พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1526 ฉีกห้วงเวลา
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1526 ฉีกห้วงเวลา
เวลา10วันก็ได้ผ่านไปแล้ว เห็นว่าตอนนี้ตวัสได้กลายร่างเป็นตัวคนจริงๆ แล้ว แต่ดูเหมือนจะมีขั้นตอนไหนผิดพลาดไป ตวัสก็เลยยังไม่ตื่นขึ้นมา
แต่ว่าไม้พันปีที่ไร้กิ่งใบ ตอนนี้ได้กลายเป็นต้นไม้ที่เขียวขจี ดูมีชีวิตชีวามาก แค่ดูเฉยๆ ก็ทำให้รพีพงษ์รู้สึกว่าในใจสงบนิ่งมาก
หลังจากนั้นพักใหญ่ ในที่สุดปัณฑาก็ยอมรับความจริงอันน่ากลัวได้ แล้วมองไปที่รพีพงษ์ด้วยสีหน้าจริงจัง
“รพีพงษ์ ไม่ว่าที่คุณพูดจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ คุณต้องรู้นะว่า ผู้ฝึกเซียนที่ได้รับการถ่ายทอดจากเทพเจ้าระดับสูง ในเทวโลกนั้น เป็นยอดอัจฉริยะสำหรับคนโลกนี้เลย”
“ยิ่งกว่านั้น การได้รับการถ่ายทอดทั้งสองเทพ ในเทวโลกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แถมคุณยังได้รับการถ่ายทอดจากเทพระดับสูงทั้งสององค์ โดดเก่นเกินไปก็มักจะถูกครหา ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจในจุดนี้ด้วย”
รพีพงษ์ได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มแหยพยักหน้า พร้อมพูดว่า “หลักการพวกนี้ผมก็พอเข้าใจอยู่ การสืบทอดปฐมกาลของผม สามารถปกปิดระดับของการสืบทอดไว้ได้ และสามารถปกปิดการได้รับการสืบทอดได้ด้วย ปัญหานี้คุณไม่ต้องกังวล”
พอได้ยิน ปัณฑาก็พยักหน้า ไม่คิดเลยว่า บนโลกนี้จะมีพลังที่สามารถปกปิดระดับการรับถ่ายทอดได้ด้วย ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวรพีพงษ์วันนี้ แพร่ไปถึงเทวโลก เกรงว่าที่เทวโลกคงจะตกใจไม่น้อย
ยิ่งกว่านั้น ก่อนหน้านี้ที่นรเทพมาปรากฏตัวบนโลก ก็ทำให้ในใจของปัณฑาคาดเดาได้ บางทีเทวโลกในตอนนี้อาจจะไม่ได้เงียบสงบเหมือนก่อนแล้ว
ถ้าเป็นเหมือนกับที่ปัณฑาคาดเดาล่ะก็ ถ้ารพีพงษ์เปิดเผยพรสวรรค์ของตัวเองออกมา ก็จะอันตรายมากเลย
พรสวรรค์แบบนี้ ขอเพียงให้เวลากับรพีพงษ์หน่อย ไม่นาน รพีพงษ์ก็จะได้เป็นคนที่ปกครองเทวโลก!
