พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 141
บทที่ 141 รูปภาพนี้มันไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น
จารุกิตติ์ คิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะยโสขนาดนี้ เขา พูดด้วยสีหน้านิ่งว่า “เหอะ เหอะ รอให้คุณชนะผมก่อน เถอะ แล้วค่อยมาพูดคำนี้”
จารุพิชญ์ รู้สึกว่ารพีพงษ์ยโสมากไปหน่อยเช่นกัน เขาคิดในใจว่าวันนี้ต้องสั่งสอนให้ไอ้หนุ่มคนนี้รู้จักฟ้า สูงแผ่นดินต่ำเสียหน่อยแล้ว
หลังจากที่คนในลานได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ ต่าง ก็พากันมองเขาด้วยสายตาเสียดสีเยาะเย้ย
จารุพิชญ์ เป็นปรมาจารย์ด้านการประเมินค่าวัตถุ โบราณ จะแพ้เด็กที่ไม่รู้ประสีประสาได้อย่างไรกัน
ถึงผู้นำของตระกูลกุลสวัสดิ์จะให้ความสำคัญกับ เด็กไม่รู้ประสีประสานี่ แต่งานด้านนี้ไม่ใช่แค่พูดแล้ว จะทำได้
งานด้านนี้ต้องอาศัยระยะเวลาในการสั่งสมความรู้
และประสบการณ์ เมื่อความรู้ไม่มากพอ ระดับการ สร้างสรรค์ผลงานก็ไม่อยู่ในระดับสูงเช่นกัน แน่นอน ว่าตอนนี้รพีพงษ์แค่พูดโอ้อวดอย่างไม่ต้องสงสัย, “ไอ้หมอนี่จะยโสเกินไปหน่อยแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะ บอกว่า ท่านอาจารย์จารุพิชญ์ เทียบตัวเองไม่ได้ นี่เป็น
ครั้งแรกที่ฉันเห็นคนพูดอวดเก่งขนาดนี้”
“เหอะ เหอะ โดยทั่วไปแล้วคนที่พูดแบบนี้ เป็นคนกระจอกทั้งนั้นแหละ ท่านอาจารย์จารุพิชญ์ สิถึงเป็น คนที่มีความสามารถจริงๆ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ”
“อยากเห็นสภาพตอนที่เขาแพ้จริงๆ ว่าจะเป็นยัง ไงไม่แน่ว่าผู้นำตระกูลกุลสวัสดิ์อาจจะไม่ให้ความ สำคัญกับเขาอีกแล้ว”
รพีพงษ์จ้อง จารุกิตติ์ จากนั้นหัวเราะแล้วพูดออก มา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจะแข่งกับปรมาจารย์ของคุณ สักรอบ แต่ว่าแค่การแข่งขันเปล่าๆ มันอาจจะน่าเบื่อ ไปหน่อย สู้เรามาเพิ่มการเดิมพันไปหน่อยไม่ดีกว่า
หรือ”
แววตาของ จารุกิตติ์ เป็นประกาย ในความคิดของ เขา การแข่งครั้งนี้อาจารย์ของเขาต้องชนะอย่าง แน่นอน การที่รพีพงษ์จะเพิ่มการเดิมพัน มันเป็นการ ขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ
“ไม่มีปัญหา ในเมื่อนายอยากเดิมพันงั้นฉันก็จัดให้ ถ้านายแพ้ นายต้องเห่าเป็นหมาต่อหน้าของทุกคน ว่า อย่างไร?” จารุกิตติ์ แสยะยิ้ม
รพีพงษ์หยักหน้าอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย จากนั้น จึงพูดว่า “ได้ แต่ว่าถ้าอาจารย์ของคุณแพ้ ผมไม่ขอให้ อาจารย์ของคุณเห่าเป็นหมา แต่คุณทำแทนเขาก็ พอแล้ว”
สีหน้าของ จารุกิตติ์ แลดูไม่พอใจ “อย่าฝันไปหน่อยเลย อาจารย์ของฉันไม่แพ้นายหรอก”
รพีพงษ์เหลือบมองอารียาแล้วให้เธอรออยู่ตรงนี้ เขาจะเข้าไปแข่งแล้วรีบกลับมา อารียาพยักหน้า ตอน นั้นในห้องรับแขก รพีพงษ์ ได้แสดงความสามารถด้าน การประเมินค่าวัตถุโบราณ ให้เธอเห็นแล้ว มันทำให้ เธอเชื่อเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
รพีพงษ์เดินไปหา จารุพิชญ์ ยิ้มแล้วมองเขา จาก นั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “จะแข่งกันยังไง?”
