พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1335 ผมได้ก้าวเข้าสู่แดนเทพแล้ว
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1335 ผมได้ก้าวเข้าสู่แดนเทพแล้ว
“หือ? คุณหมายความว่า คุณจะฆ่าผมเหรอ?”
ณพิชญ์มองรพีพงษ์ด้วยความตกใจ ในขณะนี้มือซ้ายของเขาได้สกินดาบสีดำเล่มใหญ่ออกมาเล่มหนึ่ง
รพีพงษ์มองเขาอย่างเย็นชา จากนั้นใช้สองนิ้วหนีบดาบดำเล่มนั้น
ในชั่วขณะ ดาบดำของณพิชญ์ก็กลายเป็นฝุ่นไปทันที
ณพิชญ์รู้สึกตะลึงมาก เพราะฝีมือของเขากับคู่ต่อสู้แตกต่างกันจริงๆ
หลังจากที่เขามาถึงกลุ่มสิงโต เขาก็รู้ว่าฝีมือของรพีพงษ์นั้นอยู่ในแดนดั่งเทพชั้นยอดแล้ว
แต่ต่อให้อยู่ในแดนดั่งเทพชั้นยอดแล้วก็ตาม อย่างน้อยฝีมือของเขาก็ควรสู้ได้บ้าง
รพีพงษ์สีหน้าเย็นชา วันนี้ไม่ว่าจะยังไงเขาต้องเชือดไก่ให้ลิงดูอย่างแน่นอน
จากนั้นพลังจิตวิญญาณเทพก็ค่อยๆ เข้าไปควบคุมร่างกายของณพิชญ์ไว้
“อย่า อย่านะ!”
ณพิชญ์รู้สึกถึงพลังอันมหาศาลนั้นทันที ด้วยเหตุนี้ เขาก็เริ่มรู้สึกหายใจลำบาก
ทุกคนต่างก็ตกตะลึง
เพราะในสายตาทุกคน รพีพงษ์ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่อีกฝ่ายกลับถูกกดทับจนแทบหายใจไม่ออก
พลังจิตวิญญาณเทพได้เข้าควบคุมทั่วร่างกายของณพิชญ์ ตอนนี้เขาเริ่มหายใจเร็วขึ้น สีหน้าก็ซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ณพิชญ์ก็คอตก และในที่สุดเขาก็หมดลมหายใจ
รพีพงษ์ดึงพลังจิตวิญญาณเทพกลับไป ความเย็นเยือกในห้องโถงก็ค่อยๆ จางหายไป
ในขณะนี้ สายตาของทุกคนที่มองรพีพงษ์ก็เปลี่ยนไป
ในช่วงเวลาสั้นๆ คนที่มีฝีมือระดับแดนดั่งเทพขั้นกลางก็ถูกจัดการไปอย่างราบคาบ ซึ่งดูเหมือนว่ารพีพงษ์ยังใช้แรงไม่ถึงสิบเปอร์เซนต์เลยด้วยซ้ำ ด้วยความแข็งแกร่งแบบนี้ หาไม่ได้อีกแล้วในกลุ่มสิงโตแห่งนี้
คนเหล่านี้สามารถมีอิทธิพลต่อโลกภายนอกได้อย่างมาก และพวกเขามักจะมีนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ นั่นก็คือความเย่อหยิ่ง แต่เมื่อเจอคนที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง พวกเขาก็จะชื่นชมด้วยความจริงใจ
“ขออภัยที่ทำให้ทุกคนต้องตกใจนะครับ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว เราคุยกันต่อดีกว่า”
รพีพงษ์พูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่นั่งประธานท่ามกลางสายตาของทุกคน
ซึ่งในครั้งนี้ไม่มีใครกล้าแสดงความคิดเห็นส่วนตัวอีก การที่รพีพงษ์เป็นถึงเจ้าสำนักนั้น แน่นอนว่าเขาต้องมีความแข็งแกร่งที่มากพออย่างแน่นอน
“เจ้าสำนักที่มีฝีมือขนาดนี้ แต่ณพิชญ์กลับคิดต่อต้านเจ้าสำนักได้ ช่างเป็นการหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ!”
