พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1344 เข้าฌาน
เป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่าเชื่อมระหว่างเส้นลมปราณเข้าด้วยกัน แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะทำ
ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะต้องอยู่ในระดับแดนเทพแล้วถึงจะสามารถฝึกครึ่งหลังของกังฟูเสนได้
เพราะว่า สิ่งนี้ต้องการพลังจิตวิญญาณของนักฝึกวิชาเป็นอย่างมาก
โชคดีที่รพีพงษ์ มีพลังจิตวิญญาณเทพที่แข็งแกร่ง
ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ตนเองฝึกวิชาดูดวิญญาณในป่าหมอกด้วยความบังเอิญ รพีพงษ์รู้สึกว่า มนุษย์เล็กทองคำในใจของตนเองมีความบริสุทธิ์ขึ้น แม้กระทั่งมนุษย์เล็กทองคำคนนี้ก็สามารถแสดงท่าทางและการเคลื่อนไหวบางอย่างได้
รพีพงษ์ยากที่จะจินตนาการว่า หากระดับของตนเองสูงขึ้นไปอีก และพลังจิตวิญญาณเทพแข็งแกร่งขึ้นไปอีก มนุษย์เล็กทองคำคนนี้จะกลายเป็นอย่างไร?
มนุษย์เล็กทองคำคนนี้ถูกรพีพงษ์ปลุกให้ตื่น และจิตวิญญาณเทพก็เดินไปทั่วทุกเส้นลมปราณ
รพีพงษ์ปฏิบัติตามวิธีที่บันทึกไว้ในช่วงครึ่งหลังของกังฟูเสน เมื่อจิตวิญญาณเทพพบอุปสรรคระหว่างเส้นลมปราณ เขาจะเปลี่ยนไปใช้พลังที่แข็งแกร่งของตนเองเพื่อทะลวงมันไป
อย่างไรก็ตาม การที่จะทะลวงลมปราณนั้นเป็นเรื่องยาก และทุกครั้งที่ใช้พลังวิเศษเสนทะลวงลมปราณ รพีพงษ์ต้องใช้พลังทั้งหมดของตนเอง
และถ้าเกิดข้อผิดพลาด จะทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บภายในอีกด้วย
สองชั่วโมงต่อมา หน้าผากของรพีพงษ์เต็มไปด้วยเหงื่อ
ถึงแม้ว่าเขาจะนิ่งไม่เคลื่อนไหวใด ๆ และดูเหมือนว่านั่งอยู่อย่างสงบสุข แต่ขณะนี้ ร่างกายของเขากลับมีพลังมหาศาล
ในเวลานี้เอง เมื่อประตูถูกเปิดออก กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารก็กระจายไปทั่ว
หงส์เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องอาหาร
เมื่อเธอเห็นคิ้วของทั้งสามคนขมวดแน่น ท่าทางเคร่งขรึม หลังจากวางกล่องอาหารลงแล้ว เธอก็กำลังจะเดินจากไป
“ช้าก่อน”
ขณะนี้ รพีพงษ์ได้เรียกเธอไว้
สองชั่วโมงก่อนหน้านั้น รพีพงษ์ได้ทะลวงลมปราณในร่างกายแล้ว ขณะนี้เขาลืมตาขึ้น และเขารู้สึกว่าหูและตานั้นชัดเจนขึ้น เขาสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรได้อย่างชัดเจน
ขณะเดียวกัน รพีพงษ์ก็รู้สึกว่าหลังจากทะลวงเส้นลมปราณเหล่านี้แล้ว พลังในร่างกายก็แข็งแกร่งขึ้น และมีความรู้สึกอบอุ่นอยู่บริเวณจุดเลือดลมที่อยู่ใต้สะดือ ซึ่งเป็นความรู้สึกสบายที่อธิบายไม่ถูก
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ทำให้รพีพงษ์เสียพลังจิตวิญญาณไปมาก แม้ว่ารพีพงษ์ยังสามารถยืนหยัดได้อีก แต่มนุษย์เล็กทองคำในใจของเขาก็อยากพักผ่อนแล้ว
ดังนั้น รพีพงษ์จึงลืมตาขึ้นเมื่อเขาได้กลิ่นหอมของอาหาร และบังเอิญเห็นหงส์ที่กำลังจะเดินออกไป
“ไม่คิดว่านอกจากคุณทำอาหารและขนมแล้ว ยังส่งอาหารมาด้วยตัวเองอีกด้วย”
รพีพงษ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม และเปิดกล่องอาหาร ของว่างและอาหารมีมากมายหลายอย่าง ดูแล้วน่ารับประทานมาก
ผู้หญิงคนนี้ น่าเสียดายที่เธอไม่ได้เปิดโรงแรม
รพีพงษ์หยิบซี่โครงขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วใส่เข้าไปในปาก อร่อยหอมหวานครบรส
“ใช่สิ ยังไงซะฉันก็ไม่มีอะไรทำเหมือนพวกมังกร ที่สามารถออกแรงเพื่อกลุ่มสิงโตได้ ในเมื่อไม่มีอะไรทำ ฉันเลยส่งอาหารมาด้วยตนเอง” หงส์กล่าว
รพีพงษ์ไม่แยแส ยิ้มแล้วกล่าวว่า “อืม อาหารวันนี้เป็นอาหารที่ผมชอบกินทั้งหมด มันอร่อยมาก”
“คุณกินน้อยหน่อย ท่านผู้อาวุโสธีรพัฒน์และท่านธัชธรรมยังไม่ได้กินเลย” หงส์กล่าวอย่างรวดเร็ว
รพีพงษ์วางอาหารลง ยิ้มแล้วมองหงส์ จากนั้นก็กล่าวว่า “ทำไม คุณยังมีความพะวงที่ตอนเช้าผมยังไม่ได้วางแผนจะให้คุณทำอะไรอีกหรือ?”
