พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1564 ความไม่ยอมของนรเทพ
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1564 ความไม่ยอมของนรเทพ
ถ้ามีคนก็ต้องมีร่องรอย ขอเพียงมีคนมาที่นี่ นรเทพก็ไม่เชื่อว่าจะหาไม่เจอ
พอถึงตอนนั้นก็จะดูสิว่านราธิปจะอธิบายอย่างไร แต่ว่านราธิปเป็นคนกะล่อน ถ้าหากว่าเขาเตรียมตัวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ตนเองก็ทำอะไรไม่ได้
นราธิปก็ไม่ยอมให้นรเทพยืนอยู่ที่นั่น “ที่นี่มีเด็กชายรับใช้อยู่สองคน พวกเขามีฝีมือการกลั่นยาและชงชาอย่างดี สนใจหน่อยไหม?”
“คุณก็บอกมาขนาดนี้แล้ว งั้นผมก็ขอไปดูหน่อยแล้วกัน ไม่งั้นคงฉีกหน้าคุณแย่เลยสิ?”
นรเทพกระโดดลอยไปบนอากาศ เข้าไปในตำหนักพร้อมกับนราธิป ทั้งสองคนเหมือนเพื่อสนิทกัน ดื่มชาหัวเราะคุยกันอยู่ในนั้น
พอมองไปเด็กชายรับใช้สองคน นรเทพก็ยิ้มถามว่า “ไอ้บวรวิทย์ ไอ้เด็กสองคนนั้นเป็นลูกศิษย์คุณงั้นหรือ?”
“คือลูกศิษย์ผมเอง แต่ว่ามันไม่เอาไหน ผมให้มันกลับบ้านไปนานแล้วล่ะ ตระกูลภูสรีดาวของพวกมันไม่ค่อยมีพรสวรรค์ด้านการฝึกวิชา ไม่เพียงเท่านั้นนะ ผมก็ยังหาเรื่องให้ตัวเองอีก ที่ภูเขาสองกระบี่ มีไอ้สองคนนี้อยู่ ผมก็รู้สึกเบื่อๆ”
นรเทพก็เอ่ยเรื่องที่สองคนร่วมมือกันควบคุมโลกนี้อีก จากนั้นก็คุยกันเรื่องที่บนโลกมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเก่งมาก ถ้าพรสวรรค์ของเธอถูกเปิดขึ้นมา แล้วได้ครูดีๆ มาสั่งสอนให้ฝึกวิชาล่ะก็ คงจะมีพลังเหนือพวกเขาแน่ๆ
แถมยังคิดที่จะฆ่าเด็กผู้หญิงคนนั้นทิ้งด้วย แต่ก็ได้แค่เอาดวงวิญญาณเธอมาเท่านั้น ยังไม่สามารถฆ่าให้ตายได้
นราธิปได้ยินนรเทพพูดแบบนี้ ก็เข้าใจได้ว่าทำไมรพีพงษ์ถึงได้ตามหาที่อยู่ของนรเทพ ลูกสาวของรพีพงษ์ก็คือเด็กผู้หญิงที่นรเทพพูดถึง
ตั้งแต่อดีต ทำชั่วมากเดี๋ยวตัวก็ตายเอง นรเทพนั้นเก่ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคู่ต่อสู้
เขาจิบชาไป แล้วก็ยิ้มๆ ไป “เรื่องพวกนี้ คุณก็รู้ดี ว่าผมไม่ค่อยสนใจ ไม่อย่างนั้นปีนั้นคงไม่ตอบคุณไปแบบนั้นหรอก คุณอยู่ที่เทวโลก ตอนนี้ก็ได้เป็นยอดคนนับหมื่นใต้บัญชาคนเดียวแล้ว ยังมีอะไรไม่พอใจอีก เสียดายมังกรดำนั่น ไม่คิดเลยว่าหลับใหลไปหลายปี พอตื่นขึ้นมาก็ถูกเด็กสองคนฆ่าตาย”
“คุณรู้หรือว่าพวกมันอยู่ที่ไหน?”