“สรุปว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม รพีพงษ์ เรื่องในตัวของคุณ นอกจากฉันแล้ว ไม่ต้องไปบอกกับใครอีก ถ้ามีคนถาม……คุณก็บอกว่า ได้รับการถ่ายทอดแค่เทพเจ้าระดับต่ำเท่านั้น ได้ยินไหม” ปัณฑาพูดจริงจัง
รพีพงษ์ก็มองปัณฑาท่าทางแบบนั้น ก็พยักหน้าอย่างทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรการที่ตนเองปกปิดระดับการรับถ่ายทอดหรือแม้กระทั่งพลังไป พอถึงตอนนั้นต่อให้จะมีคนมาตรวจสอบ ขอเพียงตนเองไม่พูด ก็ไม่มีใครตรวจพบแน่
พอเห็นรพีพงษ์มีท่าทางสบายๆ ปัณฑาก็ถอนหายใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าชาติที่แล้วรพีพงษ์ทำบุญด้วยอะไรไว้ ชาตินี้ถึงได้มีโชควาสนาดีแบบนี้
ในขณะเดียวกัน ปัณฑาก็ยิ่งหวัง ว่าเวลา3เดือนที่เหลือนี้ รพีพงษ์จะสามารถทำได้ถึงขั้นไหน
บางที การที่จะเอาชนะนรเทพ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
หลายวันต่อจากนี้ รพีพงษ์และปัณฑาล้วนแต่รักษาระดับพลังของตนเอง บางครั้งแรดโบราณก็จะออกไปเอาผลไม่เข้ามา สองคนและสัตว์หนึ่งตัวก็อาศัยเจ้าสิ่งนี้ประทังชีวิต
วันที่4
ตวัสลืมตาขึ้นมา บนต้นไม้โบราณมีดอกไม้เบ่งบานตามกิ่งก้าน ผลิออกเป็นยอดเล็กแหลม แต่งแต้มให้กับต้นไม้โบราณ
ตวัสลุกขึ้นจากกิ่งไม้ แล้วมองร่างกายตนเอง จากนั้นก็ตื่นเต้นมาก
รพีพงษ์และปัณฑาเห็นว่าตวัสฟื้นแล้ว ก็รีบเข้ามาดู
ตวัสยื่นมือออกมา แล้วจับเข้าไปที่แขนของตวัส พร้อมพูดอย่างตกใจว่า “ว้าว ไม่นานก็ฝึกฝนจนได้ร่างมนุษย์แล้วจริงๆ แถมผิวพรรณก็ดีมากเลย แทบจะเหมือนผู้หญิงแบบฉันเลยนะเนี่ย”
ตวัสก็หน้าแหย แล้วก็สะบัดออกจากมือปัณฑา พร้อมพูดว่า “ไม่ต้องยุ่งหรอกน่า พวกคุณสองคนก็เพิ่มพลังมากขึ้นไม่น้อย อ้าวรพีพงษ์…….ได้ระดับแดนบุณแล้วงั้นหรือ? ได้รับการถ่ายทอดแบบไหนล่ะ?”
ได้ยินดังนั้น รพีพงษ์ก็กำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ถูกเสียงกระแอมของปัณฑามาขัดไว้
รพีพงษ์ก็รู้ว่าปัณฑาจะสื่ออะไร จากนั้นก็ยิ้มๆ พร้อมพูดว่า “ไม่เลวเหมือนกัน ผมได้ทะลวงชีพจรทั้ง9จุดแล้ว บรรลุขั้นแดนบุณอย่างราบรื่น ส่วนการถ่ายทอดนั้น แบบเสียดายหน่อย ได้รับแค่ระดับล่างจากเทพเจ้าเท่านั้น”
ได้ยินดังนั้น ตวัสก็มีสายตานิ่งๆ แล้วพูดว่า “ได้รับระดับล่างก็โอเคแล้วล่ะ การสืบทอดชูร่าเน้นโจมตี สำหรับคุณก็ถือว่าได้รับการถ่ายทอดได้โอเคแล้ว”
รพีพงษ์ก็รู้ว่าตวัสกำลังปลอบใจตนเอง แต่ในใจของรพีพงษ์ไม่สนใจพวกนี้หรอก เพราะว่าตนเองได้รับการถ่ายทอดทั้งสองสาย แถมยังได้รับถ่ายทอดจากเทพเจ้าระดับสูงทั้งหมด ทั้งยังได้รับการถ่ายทอดจากเทพเจ้าสร้างโลกอีก รพีพงษ์จะพูดออกมาได้ไหมล่ะ
ไม่ได้
ดังนั้น เรื่องนี้ มีเพียงตนเองที่เข้าใจ ตนเองพอใจก็พอแล้ว
