พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1333 กลับสู่กลุ่มสิงโต
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1333 กลับสู่กลุ่มสิงโต
เมื่อเห็นสีหน้าตึกเครียดของหงส์ รพีพงษ์ก็รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นที่กลุ่มสิงโตอย่างแน่นอน
“ได้สิ ผมจะกลับไปกับคุณเดี๋ยวนี้เลย”
รพีพงษ์พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น หลังจากที่ยื่นสมุนไพรหลิงสุ่ยให้กับลุงตรัยและกล่าวอำลากับเขาแล้ว รพีพงษ์ก็ออกเดินทางไปกับหงส์
เมื่อเห็นรพีพงษ์ค่อยๆ เดินจากไป ญาณินก็พูดเบาๆ ว่า “คุณอาคะ คุณอาคิดว่าหนูจะได้เจอพี่รพีอีกไหมคะ?”
ลุงตรัยถือยาสมุนไพรหลิงสุ่ยในมือด้วยรอยยิ้มที่มุมตา
“คนดีอย่างนายน้อย ถึงแม้จะไม่ได้เจอบ่อยๆ แต่เรื่องราวของเขานั้น เราจะได้ฟังบ่อยๆ อย่างแน่นอน”
จากนั้นทั้งสองก็หันเดินจากไป เพราะการมาของรพีพงษ์ พวกเขาถึงได้สมุนไพรหลิงสุ่ย และความเจ็บป่วยของญาณินก็ได้รับการช่วยเหลือจนได้
กลุ่มสิงโตตั้งอยู่ในเทือกเขาคุนหลุนทางฝั่งตะวันตก เป็นสถานที่ที่ยิ่งใหญ่ของประเทศจีน และยังเป็นสถานที่ที่ดึงดูดผู้คนอันนับไม่ถ้วนอีกด้วย
รพีพงษ์เคยอยู่ในฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ แม้หงส์จะไม่มาเรียกเขาในวันนี้ เขาก็วางแผนว่าจะกลับไปเยี่ยมกลุ่มสิงโตอยู่แล้ว
เพราะในช่วงนี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับรพีพงษ์ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องให้คนที่มีประสบการณ์มาคอยชี้แนะกับเขา ซึ่งคนคนนั้นก็คือธีรพัฒน์
“ไม่เจอกันตั้งนานเลยนะ เป็นยังไงบ้าง อายุสามสิบกว่าแล้ว หาแฟนหรือยัง”
ระหว่างการเดินทาง รพีพงษ์ถามคนสวยคนนี้ที่อยู่ข้างๆ เขา
หงส์เหลือบมองรพีพงษ์อย่างเย็นชา “ทำไม คุณสนใจด้วยเหรอว่าฉันจะมีแฟนหรือไม่”
“ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากหรอกนะ แต่ในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักของกลุ่มสิงโต ผมก็ควรไถ่ถามลูกน้องของผม คุณอย่าคิดมากไปสิ”
รพีพงษ์พูดอย่างใจเย็น
ใบหน้าของหงส์บูดบึ้ง ในใจคิดว่าทำไมธัชธรรมต้องเลือกคนคนนี้มาเป็นเจ้าสำนักกันแน่ แถมยังใช้อำนาจมากดดันเธออีกด้วย
“หงส์ คุณคิดจะพาผมเดินไปถึงเทือกเขาคุนหลุนเลยเหรอ ผมเดินไหวนะ แต่ผมคิดว่าถ้าเราเดินไปถึงกลุ่มสิงโตก็คงใช้เวลาเป็นเดือนแล้วล่ะ” รพีพงษ์พูด
เมื่อได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ หงส์ก็หยุดลงอย่างกะทันหัน
จากนั้นกลอกตาแล้วมองไปที่รพีพงษ์ “ใครบอกว่าเราต้องเดินไปล่ะ แต่เมืองนี้ค่อนข้างอยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ห่างจากสนามบินยังอีกไกล ถ้าขับรถไปสนามบินก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามชั่วโมง”
“แล้วคุณมายังไงล่ะ?” รพีพงษ์ถาม
“ฉันนั่งเฮลิคอปเตอร์มา” หงส์ตอบ
รพีพงษ์ยิ้มพูด “แล้วทำไมไม่พาผมนั่งเฮลิคอปเตอร์กลับไปล่ะ อย่าบอกนะว่าเฮลิคอปเตอร์คุณน้ำมันหมด”
“เปล่าหรอก แต่คนขับเฮลิคอปเตอร์ป่วยกะทันหันน่ะสิ ตอนนี้เขาอาหารเป็นพิษแล้วนอนพักอยู่ในโรงพยาบาล ฉะนั้นเราคงต้องไปขึ้นเครื่องที่สนามบินที่ใกล้ที่สุดแล้วล่ะ” หงส์พูด
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” รพีพงษ์พยักหน้า “แล้ว เฮลิคอปเตอร์คุณจอดอยู่ที่ไหน?”
