื่องที่เกิดขึ้น “มีศัตรูจากภายนอกบุกเข้ามางั้นหรือ?”
วรันธรส่ายหัว “ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่คนในแดนลับทุกคนก็เตรียมพร้อมกันไปตั้ง5วัน ดังนั้น ครั้งนี้ไม่คิดเลยว่า พ่อฉันจะสั่งโทเค็นโกลเด้นออกมาอีกครั้ง”
รพีพงษ์ยิ้มเบาๆ แล้วมองณรงค์ “ดูเหมือนว่า โทเค็นโกลเด้นในครั้งนี้ น่าจะเอามาเพื่อจัดการกับฉันแล้วล่ะ”
ณรงค์พยักหน้า แต่ก็ยังไม่ได้เผยสีหน้าอะไรออกมาเหมือนเดิม
“รพีพงษ์ ตอนกลางคืนเจ้าสำนักเรียกพวกเราไปรวมตัวกันที่ห้องโถง ก็เพื่อที่จะยับยั้งไม่ให้คุณกลับออกไปจากแดนลับในวันพรุ่งนี้”
“เพราะอะไร?” รพีพงษ์ถาม
ณรงค์ส่ายหน้า “ความคิดของเจ้าสำนัก พวกเราไม่อาจคาดเดาได้ แต่ผมคิดว่า น่าจะเกี่ยวกับที่วันนี้คุณไปเสียมารยาทกับเขา”
“ขอบคุณคุณมากที่เอาเรื่องนี้มาบอกผม แต่ว่า ถ้าหากเขาคิดว่าอาศัยทหารอย่างพวกคุณมาขวางผมได้ล่ะก็ งั้นก็ไร้เดียงสาเกินไป” รพีพงษ์ยิ้มพูด
พอณรงค์ได้ยิน ก็กระตุกมุมปาก เขามองวรันธรที่ยืนอยู่ข้างๆ ตนเอง จากนั้นก็พูดว่า “ผมยอมรับ ว่าพลังของคุณนั้นแข็งแกร่ง ถึงแม้พวกเราจะมีคนมาก แต่ถ้าคุณมีใจที่จะกลับออกไป ก็จะไม่มีใครห้ามคุณไว้หรอก แต่ว่า….ถึงแม้จะรั้งคุณไว้ไม่ได้ งั้นผมกับคุณหนูก็จะ…….”
รพีพงษ์ก็เข้าใจความหมายของณรงค์ และเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนที่เดินมาเมื่อครู่นี้ สีหน้าของทหารทั้ง7-8คนนั้นถึงได้เป็นกังวล
ถึงแม้ตนเองจะสามารถบุกทำลายกำแพงป้องกันของทุกคนไปได้ แต่ว่าเขาก็คิดจะพาเขาและวรันธรไปด้วย ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ ความยากมันก็จะเพิ่มมากขึ้น ถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมา วรันธรและณรงค์ก็จะไม่มีชีวิตอยู่ได้ต่อไป
“รพีพงษ์ คุณหนู ผมอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เจ้าสำนักก็จะสงสัย ผมขอตัวก่อน”
ณรงค์กล่าว เตรียมจะหันหลังกลับไป
“ณรงค์!” วรันธรเรียกเขาอยู่ข้างหลัง สายตาอาลัยอาวรณ์
ณรงค์พูดเสียงต่ำว่า “คุณหนูครับ ต่อไปก็ฟังที่รพีพงษ์บอก ทำตามสิ่งที่เขาบอกก็พอแล้ว ที่เหลือ ก็ปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาก็แล้วกัน”
พูดจบ ณรงค์ก็ออกไปจากตึก