พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1552 สถานที่ใหม่สำหรับการฝึกบำเพ็ญตน
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1552 สถานที่ใหม่สำหรับการฝึกบำเพ็ญตน
เมื่อได้ยินพ่อบ้านเตชิตพูด ชายชุดดำนั่นก็หันหน้ามามองโดยไม่รู้ตัวเลย
คนตรงหน้านี้ รู้เรื่องหนักใจของตัวเองได้อย่างไร ไม่มีเหตุผล
เขาอดไม่ได้ที่จะสนใจ พูดถามเขา : “แกพูดคำนี้ แกรู้เหรอว่าเรื่องหนักใจของฉันคืออะไร?”
“ถูกต้อง แต่ว่าฉันก็ไม่ได้จะช่วยฟรีๆหรอกนะ ฉันก็มีเงื่อนไข” พ่อบ้านเตชิตพูดกล่าวด้วยสีหน้าที่แวววาว
“แกมีเงื่อนไขอะไร ไม่งั้นก็พูดออกมาตรงๆเลย ฉันไม่ชอบอ้อมค้อม”
คนชุดดำนั่นก็พูดออกมาตรงๆเลย พ่อบ้านสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองไปยังคนชุดดำ พูดกล่าว : “ฉันรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่นั่น แต่ว่าคุณจะต้องช่วยรักษาขาทั้งสองข้างของฉันให้หายดี แล้วให้ฉันเข้าร่วมกับพวกคุณด้วย ฉันและพวกเขามีความแค้นที่ไม่ยอมอยู่ร่วมโลกเดียวกัน หากแค้นนี้ไม่ได้ชำระ ทั้งชีวิตนี้ของฉันก็คงไม่มีวันได้เงยหน้าขึ้นแล้ว ”
คนชุดดำมองไปยังสองขาของเขาอย่างดูถูก พ่อบ้านเตชิตกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ รีบพูดกล่าวอีกทันทีว่า : “คุณวางใจเถอะ ถ้าหากฉันทำในสิ่งที่ฉันพูดไม่ได้ คุณก็หักขาฉันได้เลย ฉันก็จะไม่มีข้อคิดเห็นอะไร ”
ชายชุดดำเผยรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง พูดถาม : “มีที่อยู่ไหม?”
พ่อบ้านเตชิตมีหน้าบานด้วยความปีติยินดี พูดกล่าว : “มีที่อยู่นะ แต่ว่าถ้าอยู่ที่เก่าของฉัน ทำให้พวกเขารู้ว่าฉันและคนของพวกคุณติดต่อกัน งั้นฉันก็คงใช้ชีวิตอยู่ไม่ได้ ถึงตอนนั้นหากพวกคุณอยากจะตามหาตัวก็ยิ่งจะยากขึ้นไปโดยปริยาย”
พ่อบ้านเตชิตรู้เรื่องหนักใจของคนชุดดำอย่างชัดเจน และคนชุดดำก็ถือว่าเห็นประโยชน์จากในตัวของพ่อบ้านคนนี้แล้ว คิดๆแล้วขานี้ก็โดนหักแล้ว และคนที่เขาต้องการหาตัวมีความเกี่ยวพันกัน
ตอนนี้ทุกคนก็มีมติเป็นเอกฉันท์กันแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำงานร่วมกัน
คนชุดดำก็ได้ให้พ่อบ้านไปอยู่ที่ที่เขาอยู่แล้ว พ่อบ้านคนนี้เป็นคนเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี ทั้งสองคนต่างก็เอาในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
นรเทพอารมณ์ไม่ดี ให้เวลาเดดไลน์แก่พวกเขา ถ้าหากภายในเวลาเดดไลน์นี้ไม่สามารถนำข่าวคราวที่มีประโยชน์กลับมาให้ได้ พวกเขาก็ไม่มีจุดจบที่ดีอย่างแน่นอน
ทางภูเขาสองกระบี่ ปัณฑาได้ปล่อยสัตว์ที่ดุร้ายออกมาแล้ว
รพีพงษ์ขมวคิ้วเล็กน้อย เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่า สัตว์เซียนนี้จะจัดการได้ง่ายดาย
ยังไงก็เป็นพวกคนสมัยโบราณ ที่ล็อกพวกมันไว้ที่นี่ นราธิปมีจุดประสงค์ของเขา
นราธิปยืนอยู่บนยอดเขาของภูเขาสองกระบี่ ลมพัดผมของเขาปลิวเบาๆ ผ่านปลายจมูก มีกลิ่นเลือดจางๆโชยมา
รพีพงษ์และบวรวิทย์ร่วมมือกันจัดการสัตว์เซียนตัวหนึ่ง สับฆ่าตายได้แล้วหนึ่งตัว
พวกเขาร่วมมือกันถึงจะทำได้เร็วเช่นนี้ ถ้าหากคนเดียว คิดอยากจะฆ่าสัตว์ตัวนั้น เกรงว่าใช้จนสุดพลังก็ยากที่จะฆ่าทิ้งได้
นราธิปพูดกล่าว : “พวกคุณสองคน ทำไมไม่หนึ่งคนต่อหนึ่งสัตว์ หนึ่งคนต่อสิบตัว หนึ่งคนต่อห้าตัว ในร่างกายของสัตว์เซียนนี้มีจิตมุก หลังจากที่สับฆ่าแล้วก็สามารถกินจิตมุกได้ มีประโยชน์มากสำหรับผลการฝึกตนของพวกคุณ ”
บวรวิทย์หายใจหอบๆ พูดว่า : “ที่อาจารย์พูดน่ะง่าย แต่สัตว์เซียนนี่จัดการได้ง่ายดายกันซะที่ไหนล่ะ?”