“อยู่บนเนินเขาข้างหน้า” หงส์ชี้ไปที่เนินเขาเล็กๆ ที่กองด้วยดินเหลืองข้างหน้า จากนั้นถามอย่างติดตลกว่า “เจ้าสำนักเก่งขนาดนี้ทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าจะหานักบินสักคนได้ไหมนะ? แต่ถ้าได้ก็คงจะประหยัดเวลาได้มากเลยล่ะ”
จากนั้นหงส์ก็เหลือบมองรพีพงษ์อย่างยั่วยุ ซึ่งเป็นสีหน้าที่สื่อความหมายได้ชัดเจนมาก
เมื่อกี้รพีพงษ์ใช้อำนาจของเจ้าสำนักกดดันเธอ ตอนนี้เธอจึงคิดจะเอาคืนเขาบ้าง
เพราะในเมืองซีเป่ยเล็กๆ แห่งนี้เป็นเมืองที่มีประชากรน้อยมาก ถ้าจะหานักบินในเวลาสั้นๆ นี้ก็คงเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร
จะคอยดูว่าเขาทำอะไรได้บ้าง
หงส์เหลือบมองรพีพงษ์อย่างได้ใจ แต่รพีพงษ์กลับตอบเธออย่างไม่ต้องคิด “ไปสิ พาผมไปที่จอดเฮลิคอปเตอร์หน่อย”
หงส์ถามอย่างสงสัยว่า “ไงนะ คุณหานักบินได้แล้วเหรอ?”
“เปล่า” รพีพงษ์ตอบอย่างเฉยเมย
“แล้วจะให้ฉันพาไปทำไมคะ เสียเวลาเปล่าๆ นะ” หงส์พูด
รพีพงษ์ยิ้มจางๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไรมาก จากนั้นเขาก็เดินตรงไปที่เนินเขาข้างหน้า
ซึ่งบนยอดเนินเขานั้นมีเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่สีดำหรูหราจอดอยู่ลำหนึ่ง
“ไปกันเถอะ” รพีพงษ์พูด
“แล้ว……นักบินล่ะ? อยู่ไหน?” หงส์ถามอย่างสงสัย
มุมปากของรพีพงษ์ยกขึ้นเบาๆ จากนั้นเขาเอนหน้าเข้าไปหาหงส์แล้วพูดกับเธอว่า “คุณคิดว่าเครื่องบินลำเล็กๆ จะหยุดเจ้าสำนักกลุ่มสิงโตอย่างผมได้เหรอครับ?”
ไม่นานหลังจากนั้น รพีพงษ์สวมแว่นกันแดด เปิดประตูเฮลิคอปเตอร์แล้วก้าวเข้าไปข้างใน
ในฐานะนายน้อยตระกูลลัดดาวัลย์ วัตถุอย่างเฮลิคอปเตอร์เป็นของเล่นชิ้นใหญ่ของเขาเท่านั้น
อีกอย่างคนที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็กอย่างรพีพงษ์นั้น ได้รับใบอนุญาตนักบินระหว่างประเทศมาตั้งนานแล้ว
เมื่อเห็นว่ารพีพงษ์มีความมั่นใจมาก หงส์ก็ขึ้นไปนั่งลงบนเครื่องด้วยความสงสัย
“คุณขับฮอเป็นเหรอ?” หงส์ถาม
รพีพงษ์มองไปข้างหน้าแล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า “คุณคิดว่าผมเป็นคนประเภทที่ชอบพูดเกินความเป็นจริงเหรอ?”