นรเทพได้ยินดังนั้น ก็สีหน้าเปลี่ยน มังกรดำเป็นสัตว์พาหนะของเขา และเป็นสัตว์เลี้ยงของเขาด้วย มันหายไปหลายปี พอปรากฏตัวก็ถูกคนฆ่าตาย เขาก็ไม่ยอมเป็นธรรมดา
ตอนที่ได้ยินข่าวนั้น ก็สาบานว่าจะฆ่าสองนั้นกับมือตัวเอง เพื่อแก้แค้นให้กับมังกรดำ
นราธิปก็นิ่งไป แล้วพูดว่า “พวกเขาสองคนเคยมาหาผม และก็คือบวรวิทย์เหมือนที่คุณบอก แต่ว่าผมไม่อยากหาเรื่องคุณ ก็เลยให้พวกเขาสองคนกลับออกไป ตอนนี้จะอยู่ที่ไหน ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“คุณไม่มีทางไม่รู้ ในเรื่องนี้จะต้องมีคุณมาเกี่ยวข้องด้วยแน่”
นรเทพสีหน้าเปลี่ยน น้ำเสียงก็เปลี่ยน ไม่ได้มีท่าทางมาดีเหมือนเมื่อครู่แล้ว เขาเสแสร้งต่อไม่ไหวแล้ว
นราธิปลุกขึ้น แล้วพูดจุดยืนของตนเองว่า “เรื่องของพวกคุณ พวกคุณก็ไปจัดการกันเอง ไม่ต้องมาสร้างความรำคาญให้ผมที่นี่ ถ้าคุณเก่งก็ไปฆ่าไอ้สองคนนั้นเองก็จบแล้ว ไม่เห็นต้องมาพูดมากที่นี่เลย?”
ขณะพูด ก็ให้เด็กชงชาสองคนออกไป นรเทพที่กำลังโมโห ก็กดอารมณ์ตนเองลง
พูดเสียงเย็นๆ ว่า “คุณไม่ต้องทำแบบนี้หรอก เดี๋ยวผมหามันให้เจอเอง คุณอย่าคิดว่าพูดช่วยมันแล้วจะปกป้องมันได้ ถ้าผมโมโหจัดๆ ขึ้นมา ต่อให้ฆ่าคุณด้วย ผมก็ไม่มีปัญหา”
พูดจบ ชเนศก็เข้ามา แล้วก้ส่ายหัวให้กลับนรเทพ นรเทพก็มองนราธิป นราธิปก็ยิ้มพูดเบาๆ “อยู่พักที่นี่ก่อนไหมล่ะ ลูกน้องของคุณหมดแรงไปมาก บางทีอาจจะมีจุดไหนที่ยังไม่ได้หา คุณไม่คิดจะหาที่นี่เพิ่มหรือไง?”
น้ำเสียงมีความดูถูก ในเมื่อทุกคนก็ได้พูดจาเปิดเผยกันแล้ว งั้นก็ไม่ต้องมาเกรงใจอะไรกันแล้ว
นรเทพสร้างห้วงเวลาขึ้นมาบนภูเขา แล้วก็เขาไปอยู่ด้านในห้วงเวลานั้น นราธิปเก่งด้านการสร้างข่ายอาคม ขอเพียงหาให้พบว่าที่นี่มีข่ายอาคมอยู่เท่าไร ก็จะสามารถหาคนที่เขาซ่อนตัวไว้ได้
รพีพงษ์และบวรวิทย์มีความกล้ามาก ถึงได้กล้าลงมือใกล้จมูกของเขาได้ขนาดนี้ ถ้าไม่ฆ่าพวกเขาสองคนทิ้งเสีย ก็จะเป็นความอับอายของตนเอง
จะว่าไปแล้วปัญหานี้ ในใจไม่อาจจะปล่อยผ่านไปได้
ชเนศหาไม่พบจริงๆ แล้วก็ถามอย่างระวังว่า “เจ้านายครับ หรือว่าพวกเราจะอยู่ในนี้กันจริงๆ?”