พรดรัลที่อยู่ใต้เวทีพูดอย่างเสียงดัง และทุกๆ คนก็เห็นด้วยกับเขา
รพีพงษ์ยกมือขึ้นกลางอากาศเพื่อบอกให้ทุกคนหยุด
และในทันใดนั้น ห้องโถงก็เงียบลงทันที
สำหรับการวางตัวในครั้งนี้ รพีพงษ์รู้สึกพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้มาก
เมื่อเห็นว่าห้องประชุมเงียบลงอีกครั้ง รพีพงษ์ก็พูดขึ้นว่า “ท่านธัชธรรม คุณมีเรื่องจะบอกผมใช่ไหมครับ เชิญเลยครับ”
ธัชธรรมยืนขึ้นและกล่าวทักทายรพีพงษ์อีกครั้งด้วยความเคารพ
ในฐานะเจ้าสำนักในอดีต เขาเป็นผู้สละตำแหน่งเจ้าสำนักให้กับรพีพงษ์เอง ดังนั้นวันนี้เขาต้องให้เกียรติรพีพงษ์เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับคนอื่นๆ
“เจ้าสำนักครับ ครั้งนี้ที่ผมให้หงส์ไปตามท่านมา เพราะมีเรื่องสำคัญจะปรึกษาท่านครับ”
รพีพงษ์มองธัชธรรมที่แสดงสีหน้าอย่างเคร่งขรึม และเขาก็ตระหนักได้ว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน
“เชิญครับ?” รพีพงษ์พูด
“ทางเชื่อมที่เราดูแลอยู่ ตอนนี้เรารับมือไม่ไหวและมันก็ถูกเปิดออกแล้วครับ”
คำพูดของธัชธรรมถึงกับทำให้หัวใจของรพีพงษ์สั่นสะท้าน
ตอนแรกยังคิดว่าการที่ต้องเผชิญกับทวีปโอชวินนั้นยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก แต่ดูเหมือนว่ามันจะเกิดขึ้นก่อนกำหนดแล้วสินะ
“พวกคุณรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่” รพีพงษ์ถาม
“เจ้าสำนักครับ เมื่อสามวันก่อน พลังเทพที่ปิดกั้นระหว่างทางเชื่อมถูกคนทำลายล้างอย่างรุนแรง หลังจากพลังเทพถูกทำลาย ช่องทางก็เปิดออก ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคนของทวีปโอชวินก็จะทะลักเข้ามาอย่างไม่มีเงื่อนไข เมื่อถึงเวลานั้นแผ่นดินโลกก็จะเต็มไปด้วยหายนะครับ” ธัชธรรมพูด
“ใช่ครับ”
ในขณะนี้ ตปธนที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ ก็ยืนขึ้นพูด
เดิมทีที่รพีพงษ์ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าสำนัก เขาเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นมาคัดค้าน แต่ในตอนนี้ หลังจากที่เขาเห็นฝีมือของรพีพงษ์ เขารู้ว่าเขาสามารถจัดการกับณพิชญ์ได้ แต่ไม่ง่ายเหมือนรพีพงษ์อย่างแน่นอน
“ตอนนี้ ในโลกนี้มีเพียงผู้อาวุโสธีรพัฒน์คนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในแดนเทพ ทุกวันนี้เขากำลังพยายามใช้พลังเทพที่มีจำกัดของเขาปิดกั้นทางเชื่อมนี้เอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะต้านทานได้ อีกอย่าง ผู้อาวุโสท่านนี้ได้ใช้พลังมากเกินไปแล้ว เศษวิญญาณของเขาก็อ่อนแอลงเรื่อย ๆ” ตปธนพูด
ทุกคนที่ได้ยินเช่นนี้ต่างก็ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าตึงเครียด
ธีรพัฒน์เป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในระดับแดนเทพ ถ้าเศษวิญญาณของเขาหมดสิ้นลงเมื่อไหร่ อาณาจักรของทวีปโอชวินก็จะเข้ามาเยือนบนโลก และเชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้นไม่มีใครรับมือพวกเขาได้อย่างแน่นอน
“เจ้าสำนักครับ ที่เราขอให้คุณกลับมาในครั้งนี้ก็เพราะเหตุนี้ครับ” ตปธนพูดด้วยความเคารพ
รพีพงษ์ลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
สามวันก่อนหน้านี้ ในขณะที่เขายังอยู่ที่เกาะต่างประเทศ ผู้อารักขาของชัชพิสิฐเคยบอกกับเขาไว้ว่า เศษวิญญาณของนีย์ถูกคนของทวีปโอชวินรับไปแล้ว
ซึ่งก็หมายความว่า ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ คนของทวีปโอชวินจะใช้วิชาลับเพื่อฟื้นฟูเศษวิญญาณของนีย์ และพวกเขาก็จะรู้แหล่งทรัพยากรของสำนักเทพยาเซียนในป่าหมอกอย่างแน่นอน
“การเคลื่อนไหวของทวีปโอชวินเร็วกว่าที่คิดไว้จริงๆ”
รพีพงษ์คิดในใจ
ทุกคนในห้องประชุมมองไปที่รพีพงษ์อย่างคาดหวัง และรพีพงษ์ก็รู้ตัวว่าวันนี้เขาจะต้องมีบทสรุปให้กับทุกคนในนี้!