“ใครจะไปรู้ล่ะ”
หงส์พึมพำในปากแล้วดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้
แม้รพีพงษ์จะสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเธอ แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่านี้
และในทันใดนั้น เฮลิคอปเตอร์ก็เริ่มทำงาน ใบพัดขนาดใหญ่บนเครื่องก็หมุนเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
จากนั้นตรงกลางที่นั่งของเฮลิคอปเตอร์นั้น รพีพงษ์ค่อยๆ ดันคันเร่งขึ้นไป
เครื่องยนต์ลอยขึ้นบนอากาศอย่างช้าๆ จากนั้นบินออกจากยอดเนินเขาดินเหลืองนั้น
สามชั่วโมงต่อมา เฮลิคอปเตอร์ก็ได้ลงจอดในพื้นที่ของกลุ่มสิงโตอย่างแม่นยำ
“เราถึงแล้ว คุณเตรียมลงเครื่องเลยนะ”
รพีพงษ์พูดอย่างใจเย็น
แต่หงส์ในขณะนี้กลับมองเขาอย่างชื่นชม
ในความเป็นจริงแล้ว อายุของรพีพงษ์นั้นน้อยกว่าเธอตั้งหลายปี แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับทำให้เธอรู้สึกเพอร์เฟคไปทุกเรื่องอย่างปฏิเสธไม่ได้จริงๆ
ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ในระหว่างการเดินทางนี้ หงส์ไม่ได้รู้สึกถึงแรงกระแทกใดๆ เลย แรงลมที่ผันผวนนั้นแต่กลับทำอะไรรพีพงษ์ไม่ได้ และขากลับนี้เป็นการนั่งเครื่องที่สบายกว่าขาไปตั้งมากมายด้วยซ้ำ
ต้องรู้ว่านักบินเฮลิคอปเตอร์ที่ส่งหงส์ไปที่ซีเป่ยนั้น เป็นนักบินที่มีประสบการณ์การมามากกว่า 15 ปีแล้ว แล้วรพีพงษ์จะมีทักษะการบินที่ดีกว่าเขาได้ยังไง?
รพีพงษ์ไม่ได้สนใจหงส์อีก ในเวลานี้ เขาเห็นธัชธรรมและผู้คนจากกลุ่มสิงโตกำลังยืนรอการมาเยือนของเขาอย่างตั้งหน้าตั้งตา
“ขอต้อนรับเจ้าสำนักครับ!”
ชาวกลุ่มสิงโตพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
รพีพงษ์เดินเข้ามาหาธัชธรรมและถามเขาว่า “เกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มสิงโตใช่ไหมครับ ถึงได้เรียกตัวผมมาที่นี่?”
ธัชธรรมพยักหน้า “เจ้าสำนักครับ เราเข้าไปในสำนักกันก่อน ไปคุยกันข้างในครับ”
รพีพงษ์พยักหน้าและพาเหล่าสาวกของกลุ่มสิงโตเข้าไปในสำนัก
หลังจากกลับมาที่นี่อีกครั้ง รพีพงษ์รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
พูดแล้วอารมณ์เสียมาก ก่อนหน้านี้ที่มากลุ่มสิงโตนั้น เขาถูกตาแก่ธัชธรรมหลอกให้เข้าร่วมกับกลุ่มสิงโต แต่ในตอนนี้เขากลับกลายเป็นเจ้าสำนักของกลุ่มสิงโตโดยที่ไม่คาดคิด
หลังจากเข้ามาถึงห้องโถงในสำนัก รพีพงษ์ก็เดินขึ้นไปนั่งในที่นั่งประธานอย่างไม่เกรงใจใคร ธัชธรรมและผู้อาวุโสคนอื่นๆ เข้ามานั่งอยู่ทางด้านซ้ายและด้านขวาของเขา สำหรับมังกร พยัคฆ์ หงส์ และเต่าก็แยกกันไปประจำที่ทั้งสองด้านของเขา และส่วนด้านล่างเวทีก็คือคนในกลุ่มสิงโตทั้งหมด
ในบรรดาคนเหล่านี้ รพีพงษ์ได้เห็นคนรู้จักคนหนึ่ง ซึ่งก็คือพรดรัลที่เคยมาทดสอบเพื่อเข้าร่วมกลุ่มสิงโตพร้อมกับเขา