“ใช่ ไปตามหาต่อ ทุกซอกทุกมุมก็อย่าให้ได้เล็ดลอดไปได้”
ชเนศก็พยักหน้า แล้วก็ไปสั่งลูกน้องออกตามหาอีกครั้ง เขาไม่เคยคิดเลยว่า นราธิปจะกล้ากับนรเทพซึ่งๆ หน้าแบบนี้ เรื่องนี้มันจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เรื่องที่จะฆ่าไอ้สองคนนั้นแล้วจะจบสิ้นได้
นรเทพเดินออกมาจากห้วงเวลาขนาดเล็กนั้น แล้วใช้พลังทิพย์สัมผัสกับทุกสิ่งทุกอย่างในภูเขาสองกระบี่
แต่เห็นได้ชัดว่า ที่นี่ไม่มีวี่แววว่าจะมีคนอยู่เลย
เขาหายใจเข้าอย่างลึก แล้วก็ทบทวนเรื่องทั้งหมดอีกครั้ง นึกถึงรพีพงษ์ที่อยู่บนโลก ไม่รู้ว่าทำไมเขามักรู้สึกว่าคนคนนั้นมันอยู่ที่นี่
ตอนนั้น ในป่าหมอก ภายใต้การโจมตีของตนเอง ไอ้หมอนั่นมีคนเก่งคอยช่วยเหลืออยู่
งั้นครั้งนี้ ถ้ามันโชคดีมายังเทวโลกได้ จุดประสงค์ของมัน ก็คงต้องเป็นตนเองเท่านั้น!
ทั้งสองคนได้มาถึงยังจุดที่ไม่เอ็งก็ข้าต้องตายกันไปข้างหนึ่ง สิ่งเดียวที่ทำให้ไม่พอใจก็คือ ที่เทวโลกยังมีอุปสรรคอยู่ ถ้าสามารถกำจัดนราธิปได้ง่ายๆ ล่ะก็ เขาก็คงไม่ต้องมาปวดหัวแบบนี้
ทุกอย่างในเทวโลกล้วนอยู่ในกำมือของเขา ยกเว้นที่นราธิปนี้ เขาไม่มีทางควบคุมได้
นราธิปอยู่ในตำหนักโดยไม่ได้พักผ่อน รู้ว่านรเทพคงไม่รามือง่ายๆ แน่ ในหัวก็คิดแต่เรื่องที่จะรับมือกับนรเทพ
พอนึกถึงหนังสือกลยุทธ์ในตัวของปริตร ถ้าสามารถเอาหนังสือกลยุทธ์นั้นมาได้ แล้วให้พวกของรพีพงษ์ฝึกวิชานั้น เพื่อเอาชนะนรเทพ ก็เหมือนจะมีโอกาสชนะมากขึ้นมาหน่อย
ตอนนี้ก็ได้ยินเสียงมาจากด้านหลัง พอหันกลับไปดู ด้านหลังของตำหนัก ปริตรก็เปิดกลไกประตูเดินออกมา
เขามองปริตรด้วยความตกใจ แล้วถามว่า “นี่คุณทำได้อย่างไร?”
“ตั้งแต่เด็กผมก็ร่างกายอ่อนแอ ไม่เหมาะกับการจะฝึกวิชา แต่พวกเรื่องกลไกต่างๆ ผมยังไม่เคยมีใครสู้ได้ แค่ผมคิดก็ไม่มีกลไกไหนที่ผมแก้ไม่ได้”
“คุณออกมามันอันตราย นรเทพรอตามหาตัวคุณอยู่”
“เดิมทีผมกับเขาก็ไม่มีความแค้นอะไรกัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ที่เขาต้องการก็คือหนังสือกลยุทธ์ในตัวผม ผมได้เผาหนังสือกลยุทธ์ไปแล้ว ต่อให้ฆ่าผม ก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้หรอก”
“อะไรนะ คุณเผาหนังสือกลยุทธ์ไปแล้วงั้นหรือ?”
นราธิปมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ ไม่รู้ว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่ ของสำคัญแบบนั้น จะเผาทิ้งไปได้อย่างไร?
“ถูกต้อง ถ้าหนังสือกลยุทธ์เล่มเดียว หาเรื่องมาให้ผมถึงชีวิต ผมเอามันไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
เขาพูดอย่างสบายๆ ราวกับเผากระดาษไปแผ่นเดียว โดยไม่ต้องตื่นเต้นตกใจอะไร
นราธิปหายใจเข้าอย่างลึก ตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ หนังสือกลยุทธ์ได้ถูกเผาไปแล้ว ต่อให้อยากฝึกก็ไม่สำเร็จแล้ว เสียดายที่วิชาชุดนี้ต้องสูญหายไป
พูดอย่างทำอะไรไม่ได้ “คุณพูดถูกต้อง แต่ว่า นรเทพอยากจะฆ่าคุณ มันก็จะง่ายมากขึ้น คุณต้องซ่อนตัวไว้เท่านั้น”
ในใจเขาโมโหที่ปริตรไม่รู้จักของล้ำค่า ทำให้ของดีต้องสูญหายไป