“ทุกท่านครับ เรื่องที่ผมบอกก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับช่วงเวลาที่ผ่านมาที่ผมมัวแต่ยุ่งอยู่ข้างนอก ทุกอย่างเป็นเรื่องจริงครับ และตอนนี้ ผมจะเล่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมให้ทุกท่านฟังครับ”
จากนั้นรพีพงษ์ก็เล่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาในสำนักเทพยาเซียน และเรื่องที่เขาต่อสู้กับนีย์ รวมไปถึงเรื่องราวในป่าหมอกและเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเกาะต่างประเทศให้กับทุกคนฟัง
หลังจากรับฟังเรื่องราวของรพีพงษ์แล้ว ดวงตาของทุกคนในห้องประชุมต่างก็เบิกกว้างทันที
หงส์ที่อยู่บทเวทีก็ยิ่งรู้สึกตกตะลึงกว่าคนอื่นๆ
รพีพงษ์อายุน้อยกว่าพวกเขาตั้งหลายปี แต่ประสบการณ์ชีวิตนั้นโชกโชนกว่าพวกเขาตั้งมากมาย
“ดูเหมือนว่าทวีปโอชวินน่าจะรู้ถึงการมีอยู่ของแหล่งพลังทิพย์จากปากของนีย์ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบเร่งเวลาเพื่อทำลายทางเชื่อมนี้” รพีพงษ์พูด
“ถูกต้องครับ แต่ถ้าปล่อยไปแบบนี้ ท่านอาวุโสธีรพัฒน์คงจะต้านทานไว้ไม่อยู่แน่เลยครับ แล้วทางเราก็……” ธัชธรรมพูดด้วยความกังวล
“ท่านธัชธรรม”
หงส์พูดด้วยแววตาที่หนักแน่น “ท่านไม่ต้องกังวลนะคะ ตั้งแต่ก้าวแรกที่เราเข้ามาในกลุ่มสิงโต เป้าหมายของเราก็คือการต่อสู้กับทวีปโอชวิน ต่อให้เราต้องสละชีวิตก็ตาม เราพร้อมที่จะเผชิญกับมันค่ะ”
“หงส์พูดถูกครับ พวกเราพร้อมแล้วครับ!”
พยัคฆ์ก็เห็นด้วย
จากนั้นทุกคนด้านล่างเวทีต่างก็ตะโกนพูดขึ้นอย่างหนักแน่นว่า “พวกเราพร้อมแล้วครับ!”
ธัชธรรมถึงกับน้ำตาคลอเบ้า เพราะคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่เขาคัดเลือกมาจากทั่วอาณาจักรด้วยตัวเขาเอง
ุถ้าหากไม่ใช่เพื่อการต่อสู้กับทวีปโอชวินและปกป้องบ้านเกิดของพวกเขา พวกเขาสามารถเลือกใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้ได้
แต่ในยามที่สถานการณ์คับขันนี้ แม้ทุกคนจะรู้ว่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามาแล้ว แต่ทุกคนก็ยังยืนหยัดที่จะสู้จนวินาทีสุดท้าย แล้วจะไม่ให้ธัชธรรมรู้สึกซาบซึ้งได้อย่างไร?
“ดี ดี พวกคุณพูดถูก อย่างมากก็แค่ตาย แม้ข้าจะแก่แล้วก็ตาม แต่ข้าจะสู้ให้ถึงที่สุด จะไม่ยอมปล่อยให้ทวีปโอชวินเข้ามารุกรานเราได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน!” ธัชธรรมพูดอย่างเสียงดัง
รพีพงษ์กวาดมองไปที่ทุกคนและรู้สึกพึงพอใจมาก
ตอนนี้ดูเหมือนว่านอกจากสยบเซียนที่ไว้ใจในการรวมกลุ่มของเขาแล้ว คนในกลุ่มสิงโตก็ยอมที่จะต่อสู้กับเขาไปอย่างสุดชีวิตด้วย!
“ท่านธัชธรรมครับ ท่านธีรพัฒน์ยังสามารถประคองได้อีกกี่วันครับ?” รพีพงษ์ถาม
ธัชธรรมถอนหายใจและพูดว่า “ถึงแม้ท่านธีรพัฒน์จะอยู่ในแดนเทพและฝีมือก็แข็งแกร่งกว่าใครๆ แต่ถึงอย่างไรแล้วท่านก็เป็นแค่วิญญาณเท่านั้น”
รพีพงษ์หยักหน้าอย่างเงียบๆ เนื่องจากธีรพัฒน์ได้รับพลังไม้เทวดา ร่างกายของเขาจึงดีขึ้นมาก แต่หลังจากการช่วยชีวิตอารียา พลังไม้เทวดาในร่างกายของเขาก็ถูกใช้ไปมาก ดังนั้นร่างกายของเขาก็กลับสู่สภาพวิญญาณอีกครั้ง
“ครั้งนี้ต่อให้ท่านอาวุโสจะพยายามอย่างเต็มที่มากแค่ไหน แต่ผมคิดว่ามากสุดท่านคงประคองได้แค่สามถึงสี่วันเท่านั้น ถ้ามากไปกว่านั้น ผมว่าแกคงจะถึงขั้นสิ้นลมหายใจเลยก็ได้นะครับ”
“แล้ว……ถ้ามีคนฝึกวิชาที่อยู่ในระดับแดนเทพสองคนล่ะ!”
ธัชธรรมที่ได้ยินคำนี้ก็มองไปที่รพีพงษ์ด้วยความตกใจ จากนั้นพูดด้วยเสียงที่สั่นเท่าว่า “ท่าน……ท่านเจ้าสำนัก ท่านคงไม่ได้หมายถึง……”
“ใช่ ตอนนี้ผมอยู่ในแดนเทพแล้ว!”
รพีพงษ์พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น และทุกคนในห้องประชุมต่างก็มองเขาด้วยความเคารพ!