รพีพงษ์ยิ้มเบาๆ ที่บวรวิทย์อยากจะอบรมพวกเขาทั้งสองคน ก็เพราะหวังดีกับพวกเขา บวรวิทย์ก็มีเหตุผล เขาก็อยากจะลองพอดี ตัวเองสับฆ่าสัตว์เซียน กินจิตมุกนั่นแล้ว
ในมือของนรเทพกุมพลังความเป็นความตายของหนูลินไว้อยู่ เขาจะยืดเยื้อนานไม่ได้ ไม่งั้นจะต้องเกิดเรื่องกับหนูลินแน่
“ถ้าหากจัดการได้ง่าย ฉันจะให้พวกคุณไปฆ่าเหรอ บวรวิทย์ คุณก็ช่างขี้ขลาดเกินไปแล้วนะ ท่านอาจารย์ก็ไม่มีทางทนมองดูคุณตายในกำมือของสัตว์เซียนได้ไม่ใช่เหรอ?”
บวรวิทย์เก็บกระบี่ในมือกลับมา นั่งอยู่บนโขดหิน บอกว่าอยากพักผ่อนสักหน่อย
พระอาทิตย์ตกดินแล้ว พวกเขาเข่นฆ่ากับสัตว์เซียนนี่เมื่อตอนเที่ยง มองดูสัตว์เซียนในถ้ำนั้น แต่ละตัวต่างก็เตรียมพร้อมแล้ว รอแค่มีคนมาปล่อยพวกมันออกมาเท่านั้น
ปัณฑาที่อยู่อีกฝั่งรู้สึกกลัดกลุ้มมาก พูดกับรพีพงษ์ว่า : “ไม่เห็นจะสนุกสักนิดเลย สัตว์เซียนตัวหนึ่งพวกคุณก็สู้รบเป็นเวลานานขนาดนี้ โชคดีที่ฉันไม่ได้ปล่อยสัตว์เซียนออกมาทั้งหมด”
รพีพงษ์จนใจ เจ้าเด็กคนนี้แค่ยืนพูดเท่านั้นไม่ได้ลงมือทำเหมือนตัวเองสักหน่อย!
ต่อสู้กับสัตว์เซียนตัวนี้ ก็เหนื่อยจนอ่อนระโหยโรยแรงแล้ว ถ้าหากสัตว์เซียนทั้งหมดออกมา งั้นก็ไม่ยิ่งเพิ่มความวุ่นวายเหรอ?
“หิวไหม จะไปกินผลไม้ป่าที่ภูเขาสักหน่อยไหม?”
“บนภูเขาเป็นสถานที่รวบรวมพลังทิพย์ ผลไม้ป่ากลับว่าสามารถยกระดับผลการฝึกตนของฉันได้ ฉันไม่พูดจาไร้สาระกับพวกคุณแล้ว”
ปัณฑาพูดแล้วก็ออกไปเลย เดินก้าวเข้ามาพูดกับรพีพงษ์ว่า : “ฉันไม่ไปไหนไกล คุณวางใจได้ ไม่ต้องสนใจฉัน”
เขากลับว่าไม่ต้องสนใจ ในเมืองแฟรี่ ตอนนี้รพีพงษ์ไม่มีศัตรู เป้าหมายของนรเทพก็คือเขาและบวรวิทย์
ปัณฑาอยู่ในหุบเขาจนชินแล้ว อยู่ไม่ได้ไปโดยปริยาย ไปที่เมืองแฟรี่เลย
และหนังตาของนราธิปชักกระตุกอย่างไม่หยุดหย่อน แค่คิดว่าหากพวกเขาทั้งสองคนยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็คงไม่ได้การแล้ว
พวกลูกน้องของนรเทพล้วนแต่ไม่ใช่คนโง่ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่เป็นศัตรูของตระกูลภูสรีดาว ไม่ใช่แค่คนสองคน จะต้องมีคนถือโอกาสแสดงความคิดเห็น สถานที่เน่าๆแห่งนี้ไม่เพียงพอที่จะคุ้มกันพวกเขาสองคน
รพีพงษ์หันหน้าเข้าหาแสงเงินแสงทองบนท้องฟ้า นั่งลงบนพื้น บวรวิทย์มอบจิตมุกของสัตว์เซียนให้รพีพงษ์ บอกว่าผลการฝึกตนของรพีพงษ์ยังน้อยกว่าเขาสองระดับ เรื่องเล็กๆแบบนี้ เขาไม่อยากจะมาขัดแย้งกับรพีพงษ์
รพีพงษ์กลับว่ารู้สึกประหลาดใจ ล้วนเป็นคนที่ตรงไปตรงมาทั้งนั้น รพีพงษ์รับจิตมุกมาเลย ยิ้มอย่างเบาๆ : “ฉันฆ่าสัตว์เซียนแล้ว จะคืนนาย”
