พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1549 ฆ่ามังกรดำ
สามารถมองออกว่า หนังมังกรดำตัวนี้แข็งจริง ๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถแทงทะลุหนังมังกร
บางทีก่อนที่หนังมังกรจะถูกแทงทะลุ พวกเขาสองคนก็อาจตายไปแล้ว
“มันจะต้องมีวิธี ขอแค่พวกเราสามารถอดทนรอจนพวกพ่อของคุณมา เราก็จะมีโอกาสรอด”
“พูดไปพูดมายังไงก็ต้องรออยู่ที่นี่ ช่างเป็นความหวังที่ริบหรี่”
เป็นเพราะบวรวิทย์คิดจะฆ่าตนเอง ถ้าเขาไม่เป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายมากมาย ตอนนี้ทั้งสองคนคงจะไม่มาอยู่ที่นี่
มีความหวังยังดีกว่าไม่มีความหวัง อย่างน้อยปัณฑาก็ไปแจ้งข่าวแล้ว คนอื่นอาจพึ่งพาไม่ได้ แต่เจ้าเด็กคนนี้เป็นคนที่พึ่งพาได้
“อดทนไว้ คุณเป็นคนอารมณ์ร้อน ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ในท้องมังกร ถ้าอยู่ข้างนอกผมอาจจะฆ่าคุณจริง ๆ!”
“คนอย่างคุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผม ดูเหมือนว่าคุณจะลืมไปแล้วว่าผมเป็นคนของตระกูลภูสรีดาว”
มีความหมายแฝงอยู่ในคำพูด อันที่จริงแล้วมันแฝงท่าทีอ่อนโยนไว้ อย่างไรก็ตามวันนี้ถ้ามีรพีพงษ์ เกรงว่าตนเองจะตายไปแล้ว ตอนนี้พูดประโยคนี้ออกมาโดยไม่เสียหน้า และยังคงสามารถใช่คำพูดที่หนักขึ้นได้อีก
ถ้าเขารู้ว่าจะเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ เขาก็จะไม่จัดการรพีพงษ์ แต่ตอนนี้รพีพงษ์กลับช่วยชีวิตตนเองไว้
ไม่ว่าคนจะโกรธแค้นแค่ไหน ก็คงไม่สามารถลงมือฆ่าคนที่มีบุญคุณเคยช่วยชีวิตตนเองได้ มิเช่นนั้นเขาก็จะเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน
รพีพงษ์ไม่ได้อยู่นิ่ง นั่งขัดสมาธิแล้วสังเกตอย่างละเอียด ตรงที่พวกเขานั่งอยู่เป็นกระเพาะของมังกร และสิ่งที่หมุนไปรอบ ๆ ก็คือกรดในกระเพาะของมังกร
ไม่รู้ว่าความสามารถในการย่อยอาหารของเขาแข็งแกร่งแค่ไหน เมื่อไม่สามารถแทงทะลุผิวหนังของมังกรได้ ถ้าทำลายกระเพาะของมังกร ก็จะทำให้มังกรเจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็น
ขอแค่มังกรตาย แล้วกรดในกระเพาะหยุดทำงาน โอกาสรอดของพวกเขาก็จะมากขึ้น
“คุณชายบวรวิทย์ ลุกขึ้นเร็ว อย่าเอาแต่นั่ง พวกเราจะนั่งรอความตายไม่ได้”
รพีพงษ์พูดในสิ่งที่ตนเองคิด บวรวิทย์มองเขาด้วยความประหลาดใจ “มันทำได้จริงหรือ?”
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง หรือว่าคุณอยากตายอยู่ในนี้?”
รพีพงษ์กล่าวด้วยน้ำเสียงห้วน เพราะตอนนี้คนที่มีไอเดียคือรพีพงษ์ บวรวิทย์จึงไม่สามารถพูดอะไรได้ รพีพงษ์พูดอะไรเขาก็จะปฏิบัติตาม นี่เป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด
หลังจากนั้นเขาก็สกินกระบี่ออกมา แล้วหันหลังชนกับบวรวิทย์ “ระวังอย่าให้ตกลงไปในหินหนืดนี้ ขอแค่ทำลายกระเพาะอาหารของมันได้ พวกเราก็จะไม่ถูกกรดในกระเพาะกัดกร่อน”
“กรดในกระเพาะอาหารคืออะไร?”
