พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1326 คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1326 คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป
ในตอนนี้ ในห้องเหลือเพียงรพีพงษ์และวรันธรสองคน
วรันธรร้อนใอย่างเห็นได้ชัด
เธอไม่คิดเลยว่า พ่อตนเองจะเล่นไม้นี้ ถึงได้ใช้โทเค็นโกลเด้นออกมาในจังหวะสุดท้าย
บางที ชีวิตตนเองอาจจะถูกกำหนดให้อยู่ที่นี่ตลอดชีวิต และถูกกำหนดให้ไม่สามารถใช้ชีวิตกับคนที่รักได้
วรันธรนั่งข้างหน้าต่าง มองแสงจันทร์ที่ส่องสว่างด้านนอก สายตาก็โศกเศร้า
รพีพงษ์มายืนข้างๆ เธอ แล้วถามนิ่งๆ ว่า “บอกกับผมได้ไหม ว่าพรุ่งนี้ประตูแดนลับจะเปิดเวลาไหน”
เพราะถึงอย่างไรก็มาที่นี่เป็นครั้งแรก รพีพงษ์ไม่รู้แน่ชัดว่าเวลาออกไปจากที่นี่จะเป็นช่วงเวลาไหน
“ประตูแดนลับจะเปิดออกตอนที่แสงอาทิตย์ในยามสาย สาดส่องไปยังส่วนบนของตำหนัก และจะเปิดออกเป็นเวลา10นาที ดังนั้นถ้าอยากจะออกไปจากที่นี่ จะมีเวลาเพียง10นาทีเท่านั้น” วรันธรตอบ
รพีพงษ์พยักหน้า นึกถึงสองวันก่อนที่ตนเองอยู่ที่นี่ ก็เพราะว่าท้องฟ้าเกิดปรากฏการณ์แปลกๆ แล้วก็เกิดปรากฏการณ์ภาพลวงตา
“10นาที เวลามันกระชั้นชิดมาก” รพีพงษ์กล่าว
วรันธรเห็นว่าแม้แต่รพีพงษ์ก็บอกแบบนี้ สายตาก็ยิ่งเศร้าสร้อยมากกว่าเดิม
ผ่านไปสักพัก เธอก็พูดเหมือนตัดสินได้ว่า “ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปขอร้องพ่อฉัน ให้วันพรุ่งนี้ปล่อยคุณไปดีๆ ส่วนฉัน ก็อยู่ที่นี่ต่อไป อย่างน้อย ฉันก็ยังได้เห็นเขาที่สนามฝึกทุกวัน เขาเองก็แอบติดตามฉันได้อยู่”
“แต่ว่า…….นี่เป็นสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ หรือ?” รพีพงษ์หันกลับไปถาม “หรือว่าคุณลืมไปแล้ว ว่าความสุขของตนเอง จะต้องวิ่งเข้าไปคว้ามันไว้เอง!”
พอเห็นดวงตาที่เป็นประกายของรพีพงษ์ วรันธรก็ส่ายหน้าถอนหายใจ “รพีพงษ์ ถึงแม้พวกเราจะรู้จักกันไม่นาน แต่ฉันก็ยังยอมรับในตัวคุณ ที่ไม่ว่าเวลาไหน คุณก็ยังมุมานะไม่ยอมแพ้ ราวกับปัญหาทุกอย่างตรงหน้ามันทำอะไรคุณไม่ได้เลย”
รพีพงษ์ยิ้มเบาๆ “อาจจะเป็นเพราะผ่านเรื่องราวอะไรมาเยอะน่ะ”
วรันธรพยักหน้า “อยากออกไปดูโลกภายนอกกับคุณจริงๆ ดูสิว่าจะเต็มไปด้วยแสงสีอย่างที่คุณบอกหรือเปล่า”
“ถ้างั้น วันพรุ่งนี้ก็รีบตามผมมาสิ” รพีพงษ์พูดอย่างตั้งใจ
“แต่ว่า…….ทหารพวกนั้นของพ่อฉัน คงจะต้องขวางคุณอย่างเต็มกำลังแน่” วรันธรกล่าว
รพีพงษ์พูดเสียงขรึม “คุณก็พูดถูก แต่ว่า ต่อให้แน่นหนาแค่ไหนก็ต้องมีช่องโหว่ อย่าลืมนะว่า พวกเรามีณรงค์เป็นไส้ศึก”
“หือ?”
