พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1550 สัตว์ขี่ของนรเทพ
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1550 สัตว์ขี่ของนรเทพ
บวรวิทย์ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “หรือว่านรเทพกำลังจะมาจริง?”
เขามองไปที่รพีพงษ์ด้วยความประหลาดใจ ทำไมรพีพงษ์ถึงรู้เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของนรเทพ
ในสายตาของเขานั้น รพีพงษ์เป็นคนที่โลกทัศน์แคบ เมื่อได้ยินสิ่งที่รพีพงษ์พูดเมื่อสักครู่ เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักนรเทพ
นรเทพนั้นขึ้นชื่อเรื่องการฆ่าคนอย่างเลือดเย็น และอาศัยดูดวิญญาณของคนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ความแข็งแกร่งของเขานั้นสามารถบดขยี้ใครก็ได้ในเมืองแฟรี่แห่งนี้
รพีพงษ์มองไปที่มังกรดำตามสัญชาตญาณ เขารู้สถานะของตนเองดี ถึงแม้ว่าจะเขาจะสามารถมาที่เทวโลกได้ แต่เขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไม่เพียงพอที่จะทำให้นรเทพต้องกังวล
มันต้องเกี่ยวอะไรกับมังกรดำแน่ ๆ ถ้าไม่ออกจากที่นี่โดยเร็ว แล้วนรเทพเห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับมังกรดำมีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาทั้งคู่ เกรงว่าจะไม่มีใครสามารถออกจากที่นี่ได้ คราวก่อนก็เกือบจะตายอยู่ภายใต้น้ำมือของนรเทพแล้ว คราวนี้จะไม่ยอมให้ทับซ้ำรอยเดิม
เมื่อความสามารถของตนเองยังด้อย จึงทำได้แค่เพียงพยายามฝึกฝน และรอจนกว่าตนเองจะสามารถต่อสู้กับศัตรูได้จริง ๆ ถึงจะสามารถต่อสู้กับศัตรูซึ่งหน้าได้
บวรวิทย์และรพีพงษ์เดินทางไปเมืองแฟรี่อย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะไปรวมตัวกับเทวเทพ และคนอื่น ๆ
ขณะนี้ รพีพงษ์ได้ปล่อยผลินออกมาจากโลกที่ตนเองสร้างไว้ และเดินทางไปพร้อมกับพวกเขา
เทวเทพถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นว่าลูกชายของตนเองปลอดภัย
นรเทพเคยผ่านการต่อสู้ที่ใหญ่มาก่อน ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก นราธิปขมวดคิ้วแน่น และถามรพีพงษ์ว่า “พวกคุณฆ่ามังกรดำตัวนั้นใช่ไหม?”
“ถ้าไม่ฆ่ามังกรตัวนั้น เกรงว่าพวกเราจะไม่สามารถมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ท่านผู้อาวุโส ระหว่างนรเทพกับมังกรดำตัวนั้นมีความสัมพันธ์พิเศษหรือ?”
“เท่าที่ผมรู้ นั่นเป็นสัตว์ขี่ของเขา และมันไม่ง่ายที่จะฟื้นจากการหลับใหล แต่มันกลับถูกพวกคุณสองคนฆ่า เกรงว่าเรื่องนี้จะไม่แก้ไขยาก”
สีหน้าของนราธิปเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ว่าทำอะไรดี แม้ว่าจะคุยกันด้วยเหตุผลซึ่งหน้า แต่พวกเขาก็เป็นฝ่ายที่ผิด
ทันทีที่เงานั้นปกคลุมผู้คนอยู่ที่นี่ทั้งหมด นราธิปให้ทุกคนกลับไปที่เมืองแฟรี่โดยเร็วที่สุด ตอนนี้นรเทพอยู่ในช่วงเวลาวิกฤติทำให้เขายังไม่กล้าฆ่าผู้บริสุทธิ์ ขอแค่นรเทพตามหาพวกเขาไม่เจอ พวกเขาก็จะปลอดภัยชั่วคราว
หลังจากได้ยินประโยคนี้ ทำให้รพีพงษ์รู้สึกมึนงง ยังมีคนที่นรเทพเกรงกลัวด้วยหรือ?
ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการหนี ออกไปจากที่นี่ นราธิปขอให้รพีพงษ์และบวรวิทย์ไปอยู่กับเขาที่ภูเขาสองกระบี่ ถ้านรเทพต้องการแก้แค้น และต้องการจะตามหาพวกเขาสองคน สถานที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือเมืองนี้
ถ้าหากพวกเขาสองคนอยู่ที่เมืองแฟรี่ จะทำให้ประชาชนที่อยู่รอบ ๆ เดือดร้อน ถ้าไปที่ภูเขาสองกระบี่ เนื่องจากที่นั่นไม่มีคนอาศัยอยู่ จะต่อสู้แก้แค้นกันอย่างไร มันก็เป็นเรื่องระหว่างสามคนเท่านั้น
พวกเขาไปที่บ้านของตระกูลภูสรีดาวก่อน เทวเทพกล่าวกับและนราธิปว่า “คุณธิป นรเทพไม่ใช่คนที่แหย่ได้ง่าย ๆ ถ้าไม่ถึงที่สุดก็อย่าเผชิญหน้ากับเขา ตอนนี้ชีวิตของเด็กสองคนนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้ว”
เทวเทพรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก ก่อนจะมาเขายังคงคิดวิธีที่จะจัดการรพีพงษ์ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของรพีพงษ์และบวรวิทย์สองคนนี้แล้ว และรู้ว่าพวกเขาสองคนผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ตอนนี้ก็มีศัตรูคนเดียวกันนั้นก็คือนรเทพ ดังนั้นจะไม่มีความขัดแย้งชั่วคราว
“คุณเทวเทพ โปรดวางใจเถอะ ตราบใดที่ผมยังอยู่ ผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องความปลอดภัยของพวกเขา”
และปัณฑากระซิบข้างหูของรพีพงษ์ “ถ้าพบศัตรู การฆ่าเขาคือเป้าหมายของพวกเรา แต่ตอนนี้พวกเรายังไม่สามารถต่อสู้กับเขาได้”
รพีพงษ์ไม่ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก สำหรับเขามันเป็นสิ่งที่ดี การเลื่อนระดับแต่ละครั้งก็อยู่ในช่วงอันตราย และนรเทพอาจเป็นคนที่สามารถกระตุ้นตนเองได้
“สำหรับผมได้ทั้งนั้น แต่ถ้าวันหนึ่งผมตายด้วยน้ำมือของนรเทพจริง ๆ คุณก็อย่าอยู่ที่นี่อีก กลับไปที่ป่าหมอก ที่นั่นเป็นบ้านของคุณ ไปใช้ชีวิตธรรมดา อย่าให้ผมต้องทำให้คุณเดือดร้อน”
ปัณฑาต่อยรพีพงษ์ด้วยความโมโห แล้วบอกว่าตอนนี้นรเทพยังไม่มา เขาก็คิดทางหนีทีไล่ไว้แล้ว แล้วอย่างนี้จะช่วยลูกสาวตนเองได้อย่างไร เขาจะยอมแพ้ไม่ได้ จะต้องสู้กับนรเทพให้ถึงที่สุด
รพีพงษ์แค่รู้สึกว่าถ้าเรื่องของตนเองนั้นทำให้คนอื่นเดือดร้อน มันจะเป็นสิ่งที่แย่
เจ้าเด็กน้อยคนนี้ติดตามตนเองตลอด ดังนั้นตนเองไม่สามารถปล่อยให้เธอได้รบบาดเจ็บใด ๆ
สิ่งที่ปัณฑาพูดคือสิ่งที่เขาต้องการจะทำ แต่เขาไม่รู้ว่านานแค่ไหนจะสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้
รพีพงษ์ส่งผลินกลับไปที่บ้าน ตอนนี้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ พ่อบ้านก็ยังไม่กล้าทำอะไรผลิน หลังจากส่งผลินเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจะไปที่ภูเขาสองกระบี่พร้อมกัน
ในห้องโถง มองดูบวรวิทย์ที่กำลังครุ่นคิดและสีหน้าที่กลัดกลุ้ม รพีพงษ์อดไม่ได้จึงถามว่า “การฆ่ามังกรตัวนั้น ทำให้ตอนนี้นำความหายนะมาสู่ตนเอง คุณเสียใจไหม?”