เมื่อบวรวิทย์ถามคำถามที่ไร้ความคิดนี้ รพีพงษ์ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ดังนั้นจึงให้เขาปฏิบัติตามที่ตนเองบอกก็พอแล้ว
แม้ว่าบวรวิทย์จะไม่เต็มใจ แต่เมื่อคิดว่าสามารถทำให้มีชีวิตรอดได้ และออกไปพร้อมกันได้ ความแค้นก่อนหน้านั้นทั้งหมดพักไว้ก่อน
รพีพงษ์ไม่ใช่คนที่ใจคับแคบ เขารู้สึกว่าถ้าเหตุการณ์นี้ทำให้ตนเองกับบวรวิทย์เปลี่ยนจากศัตรูเป็นมิตร ก็ถือว่าคุ้มค่า
เมื่อทั้งสองร่วมมือกัน มังกรดำรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงบินวนอยู่บนท้องฟ้า สองคนที่อยู่ในท้องของมังกรรู้สึกสั่นไหวอย่างรุนแรง และไม่มีจุดรองรับ
“ทำไมสัตว์เดรัจฉานตัวนี้ถึงได้บ้าคลั่งเช่นนี้?”
บวรวิทย์บ่นอย่างไม่พอใจ รพีพงษ์รู้ว่าการทำวิธีนี้ได้ผล มังกรตัวนี้ไม่ควรกลืนพวกเขาสองคนลงในไปท้อง
ปัณฑามาถึงตระกูลภูสรีดาว และได้พบกับพ่อบ้านเตชิตที่เดินชักช้าอยู่ข้างทาง แต่ปัณฑาก็ไม่สนใจเขา
รีบไปพบเจ้าบ้านของตระกูลภูสรีดาวทันที และเล่าสถานการณ์ของรพีพงษ์กับบวรวิทย์ เทวเทพได้ยินว่าลูกชายของตนเองตกอยู่ในอันตราย รู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก
แต่เขาคนเดียวไม่มีความสามารถที่จะช่วยพวกเขาได้ ประจวบเหมาะที่นราธิปก็อยู่ในบ้านเช่นกัน เมื่อนันท์ธรและคนอื่นได้ข่าว ทุกคนจึงมารวมตัวกันและเดินมุ่งหน้าไปที่ห้องลับพร้อมกัน
ระหว่างทางได้พบกับพ่อบ้าน เมื่อเทวเทพเห็นพ่อบ้าน ก็เหมือนกับเห็นตัวซวย เขาจึงเตะพ่อบ้านอย่างแรง และบอกพ่อบ้านว่าต่อไปอย่ามาให้ตนเองเห็นหน้าอีก
พ่อบ้านเตชิตไม่มีเวลาแม้แต่จะขอความเมตตา รีบเดินกะเผลกไปอย่างรวดเร็ว ยังรู้สึกว่าโชคดีที่ตนเองวิ่งเร็ว เมื่อเห็นคนมากันมากมาย คนที่โง่แค่ไหนก็สามารถรู้ว่าสถานการณ์ของบวรวิทย์นั้นเลวร้ายแน่นอน
รพีพงษ์และบวรวิทย์กลิ้งไปมาอยู่ในท้องของมังกร แล้วบวรวิทย์ก็อาเจียนออกมาทันที
“ผมอยู่กับอาจารย์และพ่อมาตั้งแต่เด็ก และไม่เคยมีศัตรู ประสบการณ์ต่อสู้นั้นน้อยมาก ผมทนไม่ไหวแล้ว”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ก็ทำให้รพีพงษ์รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก บวรวิทย์บอกว่า เขามีประสบการณ์ต่อสู้น้อยมาก และตอนที่เขาต่อสู้กับตนเองนั้น ความสามารถของเขาก็ไม่ด้อย แล้วถ้าเขามีประสบการณ์ต่อสู้มากมายเหมือนตนเอง ผลการฝึกตนของเขาคงจะน่ากลัวมาก
ในช่วงเวลาที่รู้จักกัน หลังจากผ่านเรื่องราวเหล่านี้ รพีพงษ์รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เป็นแค่เด็กที่ถูกตามใจจนเสียนิสัยเท่านั้น ถ้าปรับปรุงเปลี่ยนแปลงก็สามารถปลูกฝังให้เป็นคนที่มีคุณภาพได้