วรันธรมองรพีพงษ์อย่างไม่เข้าใจ เห็นแต่รอยยิ้มแปลกๆ ในดวงตานั้น
ด้านนอกห้องโถงของตำหนัก มีทหารสวมชุดเกราะยืนเรียงแถวเป็นแนวป้องกันกว่าหลายสิบชั้น แต่ละคนฮึกเหิมเต็มกำลัง
พอโทเค็นโกลเด้นออกมา พวกเขาก็รู้ว่า จะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
ส่วนด้านในของห้องโถง หัวหน้าทหารที่แยกไปดูแลทหารก็ยืนเป็นแถวตอนลึก เพื่อรอคำสั่งของภาณิน
ภาณินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรสีทอง มีสายตานิ่งขรึม เขามองรอบๆ ไปที่ด้านล่าง แล้วพูดเสียงขรึมว่า “ณรงค์ล่ะ ทำไมยังไม่มาอีก!”
ตอนที่กำลังพูด ที่ประตูก็มีเสียงของณรงค์ส่งเข้ามา “เรียนท่านเจ้าสำนัก ณรงค์รายงานตัวครับ!”
“โทเค็นโกลเด้นปรากฏ แต่เอ็งกลับมาสาย ว่ามา มันเพราะอะไรกัน!”
ภาณินพูดอย่างโมโห
ณรงค์คุกเข่าที่พื้น คำนับพูดว่า “วันนี้ที่ประลองกันที่ลานประลอง ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ดังนั้นก็เลยเดินช้าครับ กระผมขอรับโทษครับ!”
สายตาร้ายๆ ของภาณินมองไปที่ณรงค์ สักพักก็สะบัดมือ “ช่างเถอะ เอ็งลุกขึ้นมายืนข้างๆ”
ณรงค์ก็ไม่พูดมาก ลุกขึ้นมายืนข้างๆ
“วันนี้เรียกพวกเอ็งมารวมตัวที่นี่ คาดว่าพวกเอ็งคงจะรู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ภาณินมองพวกหัวหน้าทหารทั้งสิบกว่าคน แล้วพูดว่า “พวกเราอยู่ที่นี่ ปลีกตัวจากโลกภายนอก หลายร้อยปีมานี้มีคนภายนอกเข้ามาน้อยมาก โดยปกติแล้ว กูจะไม่คิดฆ่าพวกคนภายนอกพวกนั้น และยอมปล่อยพวกมันไปดีๆ แต่วันนี้ รพีพงษ์มันมาท้าทายอำนาจของกูที่ลานประลอง พวกเอ็งว่า กูจะปล่อยมันไปได้ไหม!”
“ไม่ได้!”
ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน
ณรงค์ก็คำนับพูดว่า “กระผมสมควรตาย ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะผมคนเดียว ให้ผมตายเพื่อรับโทษก็แล้วกันครับ!”
ภาณินยิ้มเย็นพูดว่า “อยากจะตายรึ มันไม่ง่ายหรอก รอวันพรุ่งนี้ค่อยตายก็ยังไม่สายหรอก แต่ว่าตอนนี้ กูยังต้องการให้เอ็งมาช่วยสู้รบ เพื่อฆ่าไอ้รพีพงษ์นั่นเสีย!”
“กระผม…..น้อมรับคำสั่ง!” ณรงค์ตอบรับ แล้วถอยหลังไป
ภาณินเอามือตบพนักแขนเก้าอี้มังกร “กูจะบอกให้นะไอ้รพีพงษ์ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่มึงคิดจะมา จะไปก็ไป”
“พวกเราจะบุกโจมตีฆ่ารพีพงษ์อย่างเต็มกำลัง!”
ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน
ภาณินพยักหน้า คนพวกนี้ถือว่าเชื่อฟังตนเองอย่างมาก จุดนี้ทำให้เขาพอใจมาก
“พลังของรพีพงษ์ วันนี้พวกเอ็งก็คงได้เห็นแล้ว มันอาจจะสมกับคำที่ว่าเป็น เทพสงคราม ได้เลย กูยังไม่เคยคนอายุวัยเดียวกับมัน แล้วมีฝีมือขนาดนี้มาก่อน ยิ่งน่ากลัวกว่านั้นก็คือ ไอ้หมอนี่มีพลังวิชาที่ฝึกฝนมา ไม่งั้นล่ะก็ มันก็คงจะมาที่นี่ไม่ได้ แต่คนแบบนี้กลับเป็น…….”
ภาณินนึกถึงตอนที่รพีพงษ์ปฏิเสธลูกสาวตนเองต่อหน้าผู้คน แล้วก็สามาแสดงละครที่ลานฝึกซ้อมอีก ในใจก็ยิ่งโกรธเกลียดหนักกว่าเดิมหลายเท่า
เดิมทีนั้น คนที่มีฝีมือดีๆ แบบนี้ น่าจะอยู่กับตนเองถึงจะถูก
ในเมื่อไม่ได้มาครอบครอง ก็ทำลายมันเสีย
ภาณินมองทุกคน “พรุ่งนี้ จะเป็นสงครามนองเลือด ถ้าพวกเอ็งมีใครปอดแหก ตอนนี้ก็ออกไปเสีย กูจะไม่บังคับใคร!”