บวรวิทย์เป็นคนที่เปิดเผย สถานการณ์ตอนนั้นถ้าคุณไม่ตายผมก็ตาย หลังจากฆ่ามังกรตัวนั้นแล้ว แม้ว่าตอนนี้เขาจะถูกนรเทพฆ่าตาย แต่เวลาที่มีชีวิตอยู่ในช่วงนี้ ก็ถือว่าคุ้มแล้ว
“ไม่ว่าจะยังไง สรุปแล้วตอนนี้ผมจะไม่ฆ่าคนแล้ว ถ้าคุณตายไปแล้ว โอกาสที่ผมจะถูกนรเทพฆ่านั้นเป็นไปได้มาก”
นราธิปไม่ได้บอกอะไรพวกเขามากมาย แต่บอกพวกเขาว่ามีสัตว์เซียนหลายสิบตัวอยู่ที่หลังเขา ซึ่งสัตว์เซียนทั้งหมดนั้นหลงเหลือมาจากสมัยโบราณ
เพื่อไม่ให้พวกมันทำอันตรายต่อมนุษย์ เขาจึงได้ขังสัตว์เซียนเหล่านั้นไว้ที่นั่นเป็นพิเศษ ตอนนี้จะให้พวกเขาไปปล่อยสัตว์เซียนพวกนั้นออกมา
“อาจารย์ ท่านหมายความว่าอย่างไร? พวกเราไม่สามารถควบคุมสัตว์เซียนเหล่านั้นได้ ถ้าปล่อยพวกมันออกมา จะไม่เป็นการปล่อยให้พวกมันไปทำร้ายผู้คนหรอกเหรอ?”
“พวกเจ้าทั้งสองคนมีผลการฝึกตนพอ ๆ กัน และยังไม่สามารถทะลวงได้สักที ต้องอาศัยอันตรายเท่านั้นที่จะทำให้พวกคุณสามารถทะลวงได้ ไม่ช้านรเทพก็จะมาที่นี่ ถ้าหากช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ ไม่สามารถทะลวงจากแดนบุณระดับต้นไปแดนบุณระดับกลางได้ โอกาสรอดของพวกคุณก็จะน้อยลง
ก่อนหน้านั้นตอนที่รพีพงษ์ฝึกได้ทะลวงไปถึงแดนบุณระดับต้นแล้ว ส่วนบวรวิทย์นั้นเหลือแค่ก้าวเดียวก็จะสามารถไปถึงแดนบุณระดับกลาง อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างระหว่างระดับต้นและระดับกลางดูเหมือนจะเป็นแค่คำเดียว แต่ความเป็นจริงนั้นแตกต่างราวฟ้ากับเหว การพูดนั้นง่ายแต่ทำนั้นยาก?
“หรือว่าแม้แต่อาจารย์ก็ไม่มีความมั่นใจ?”
ขณะที่บวรวิทย์กล่าวนั้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง นราธิปเหลือบมองบวรวิทย์ จากนั้นก็มองไปที่รพีพงษ์ รู้สึกว่าศิษย์ของตนเองนั้นเป็นคนไร้ความสามารถ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จหมดทางเยียวยา
แต่ตอนนี้ตนเองไม่สามารถทำลายความกระตือรือร้นของเขาได้
“เรื่องของพวกคุณนั้นพวกคุณก็ต้องเป็นคนแก้ไขเอง อาจารย์ไม่สามารถอยู่เคียงข้างคุณได้ตลอดชีวิต เมื่อคุณตกอยู่ในอันตราย ถ้าคุณไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้วยตนเองได้ งั้นคุณก็จะตายด้วยมือของคนอื่น ความเพียรพยายามของอาจารย์ก็สูญเปล่า ที่อาจารย์สอนเทคนิคการฝึกเหล่านี้ให้แก่คุณ ไม่ใช่เพื่อให้คุณอยู่ในที่เล็ก ๆ แห่งนี้ไปตลอดชีวิต”
นราธิปกล่าวในสิ่งที่ตนเองคิด ทำให้ในใจของบวรวิทย์เกิดความรู้สึกอบอุ่น ก่อนหน้านั้นตนเองเคยคิดว่าอาจารย์ลำเอียง แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ นราธิปยังคงตั้งความหวังในตนเองไว้สูง
ก่อนหน้านั้นไม่รู้จักระลึกถึงพระคุณของอาจารย์ เป็นสิ่งที่ผิดมหันต์
“อาจารย์ ก่อนหน้านั้นผมไม่รู้ความ หวังว่าท่านอาจารย์จะโปรดให้อภัย หลังจากผ่านความเป็นความตายครั้งนี้แล้ว ผมรู้ว่าอาจารย์นั้นไม่ง่าย ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปผมจะตั้งใจฝึกฝนแน่นอน และจะไม่ทำให้อาจารย์ต้องเป็นห่วง”