นี่เป็นเพียงความปรารถนาฝ่ายเดียวของรพีพงษ์ แค่หวังว่าตนเองจะสามารถมีเพื่อนร่วมทางที่จะไปต่อสู้กับนรเทพ มันเป็นหนทางที่ยากลำบากเป็นอย่างมาก ถ้าอาศัยแค่ตนเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถเอาชนะได้ เพราะความสามารถของนรเทพไปถึงจุดสูงสุดแล้ว
“พวกเราต้องเพิ่มความแรง ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยตายอยู่ในท้อง ก็จะไม่ยอมถูกกรดในกระเพาะย่อย”
รพีพงษ์รู้ดีว่าถ้าตนเองยอมแพ้ ความคิดความปรารถนานั้นก็จะสลายไปอย่างรวดเร็ว มันก็จะสมดังใจมังกรดำตัวนี้ ทันใดนั้นก็ปรากฏกระแสน้ำวนขึ้นในท้องของมังกร รพีพงษ์มองไปที่นั่นด้วยดวงตาที่เปล่งเป็นประกาย และเขาก็จับกระบี่ไว้แน่น และพุ่งไปพร้อมกับบวรวิทย์
ความเร็วของพวกเขาทั้งสองคนนั้นเร็วมาก พวกเขาผ่านกระแสน้ำวนโดยตรง จากนั้นก็ได้ยินเสียงคำราม ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาสองคนมีผลการฝึกตน หูของพวกเขาจะต้องหนวกเพราะมังกรดำตัวนี้แน่นอน
หลังจากนั้น ทั้งสองคนได้รวมกำลังทั้งหมดไปไว้บนกระบี่ของรพีพงษ์ แล้วก็แทงทะลุผ่านท้องของมังกรทันที มีแสงระยิบระยับส่องเข้ามา แล้วทั้งสองคนเห็นดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าอีกครั้ง
รพีพงษ์และบวรวิทย์นั่งอยู่บนพื้นอย่างเหนื่อยล้า และยิ้มให้แก่กัน หลังจากผ่านพ้นภัยพิบัติครั้งนี้ ทั้งสองเป็นเหมือนพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตาย ไม่ว่าก่อนหน้านั้นบวรวิทย์จะยโสโอหังขนาดไหน แต่ตอนนี้ใจเขาก็เป็นหนึ่งเดียวกับรพีพงษ์
“อย่าคิดว่าคุณช่วยชีวิตผมแล้ว ผมจะดีกับคุณน่ะ”
รพีพงษ์ยิ้มอย่างจำใจ เมื่อได้ยินประโยคที่แสดงถึงใจคอคับแคบของเขา “ไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้ ผมไม่เคยกลัวคุณเลย”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยหัวเราะ และดื่มด่ำไปกับช่วงเวลาที่ผ่อนคลาย มีเงาปกคลุมทั่ว พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่พร้อมเพรียงมุ่งหน้ามาที่นี่
หมอกดำปกคลุมร่างของมังกร ศพของมังกรค่อย ๆ กลายเป็นฝุ่นละออง จากนั้นก็มีลูกแก้วมังกรสองลูกปรากฏอยู่บนพื้น
บวรวิทย์รีบหยิบลูกแก้วมังกรขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วยื่นให้รพีพงษ์หนึ่งลูก “นี่เป็นของดี เป็นรางวัลแห่งชัยชนะ ควรจะแบ่งเท่ากัน”
เขาไม่รู้สึกถึงอันตรายเลยแม้แต่น้อย แค่พึมพำเบา ๆ ทำไมวันนี้เมฆดำปกคลุมหนาแน่น?
“นรเทพ คือนรเทพ ที่นี่อันตราย พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
รพีพงษ์รู้ความสามารถของตนเองดี ตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนรเทพ ถ้าไม่อวดเก่งน่าจะสามารถปกป้องตนเองได้
“คุณล้อเล่นอะไร นรเทพจะมาที่นี่ได้อย่างไร เขาไม่มาเมืองเล็ก ๆ เช่นนี้หรอก!”
ทันทีที่กล่าวจบ ก้อนหินที่อยู่ด้านหลังภูเขาก็กลิ้งลงมา และมุ่งหน้ามาตามทิศทางที่พวกเขานั่งอยู่…….