พอพูดออกไป หัวหน้าทหารด้านล่างทั้งหมดก็ไม่มีใครยอมออกไป
“ดีมาก พวกเอ็งล้วนเป็นทหารหาญของกู ในเมื่อเป็นแบบนี้ วันพรุ่งนี้พวกเราก็สู้ให้เต็มที่!เดี๋ยวกูจะมอบรางวัลให้ที่นี่” ภาณินพูด จากนั้นก็มองหัวหน้าทหารด้านล่างทุกคน โดยเฉพาะณรงค์
จากนั้น เขาก็พูดเปรยๆ ว่า “พรุ่งนี้ ถ้าใครสามารถฆ่าไอ้รพีพงษ์ได้ ลูกสาวของกูก็จะแต่งงานกับผู้กล้าคนนั้น และวันข้างหน้าหลังจากกูตายไปแล้ว ตำแหน่งเจ้าสำนักก็จะเป็นของคนนั้น!”
รางวัลนี้มันยิ่งใหญ๋มาก วรันธรอยู่ที่นี่ก็เหมือนเป็นนางฟ้าเดินดิน พวกลูกน้องพวกนี้อยากจะได้จนตัวสั่น
เพียงแต่ คนด้านล่างก็สงสัย ก่อนหน้านี้เจ้าสำนักบอกอย่างชัดเจนว่า จะไม่มีทางให้คุณหนูมาแต่งงานกับคนอย่างพวกเขา แต่ตอนนี้ ทำไมถึงได้เปลี่ยนล่ะ?
แต่จากนั้น จากในสายตาที่ภาณินมองณรงค์ พวกเขาก็เหมือนจะเดาอะไรออกได้
สีหน้าของณรงค์ยังคงเย็นชา แต่ในใจกลับเจ็บปวดเกินบรรยาย
ด้านหนึ่ง รพีพงษ์ก็รับปากแล้วว่าจะพาตนเองและวรันธรออกไปจากที่นี่ ส่วนอีกด้าน ถ้าตนเองสามารถปลิดชีพของรพีพงษ์ได้ตามคำสั่งของภาณิน ตนเองก็สามารถสู่ขอวรันธรได้
ฝั่งหนุ่งเป็นความจงรักภักดีของตนเองที่มีต่อเจ้าสำนัก อีกฝั่งก็คือรพีพงษ์ที่กล้าเสียมารยาทต่อเจ้าสำนักเพื่อเรื่องของตนเอง ณรงค์อยู่ในจุดที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ดังนั้น ไอ้พวกที่บอกว่าชอบลูกสาวกูก็ฟังให้ดี กูไม่ใช่ว่าจะไม่ให้โอกาส ตอนนี้โอกาสอยู่ตรงหน้า ทุกอย่างก็ต้องรอดูผลงานของพวกมึงในวันพรุ่งนี้แล้วล่ะ!”
ภาณินพูดเสียงดัง คำพูดนี้มันชัดเจนมาก เห็นได้ชัดว่าพูดให้ณรงค์ได้ยิน
“โอเค พวกมึงไปเตรียมตัวได้ เช้าวันพรุ่งนี้ ทุกคนมารวมพลกันที่หน้าตำหนัก”
พูดจบ ทุกคนก็แยกย้ายออกไป พวกเขาลูบคลำกำปั้นตนเอง เพื่อรอเวลาที่ประตูแห่งแดนลับจะเปิดออกในวันพรุ่งนี้
“ฟ้าสางแล้ว!”
ในตึก วรันธรที่อยู่ข้างหน้าต่าง ก็พูดขึ้นมา
ทั้งสองคนไม่ได้นอนกันทั้งคืน ตอนที่แสงสุริยันส่องเข้ามาในหน้าต่างนั้น รพีพงษ์เงยหน้าขึ้น แล้วยิ้มวรันธรสบายใจ “วางใจเถอะ หลังจากวันนี้ไป คุณก็จะได้ใช้ชีวิตใหม่ของคุณแล้ว”
พูดจบ เขาก็เดินลงตึกมา แล้วเดินไปยังตำหนักหลักของแดนลับคนเดียว
สายลมยามเช้าค่อนข้างเย็น ในตอนนี้ รพีพงษ์ยืนอยู่หน้าตำหนัก รอบตัวเขา มีทหารที่เตรียมพร้อมมาหลายชั่วโมง แต่ละคนสีหน้ากังวล ในมือถืออาวุธ แล้วล้อมรพีพงษ์ไว้ตรงกลาง
“ยังเช้าอยู่ พวกนายจะเข้ามาทีละคน หรือเข้ามาพร้อมกันล่ะ ผมได้หมด” รพีพงษ์ยิ้มพูด ไม่เห็นคนพวกนี้อยู่ในสายตาด้วยซ้ำไป