“ฉันไม่กล้าหรอก คุณเป็นถึงเจ้าสำนัก คุณพูดอะไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น” หงส์กล่าว
“ปากอย่างใจอย่าง” รพีพงษ์ยิ้ม แล้วดึงหงส์ไว้ “คุณไปกับผม”
ไม่ทันที่หงส์จะมีปฏิกิริยาตอบสนอง เธอก็ถูกรพีพงษ์พาไปข้างนอกแล้ว ระหว่างทางมือขาวนวลของเธอถูกรพีพงษ์จับไว้ ทำให้เธอเกิดความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้
หงส์เป็นคนที่มีบุคลิกเยือกเย็นและเย่อหยิ่ง และนี่เป็นครั้งแรกที่ถูกผู้ชายจับมือแบบนี้
แต่รพีพงษ์ไม่ได้คิดอะไรมาก รีบพาเธอขึ้นไปบนยอดเขา
“หือ? ทำไมคุณถึงหน้าแดง” รพีพงษ์ถามอย่างสงสัย
หงส์มุ่ยปาก เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ชายซื่อบื้อ เธอกล่าวด้วยความโกรธเคืองว่า “ใครใช้ให้คุณวิ่งเร็วขนาดนี้ คุณคิดว่า ฉันก็อยู่ในระดับแดนเทพหรือ? ที่จะสามารถวิ่งตามคุณได้?”
“อ้อ” รพีพงษ์พยักหน้าเห็นด้วย แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้น คุณอยากจะพัฒนาผลการฝึกตนของคุณหรือไม่?”
“แน่นอน มีนักฝึกวิชาคนใดบ้างที่ไม่ต้องการพัฒนาผลการฝึกตน เพียงแต่เรื่องนี้ซึ่งส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์”
หงส์กล่าว และอดไม่ได้ที่จะมองรพีพงษ์ที่อยู่ตรงหน้า
เมื่อพูดถึงพรสวรรค์ ไอ้หมอนี้ที่อยู่ตรงหน้ามีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก น่าจะบอกว่ามีจนล้นก็ว่าได้
“คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงไม่ให้คุณออกไปกับมังกรและคนอื่น ๆ ?” รพีพงษ์ถาม
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ทำให้หงส์กล่าวด้วยความโมโหว่า “คุณเคยบอกแล้วว่าให้ฉันทำอาหารให้พวกคุณไง”
“นี่คือหนึ่งในนั้น”
รพีพงษ์กล่าว “ในบรรดาพวกคุณทั้งสี่ คุณมีความแข็งแกร่งน้อยที่สุด แม้แต่เต่าก็มีความแข็งแกร่งมากกว่าคุณ” “อืม” หงส์ก้มหน้าด้วยความอาย
รพีพงษ์ยิ้มและมองเธอ “อันที่จริง คุณมีพรสวรรค์มากที่สุดใน แต่คุณขี้เกียจกว่าพวกเขา”
“คุณว่าฉันขี้เกียจ?”