ที่นี่มีวัตถุโบราณจำนวนไม่น้อย ให้ทุกคนถือ คนละชิ้น ให้ทุกคนเป็นคนตัดสิน ใครได้รับการ สนับสนุนมากที่สุดคนนั้นเป็นผู้ชนะ เป็นอย่างไร?
รพีพงษ์พยักหน้า “ได้”
จารุกิตติ์ แสยะยิ้ม เขาคิดในใจว่าอาจารย์ของเขา ดำรงตำแหน่งนักประเมินค่าวัตถุโบราณในเมืองริเวอร์ มาเป็นเวลานาน แค่ทุกคนได้ยินชื่อของอาจารย์ต่างก็ พากันเยินยอแล้ว ครั้งนี้รพีพงษ์ต้องแพ้อย่างแน่นอน
รพีพงษ์และจารุพิชญ์ แยกออกไปหยิบวัตถุ โบราณจากกล่องของชายวัยกลางคน จารุพิชญ์ ทำการตรวจสอบรอบเดียวก็ประเมินออกมาได้ เขา ประเมินออกมาอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นปี สร้างมา จากอะไร รวมไปถึงการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมถึงสมัย โบราณ
หลังจากที่ทุกคนได้ยินสิ่งที่ จารุพิชญ์ วิเคราะห์ต่างก็แสดงสีหน้าแห่งความชื่นชมและนับถือ โดย เฉพาะชายวัยกลางคนคนนั้น
“การประเมินของท่านอาจารย์จารุพิชญ์ ช่างสูงส่ง จริงๆ แม้ว่าผมจะสะสมวัตถุโบราณ แต่การที่รู้เรื่อง วัตถุโบราณได้ถ่องแท้อย่าง ท่านอาจารย์จารุพิชญ์ มัน ช่างเป็นเรื่องยาก” ชายวัยกลางคนพูดอย่างตื้นตัน
จารุพิชญ์ ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปมองรพี พงษ์
รพีพงษ์ยกวัตถุโบราณในมือขึ้น จากนั้นจึงเริ่มพูด เป็นน้ำไหลไฟดับ
ตอนแรกทุกคนต่างพากันคิดว่ารพีพงษ์ข้างนอกดู ดีแต่ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ แค่พูดโอ้อวดไปเท่านั้น แต่ดูจากการประเมินของเขาทำให้คนที่อยู่ตรงนั้น เงียบลง
จารุพิชญ์ มองรพีพงษ์อย่างตกใจ เขาคิดไม่ถึง จริงๆ ว่าการประเมินของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้ด้อยไป กว่าเขาเลยแม้แต่น้อย
แถมยังมีแนวโน้มที่ดีกว่าเขาด้วยซ้ำ
นี่เป็นเด็กหนุ่มวัยยี่สิบกว่าจริงๆ เหรอ? เขาใช้ช่วง เวลาวัยรุ่นสั่งสมความรู้มากมายขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?
แต่ก่อน จารุพิชญ์ คิดว่าอายุเป็นตัวบ่งบอก ประสบการณ์ด้านการประเมินค่าวัตถุโบราณ ยิ่งอายุ มากเท่าไรก็ยิ่งมีความรู้มากเท่านั้นแต่เขากลับหลงลืมไปว่าบนโลกใบนี้มีคนอยู่ ประเภทหนึ่งที่ไม่ต้องใช้เวลามากก็สามารถเรียนรู้ ทักษะได้อย่างถ่องแท้ คนประเภทนี้ถูกขนานนามว่า คนที่มีพรสวรรค์
ไม่นาน การประเมินของรพีพงษ์ก็จบลง ทุกคน ต่างพากันเงียบ
เห็นได้ชัดว่าการประเมินของรพีพงษ์ดีกว่า จารุ พิชญ์ เล็กน้อย แต่ว่าด้วยชื่อเสียงของ จารุพิชญ์ ทำให้ ทุกคนต่างพากันเอนเอียงไปทางเขา แต่ระดับการ ประเมินของพวกเขาก็ไม่ได้ต่างกัน
ชายวัยกลางคนมองคนทั้งคู่แล้วพูดออกมาว่า “การประเมินของชายหนุ่มคนนี้ทำให้ผู้คนต่างพากัน ตกตะลึง ถ้าจะให้พวกเรามาตัดสินว่าใครดีใครด้อย มันค่อนข้างจะลำบากไปหน่อย สู้ให้พวกคุณทั้งสอง ประเมินวัตถุโบราณชิ้นเดียวกันจะได้รู้ไปเลยว่าใครดี ใครด้อย”