“ได้สิ ต่างคนต่างทำ ไม่แน่ประสิทธิภาพอาจจะสูงขึ้นกว่าหน่อย”
บวรวิทย์พูดแล้วก็ไปที่ตำหนักพระวิหารแล้ว เขาอยากจะรู้ว่า ทำยังไงถึงจะยกระดับตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
รพีพงษ์นั่งลงกับพื้น ค่อยๆเริ่มดูดซับพลังเทพที่กักเก็บอยู่ในยาเม็ดนั้น สายน้ำที่ใสสะอาดวิ่งไหลขึ้นลงทั้งตัว
ตอนที่รีบตาขึ้นมาอีกครั้ง ฟ้าก็มืดแล้ว
นราธิปจัดให้พวกเขาสองคนหนึ่งคนต่อหนึ่งถ้ำ บอกว่าข้างในปิดสนิท จะไม่ได้รับผลกระทบจากโลกภายนอก
รพีพงษ์มองไปรอบๆแล้ว ไม่เห็นปัณฑา ค่อนข้างเป็นกังวล คิดถึงคำพูดตอนที่เดินมา ก็ยิ่งเป็นกังวลอย่างมาก
ในเมื่อปัณฑาพูดคำพูดนั้นแล้ว งั้นก็อยากจะเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกให้สนุก ตัวเองมีความจำเป็นอะไรต้องไปรบกวนเขาด้วยล่ะ
ถ้ำของรพีพงษ์และบวรวิทย์อยู่ติดกัน เขาเดินเข้าไปที่ถ้ำ บวรวิทย์ตำหนิว่า : “ฉันอยู่ที่นี่ก็อยู่มาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยพูดเรื่องของถ้ำอะไรนี่เลย ก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร”
รพีพงษ์พูดปลอบใจ : “อาจารย์ธิปทำแบบนี้ แน่นอนว่ามีเหตุผลของเขา”
รพีพงษ์สัมผัสได้ว่า พลังงานทิพย์ที่อยู่ในถ้ำนี้ยิ่งง่ายต่อการรวบรวม ในส่วนลึกของถ้ำมีสระบัวที่กำลังเบ่งบาน กลิ่นหอมอบอวลอยู่เต็มถ้ำ
ดอกบัวรายล้อมไปด้วยหมอกบางๆที่ปกคลุม เห็นแล้วก็เกิดความสุขทั้งในด้านดวงตาและด้านจิตใจ ลักษณะของหินประหลาดที่อยู่ในถ้ำ ค่อนข้างหนาวเย็นเล็กน้อย นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับผู้ที่ฝึกบำเพ็ญตน
และสถานที่ที่บวรวิทย์อยู่ เดินเข้าไปล้วนเป็นกะโหลกศีรษะ อากาศหนาวเย็นและเงียบสงัด
เขาไม่อยากอยู่ที่เน่าๆแห่งนี้ หันหลังออกไปหานราธิป ถึงข้างนอกแล้ว พบว่าไม่ว่ายังไงก็ออกไปไม่ได้ ที่แท้นราธิปได้จัดตั้งข่ายอาคมขึ้นมา พวกเขาสองคนไม่มีใครสามารถออกไปได้ทั้งนั้น
เขาร้อนใจเดินไปยังในถ้ำที่บอกว่ารพีพงษ์อยู่ในนั้น เพิ่งจะถึงปากทางถ้ำ ก็พบว่าเข้าไปไม่ได้เหมือนกัน
ในใจสับสน นราธิปคิดจะทำอะไรกันแน่
การกระทำนี้ของนราธิปก็เพื่อช่วยเหลือพวกเขาทั้งหมด บวรวิทย์เป็นคนใจร้อนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ รพีพงษ์กลับว่าไม่เป็นกังวล แต่ปัณฑาจะรบกวนความคิดของเขา ตอนนี้จัดตั้งข่ายอาคมขึ้นมา ทั้งสองคนก็จะออกไปก็ไม่ง่ายเลย
ไปยังเมืองแฟรี่ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เขาสัมผัสไม่ได้ถึงลมหายใจของนรเทพ แต่พวกสายลับของนรเทพยังอยู่ที่เมืองแฟรี่ จะชะล่าใจไม่ได้