หงส์ถามด้วยความสงสัย แต่เมื่อคิดไตร่ตรองแล้ว เมื่อเทียบกับอีกสามคนแล้ว ตนเองถือว่าขยันฝึกน้อยที่สุดจริง
อย่างไรเสียเธอก็เป็นผู้หญิง ก็อาจแบ่งใจไปคิดฟุ้งซ่านเรื่องอื่น เช่น เสื้อผ้าและเครื่องสำอางต่าง ๆ
“ไม่ช้าพวกเราก็ต้องเผชิญหน้ากับทวีปโอชวินแล้ว ผมหวังว่าคุณจะสามารถพัฒนาระดับผลการฝึกตนของคุณได้โดยเร็วที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงเวลานั้น โอกาสในการเอาชีวิตรอดของคุณจะมีมากขึ้น” รพีพงษ์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
หงส์มองดวงตาที่จริงใจของรพีพงษ์ เธอรู้ว่า รพีพงษ์ไม่มีท่าทางพูดเล่นแต่อย่างไร เพราะคราวนี้มันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย
ยิ่งไปกว่านั้น หงส์สามารถรู้สึกได้ว่ารพีพงษ์ยังคงห่วงใยตนเองอยู่ไม่น้อย
“แต่ว่า ฉันจะพัฒนาการผลการฝึกตนได้อย่างไร? อย่างไรเสียนี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น เว้นแต่จะมีเทคนิคลับบางอย่าง” หงส์กล่าวด้วยท่าทางท้อใจเล็กน้อย
รพีพงษ์กล่าวเบา ๆว่า “ จุดประสงค์ที่สองที่ผมให้คุณอยู่ที่นี่ คือผมจะถ่ายทอดวิธีการฝึกความแข็งแกร่งภายในให้คุณ ขอแค่คุณหมั่นฝึก คุณสามารถบรรลุได้อย่างแน่นอน”
“ใช่หรือ?”
ดวงตาของหงส์เป็นประกาย
มังกรและคนอื่น ๆ ได้รับถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ที่จากรพีพงษ์อย่างกะทันหัน ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เรื่องนี้หงส์รู้ดี คราวนี้รพีพงษ์จะถ่ายทอดวิธีการฝึกความแข็งแกร่งภายในจะต้องวิชาที่ลึกลับแน่นอน
“คาถาคำสิบ”
ตอนที่รพีพงษ์อยู่ที่สำนักเทพยาเซียนเขาเคยถ่ายทอดคาถาคำสิบให้ปยุต และตอนนี้จะถ่ายทอดให้กับหงส์เช่นเดียวกัน
ปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนในหน้าของหงส์
สิ่งที่พวกมังกรทั้งสามคนได้รับถ่ายทอดคือวิชาแอสโตรแลบ วิชานี้จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อร่วมมือเป็นทีม แต่ของตนเองคือคาถาคำสิบซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับพัฒนาการผลการฝึกตนเป็นอย่างมาก
เมื่อเปรียบเทียบกัน หงส์รู้สึกว่าของตนเองดีกว่า
และหงส์รู้ดีว่า เมื่อมังกรและคนอื่น ๆ กลับมา ตนเองไม่จำเป็นต้องร้องขอ พวกเขาก็จะถ่ายทอดวิชาแอสโตรแลบให้ตนเอง
“ทำไมคุณถึงดีกับฉันนัก?”
หงส์อดไม่ได้ที่จะถาม แต่เมื่อพูดประโยคนี้ออกไป หน้าของเธอก็แดงระรื่นจากความกล้าของตนเอง
รพีพงษ์ไม่รังเกียจ แต่มองไปที่ระยะไกลและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผมเพียงแค่…….หวังว่าทุกคนที่นี่จะแข็งแกร่งขึ้น”
หงส์พยักหน้า เธอรู้ว่ารพีพงษ์เป็นคนใจกว้าง และบุคคลเช่นนี้ จะต้องสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกได้
“เจ้าสำนัก ฉันจะหมั่นฝึกฝนคาถาคำสิบ” หงส์กล่าว
รพีพงษ์แตะจมูก และยิ้มที่มุมปาก “นี่ก็สายแล้ว ผมควรจะกลับแล้ว แต่ถึงแม้คุณจะหมั่นฝึกฝน แต่อย่าลืมทำอาหารด้วยล่ะ”
หงส์ยิ้มและพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นจึงเดินลงมาจากยอดเขา
เมื่อรพีพงษ์กลับเข้ามาในภูเขาอีกครั้ง ทันทีที่ก้าวเข้ามา เขารู้สึกได้ถึงรัศมีอันทรงพลังพุ่งเข้ามาหาตนเอง
“น้องรพีพงษ์ คุณกลับมาแล้วหรือ? ฮ่า ๆ พลังวิเศษเสนนี้ช่างทรงพลังจริง ๆ!”
ธีรพัฒน์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
รพีพงษ์จ้องมองเขาด้วยความตะลึง “ผู้อาวุโส คุณได้…………..”
“ถูกต้อง ตอนนี้ผมได้ฝึกกังฟูเสนถึงระดับกลางแล้ว” ธีรพัฒน์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
รพีพงษ์อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ธีรพัฒน์เป็นคนที่มีพรสวรรค์ เวลาเพียงสองชั่วโมง เขาได้ฝึกพลังวิเศษเสนถึงระดับกลางแล้ว ยอดฝีมือแดนเทพยังไงก็เป็นยอดฝีมือแดนเทพ สมคำร่ำลือ