ทุกคนต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย แล้วพูดว่าให้ รพีพงษ์กับจารุพิชญ์ประเมินวัตถุโบราณชิ้นเดียวกัน จากนั้นค่อยมาตัดสินว่าจะสนับสนุนใคร
จารุพิชญ์ไม่ได้ว่าอะไร รพีพงษ์ก็เช่นกัน
จารุกิตติ์ ก่นด่าในใจ ความริษยาก่อตัวขึ้นในใจ ของเขา
ชายวัยกลางคนนำภาพที่อยู่ในกล่องออกมา จากนั้นจึงช่วยกันกับเพื่อนร่วมงานเปิดรูปภาพนั้นออกมา เขายิ้มแล้วพูดว่า “ทั้งสองท่านลองมาประเมินภาพนี้ ดูเถอะครับ”
จารุพิชญ์และรพีพงษ์ยืนอยู่หน้ารูปภาพแล้วจ้อง มองมัน
คนที่อยู่ภายในลานต่างสงสัยว่าภาพนั้นคือภาพ อะไร จึงพากันเดินเข้ามาดู
ผ่านไปไม่นาน จารุพิชญ์ จึงหัวเราะออกมาแล้วพูด ว่า “เปลี่ยนเป็นอันอื่นเถอะ ภาพนี้เป็นภาพที่เลียนแบบ ขึ้นมา ถึงแม้มันจะมีอายุมากพอสมควร แต่ก็แค่ภาพ เลียนแบบเมื่อยี่สิบถึงสามสิบปีก่อน ไม่มีค่าพอที่จะ ประเมิน”
ทุกคนพากันแตกตื่น ภาพนี้ดูไปแล้วเหมือนผลงาน ระดับสูง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นภาพเลียนแบบ พวกเขานึก ว่าเป็นภาพของอาจารย์ท่านใดท่านหนึ่ง คิดไม่ถึงว่า จารุพิชญ์ ดูเพียงไม่นานก็สามารถมองออกว่าเป็นภาพ ที่มาจากไหน
ขณะที่ทุกคนต่างพากันชื่นชม จารุพิชญ์
ชายวัยกลางคนคนนั้นหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์จารุพิชญ์ สายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก ภาพ นี้ผมซื้อมาจากพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง ผมเห็นว่ามันเลียน แบบได้ละเอียดมาก ดังนั้นจึงตัดสินใจเก็บมันไว้ คิดไม่ ถึงว่า ท่านอาจารย์จารุพิชญ์ ดูเพียงแวบเดียวก็รู้แล้ว”
“แต่นี่คงไม่ส่งผลกระทบกับการประเมินทั้งสอง ท่านของทุกคนนะครับ ผมจะเปลี่ยนเป็นภาพอื่น”
เจตนาของชายวัยกลางคนชัดเจนมากว่าจงใจ แสดงให้เห็นความเก่งของ จารุพิชญ์ เมื่อถึงตอนนั้นทุก คนจะได้สนับสนุน จารุพิชญ์
ผู้ๆ ชายวัยกลางคนคนนี้ไม่ต่างกับทุกคน เขามองรพี พงษ์ในทางที่ไม่ดี ถึงเขาจะมีความสามารถแต่ไม่ควร จะยโสขนาดนี้
ขณะที่ชายวัยกลางคนกำลังจะเก็บภาพนั้นกลับ ไป จู่รพีพงษ์ก็พูดออกมา “ภาพนี้มันไม่ใช่ภาพ ธรรมดาอย่างที่ทุกคนคิด อย่าเพิ่งรีบเก็บมันครับ”
“รพีพงษ์ นายหมายความว่าอะไร ภาพนี้มันก็แค่ ภาพเลียนแบบ เขาก็บอกแล้วว่าซื้อมาจากพ่อค้าหาบเร่ นายคิดจะทำอะไร คงไม่ได้คิดที่จะใช้โอกาสนี้เล่น ตุกติกหรอกนะ?” จารุกิตติ์ รีบพูดออกมาด้วยความไม่ สบอารมณ์
รพีพงษ์หัวเราะ จากนั้นจึงหยิบรูปภาพนั้นมาแล้วพู ดกับรูปภ. ของตระกูลกุลสวัสดิ์ “ไปเอาโต๊ะมาที่นี่หนึ่ง ตัว เอาน้ำมาหนึ่งกะละมังแล้วก็มีดด้วย”