“ผู้อาวุโส ผมเข้าใจแล้ว คุณวางใจเถอะ ผมจะไม่ยอมย่อท้อต่อการฝึกฝนแน่นอน ภายในสามเดือน ผมจะฝึกฝนจนสามารถจัดการกับนรเทพได้แพ้ราบคาบให้ได้”
ได้ยินดังนั้น ตวัสก็ไม่ได้พูดอะไร แค่พยักหน้า เพราะถึงอย่างไร แค่ได้รับการถ่ายทอดระดับต่ำ แล้วอยากจะใช้เวลาเพียงสามเดือนเพื่อเอาชนะนรเทพที่เป็นยอดฝีมือระดับแดนบุณ ความเป็นไปได้มันแทบจะเป็นศูนย์
“เอ่อ ผู้อาวุโสครับ ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าจะไปเทวโลกกับพวกเรา แล้วพวกเราจะออกเดินทางกันตอนไหนดี?” รพีพงษ์ถาม
ตวัสก็นิ่งๆ มือทั้งสองก็รวมพลังชีวิตอันมหาศาล แล้วพูดว่า “ไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวผมจะทำลายห้วงเวลาเดี๋ยวนี้ เพื่อเปิดทางเชื่อม แต่ว่าทางเชื่อมนี้มันจะอยู่ได้ไม่นาน พวกคุณสองคนพอเข้าทางเชื่อมไปแล้ว ก็รีบเข้าไปให้สุดทางทันที”
รพีพงษ์และปัณฑาก็พยักหน้า เพราะได้เตรียมตัวพร้อมแล้ว
ตวัสหายใจเข้า แล้วก็หงายมือคว้าอากาศ พลังเทพก็ออกมาบนมือไม่หยุด
พอเห็นว่าห้วงเวลาข้างๆ ฝ่ามือของตวัสเริ่มยับเหมือนกระดาษหนึ่งแผ่น จากนั้นมือของตวัสก็ควักเข้าไปด้านในของช่องว่าง แล้วออกแรงฉีกออกสองด้าน ช่องว่างก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของทั้งสามคน
หลังจากที่รพีพงษ์และปัณฑาเห็นช่องว่างนั้นแล้ว ก็ไม่ลังเล รพีพงษ์โอบปัณฑากระโดดลงไป จากนั้นตวัสก็ตามเข้ามา
หลังจากเข้าช่องว่างนั้นไปแล้ว สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของรพีพงษ์นั้น คือทางเชื่อเส้นหนึ่ง ส่วนแสงปลายทางเชื่อนั้น ก็น่าจะเป็นเทวโลก
“รีบหน่อย เดี๋ยวตกลงไป” รพีพงษ์กล่าว เท้าก็ออกแรง แล้ววิ่งสุดแรงอยู่ในทางเชื่อนั้น
ส่วนตวัสก็ตามอยู่ด้านหลัง วิ่งไปใช้พลังเทพรักษาทางเชื่อมให้คงอยู่ไปด้วย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดรพีพงษ์ก็มาถึงยังจุดที่มีแสงสว่างปลายทาง ยังไม่ทันได้คิดอะไร ก็ถูกตวัสที่ตามมาข้างหลังดันเข้าไปในแสงสว่างนั้น แล้วก็มาถึงโลกอีกแห่งหนึ่ง
พอรู้สึกว่าเท้าแตะพื้นแล้วนั้น ใจที่กังวลของรพีพงษ์ก็สงบลง แล้วก็มองไปรอบๆ พร้อมกับตื่นตกใจ
สมกับที่เป็นเทวโลก ในอากาศของที่นี่มีไออะไรบางอย่างลอยอยู่ พอมองดูดีๆ ไอพวกนั้นก็คือพลังทิพย์และพลังเทพผสมกัน
แค่จุดนี้ รพีพงษ์ก็รู้สึกว่าการหายใจของตนเองโล่งขึ้นมาก แม้แต่สายตาก็ยิ่งชัดเจนมากกว่าเดิม แค่มองก็สามารถเห็นพื้นผิวของใบไม้ที่ไกลออกเป็นหลายลี้ได้
“ที่นี่ก็คือเทวโลกงั้นหรือ เพียงพอที่จะทำให้คนตื่นตกใจได้จริงๆ !” รพีพงษ์กล่าว ตอนนี้แทบอยากจะนั่งสมาธิลงทันที เพื่อนดูดซับพลังเทพเสียที่นี่
ปัณฑาเห็นรพีพงษ์มีท่าทางไม่เอาไหน ก็ทำหน้าเอือมระอา แล้วก็ตบไหล่ของรพีพงษ์ พร้อมพูดว่า “อย่าเลย ที่นี่ไม่เท่าไรหรอก เดี๋ยวรอพวกเราเข้าเมืองไป เดี๋ยวคุณก็รู้เองว่าที่เทวโลกมันมีอะไรมหัศจรรย์บ้าง”