แต่ในวันนี้สถานะของทั้งสองกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว คนหนึ่งเป็นเจ้าสำนักที่นั่งอยู่ในที่นั่งประธาน ส่วนอีกคนได้แต่แหงนมองอยู่ด้านล่างเวทีเท่านั้น
ถึงอย่างนั้นพรดรัลก็ไม่ได้รู้สึกอิจฉาใดๆ เลย แม้ว่าเขาจะแก่กว่ารพีพงษ์มาก แต่ในโลกนี้ ความแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเป็นตัวชี้วัดสถานะของคน และมันไม่เกี่ยวกับอายุขัยเลย
“ทุกคนมาครบแล้วใช่ไหมครับ”
รพีพงษ์พูด ซึ่งในความเป็นจริง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคุยกับทุกคนในกลุ่มสิงโตในฐานะเจ้าสำนัก
แต่ถึงอย่างนั้น รพีพงษ์ก็ไม่ได้แสดงความเกรงกลัวต่อหน้าปรมาจารย์เหล่านี้เลย ด้วยเหตุผลที่เขามีฝีมือที่สูงกว่าทุกคนในนี้แล้ว อีกอย่างในฐานะการเป็นนายน้อยตระกูลลัดดาวัลย์ ซึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้เขาวางตัวได้อย่างมั่นใจได้
รพีพงษ์พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ที่ผ่านมาผมงานค่อนข้างเยอะ ไม่ค่อยมีเวลาอยู่ที่นี่ แต่ผมคิดว่ามีท่านธัชธรรมอยู่ที่นี่ทั้งคน และทุกๆ ท่านก็ยังเป็นระดับปรมาจารย์ด้วย ดังนั้นผมคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ”
“งานเยอะอะไรล่ะครับ ก็แค่กลับบ้านไปหาภรรยากับลูก”
ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดขึ้นมาจากท่ามกลางสาวกที่อยู่ด้านล่างเวที แม้จะเป็นเสียงพูดที่เบามาก แต่รพีพงษ์ก็ได้ยินอย่างชัดเจน
“ใครเป็นคนพูด?”
รพีพงษ์ขมวดคิ้วถาม
ทันทีที่เขาพูดคำนี้ขึ้นออกมา ผู้ฟังทุกคนก็ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ อีก
“กล้าทำกล้ารับหน่อยสิ กลุ่มสิงโตของเรายังมีคนใจเสาะแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ?” รพีพงษ์ถาม
และในเวลานี้ ชายที่มีอายุมากกว่ารพีพงษ์สองปีลุกขึ้นยืนและพูดว่า “เมื่อกี้ผมเป็นคนพูดเอง ทำไมล่ะครับ ผมพูดผิดตรงไหน?”
รพีพงษ์มองชายหนุ่มคนนั้น “คุณคือ……”
ธัชธรรมกระซิบพูดข้างๆ เขา “เขาชื่อณพิชญ์ เป็นลูกชายคนโตของฮัวตูกรุ๊ปครับ ตอนที่เจ้าสำนักไม่อยู่ ผมเห็นเขาเข้าสู่แดนดั่งเทพขั้นกลางได้ในอายุน้อยๆ แบบนี้ ผมก็เลยตัดสินใจรับเขาไว้ครับ”
“ณพิชญ์”
รพีพงษ์ทวนชื่อเขาเบาๆ
ณพิชญ์ในท่ามกลางสาวกด้านล่างเวทีพูดขึ้นอย่างได้ใจว่า “ท่านเจ้าสำนักน่าจะเคยได้ยินชื่อเสียงของผมในโลกภายนอกนะครับ ถึงแม้ฮัวตูกรุ๊ปของเราจะเทียบกับตระกูลลัดดาวัลย์ของท่านไม่ได้ แต่เราก็พอมีชื่อเสียงในเมืองจีนเหมือนกันนะครับ อย่างน้อยไปถึงไหนก็พอมีคนรู้จักผมอยู่บ้าง”
รพีพงษ์ยิ้มและส่ายหัวเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องทำให้คุณผิดหวังแล้วล่ะ เพราะสำหรับฮัวตูกรุ๊ปของคุณ รวมไปถึงชื่อเสียงของคุณ ผมไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเลยนะครับ”