พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1565 คนที่ฉลาดหลักแหลม
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1565 คนที่ฉลาดหลักแหลม
สำหรับปริตรนั้นไม่เท่าไร แต่นรเทพมีนิสัยชอบเข่นฆ่า คนที่เขาไม่ชอบขี้หน้ามักจะมีจุดจบที่ไม่ดี
เพราะถึงอย่างไรคนที่ตายก็ไม่ใช่ตนเองคนเดียว ถ้าให้หนังสือกลยุทธ์ไปอยู่ในมือของนรเทพ เกรงว่าเทวโลกคงจะต้องพังพินาศด้วยมือของนรเทพแน่ๆ
เขาอ่านหนังสือสรรพวิชามาตั้งแต่เด็ก รู้เรื่องราวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรื่องบนโลกก็พอรู้บ้าง
เริ่มแรกที่โลกก็เหมือนกับเทวโลกในตอนนี้ เต็มไปด้วยพลังทิพย์ แต่เนื่องจากมีคนก่อสงครามใหญ่บนโลก บาดเจ็บล้มตายกันนับไม่ถ้วน ดังนั้นสิ่งมีชีวิตบนโลกถึงได้ต่ำกว่าที่เทวโลก
ปัจจุบันสองแห่งมีความต่างกัน แต่ตอนนี้มีคนอยากจะโค่นล้มทุกอย่างลง ปริตรก็ไม่ยอมเหมือนกัน
คำพูดที่เขาบอกกับนราธิป ก็ไม่ได้เก็บเข้าไปคิด นราธิปจ้องมองปริตร “คุณออกมาแบบนี้ ไม่กลัวนรเทพมาเห็นคุณหรือไง?”
“ต่อให้นรเทพมา ผู้อาวุโสก็คงไม่ยอมให้นรเทพเห็นผมหรอก ความขัดแย้งระหว่างคุณกับนรเทพ มันใหญ่หลวงมาก ภายนอกดูเหมือนจะคุยกันได้ดี แต่จริงๆ แล้วมันได้เดือดดาลขึ้นมาแล้ว ผมสามารถช่วยไม่น้อยเลยนะ”
“ไอ้เด็กคนนี้ พลังไม่เยอะ แต่ลมปากไม่เบาเลยนะ”
“ผมไม่ได้โกหกนะครับ ถ้าผู้อาวุโสไม่เชื่อ ก็เอาตัวผมไปส่งให้เขาก็ได้ แต่ว่า นรเทพคงจะไม่ยอมรับน้ำใจนี้หรอก เพราะว่าทั้งหมดทั้งมวลก่อนหน้านี้ที่ผู้อาวุโสคุยกับนรเทพก็จะเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เหมือนกับเป็นการตบหน้าตนเอง”
นราธิปยังไม่เคยเห็นใครช่างพูดจาแบบนี้มาก่อน ยิ้มไปเบาๆ เด็กรุ่นใหม่นี่มันน่ากลัวจริงๆ
พละกำลังเป็นสำคัญก็จริงอยู่ แต่บางครั้ง หัวสมองของคนก็สำคัญเหมือนกัน เขามาอยู่ข้างกายตนเองก็คงจะช่วยเหลือได้ไม่น้อยจริงๆ
“งั้นก็ลองว่ามา ว่าตอนนี้ผมควรทำอะไรบ้าง?”
“ในเมื่อผู้อาวุโสพูดไปแล้วว่า ให้พวกของรพีพงษ์กลับมาก่อนพระอาทิตย์ตกวันพรุ่งนี้ ก็แสดงว่ารู้ว่านรเทพจะกลับออกไปปก่อนพระอาทิตย์ตก แต่ผมไม่ได้คิดแบบนั้น นรเทพเป็นคนกะล่อน คงไม่ยอมกลับออกไปง่ายๆ แน่”
จริงๆ แล้วปริตรก็เพิ่งเคยเห็นนรเทพเป็นครั้งแรก แต่ในหนังสือที่คนรุ่นก่อนทิ้งไว้นั้น มีเรื่องราวของนรเทพไม่น้อยเลย
เนื้อหาในหนังสือนั้น ปริตรเชื่ออย่างสนิทใจ มันไม่มีทางผิดแน่นอน
จากคำพูดของปริตร นราธิปก็เริ่มมีความสนใจ เขาว่ากันว่าคุณชายของตระกูลเยอซอเป็นพวกไม่เอาไหน วันนี้ได้เห็น พวกคนนอกต่างหากที่ไม่รู้เลยว่าอะไรกันแน่ที่เป็นสิ่งล้ำค่าของจริง
น่าเสียดาย คนฉลาดแบบนี้ ทำไมตนเองไม่ได้เจอกันก่อนหน้านี้ ถ้ามีลูกศิษย์แบบนี้อยู่ข้างๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่นั่งคุยกันธรรมดา อารมณ์ก็ดีขึ้นมากแล้ว
“คุณพูดถูกต้อง นรเทพคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่ หรือว่าพวกเราต้องส่งตัวของรพีพงษ์ไป?”
ถ้าเผชิญหน้ากัน คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนรเทพแน่ ตอนนี้มีแต่ต้องใช้สมองเท่านั้น นี่คือความคิดเดียวของปริตร
เขายิ้มมุมปากแบบร้ายๆ “นรเทพคงไม่เห็นผมอยู่ในสายตา แต่หนังสือกลยุทธ์บนตัวผมเป็นสิ่งที่เขาฝันอยากได้มาครอบครองอยู่เช้าเย็น ผมก็มีอยู่แผนหนึ่ง”
เสียงพูดเริ่มเบาลง แล้วเข้ามาพูดที่ข้างหูของนราธิป นราธิปก็เรียกให้เอากระดาษกับปากกามา แล้วก็เขียนเนื้อหาหนึ่งในสามของของหนังสือกลยุทธ์ลงในกระดาษ
ถ้าเขาฆ่านรเทพไม่ได้ ทั้งเมืองแฟรี่และครอบครัวของพวกเขาก็ต้องได้รับเคราะห์ไปด้วย
ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ต้องทำให้พลังของนรเทพไม่แข็งแกร่ง สร้างโอกาสให้กับพวกของรพีพงษ์
เขาจะเอาหนังสือกลยุทธ์นี้ไปให้กับนรเทพ ยังมีหลายจุดควรระวังสำคัญที่เขาไม่ได้เขียนลงไป นรเทพชอบการฝึกพลังมาร ส่วนวิชาของสำนักธรรมะพวกนี้ จะพยายามหลอมรวมเข้าด้วยกันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
นราธิปก็ไม่ได้ถามต่อ ก็ได้แสดงทีท่าออกไปว่า ตอนนี้ไม่ว่าคุณชายปริตรจะทำอะไร เขาก็จะสนับสนุน ให้ภูเขาแก่ปริตรหนึ่งลูก ด้านในมีถ้ำที่เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย ปริตรถนัดเรื่องกลไก งั้นก็จะให้โอกาสนี้แก่ปริตร
เรื่องนี้ถูกจัดการเรียบร้อย เดิมทีนราธิปไม่คิดว่าจะชนะ แต่พอได้ยินสิ่งที่เด็กหนุ่มนี้พูดออกมาแล้ว ก็เริ่มมีความมั่นใจขึ้นมาไม่น้อย
เขาเชื่อว่า ขอเพียงทุกคนร่วมมือกัน จะต้องสามารถเอาชนะนรเทพได้แน่
ถ้านรเทพมีพลังแข็งแกร่งจนสามารถเอาชนะตนเองได้ เขาก็คงลงมือไปนานแล้ว
เพราะถึงอย่างไร เพราะไอ้หมอนี่ได้จับจ้องการฝึกภาวะภายในในร่างของตนเองมาหลายปีแล้ว
ตอนนี้ใครเก่งคนนั้นก็พูดได้ ขอเพียงตนเองได้ลงมือก่อนก็กำจัดนรเทพได้ คืนความสงบให้กับเทวโลก และถือเป็นการสร้างบุญใหญ่ด้วย
อีกฝั่งหนึ่งของเมืองแฟรี่ หัวของพ่อบ้านเตชิตถูกห้อยลงมาจากประตูกำแพงเมือง
เขาตายแล้ว สำหรับนรเทพนั้น คนคนนี้ไม่ได้ประโยชน์อะไรมาก
เดิมทีคิดจะเอาร่างเขาไปโยนในป่าให้หมากิน คนที่เคยถูกเขาทำร้าย ต่างก็มีความไม่พอใจอยู่ในใจ ก็เลยไปแย่งเอาร่างเขาออกมา แล้วตัดหัวมาแขวนไว้ที่ประตูเมือง
คนของนรเทพส่วนใหญ่อยู่ที่ภูเขาสองกระบี่ ไม่มีเวลาว่างไปสนใจเรื่องของพ่อบ้านเตชิต
ยิ่งกว่านั้นตั้งแต่ต้นจนจบ พ่อบ้านเตชิตอยู่ในสำนักของนรเทพก็เหมือนหมาตัวหนึ่ง ไม่มีใครสนใจว่าเขาจะเป็นหรือตาย
บวรวิทย์ก็มองหัวของพ่อบ้านเตชิตบนกำแพงเมือง แล้วก็นิ่งไป
รพีพงษ์ก็มองบวรวิทย์ แล้วก็ยิ้มพูดว่า “คิดว่ามันอนาถมากเลยใช่ไหม?”
“คุณว่า ถ้าผมเป็นเหมือนเมื่อก่อน แล้วผมตาย ผมจะมีจุดจบแบบนี้หรือเปล่า?”
“ก่อนหน้านี้ คุณก็แย่จริงๆ เพราะเป็นพวกพ้องกัน ผมถึงพูดความจริงกับคุณ แต่ว่าความคิดของคุณยังไม่โต ก็เลยถูกพ่อบ้านเตชิตหลอกใช้ ไม่ใช่ความผิดของคุณ ความผิดใหญ่ที่สุดของพ่อบ้านเตชิตก็คือไปเข้าร่วมกับนรเทพ ส่วนคุณไม่ได้เป็นแบบนั้น”
เห็นว่าสีหน้าของบวรวิทย์ไม่ค่อยดีนัก ดูสับสนวุ่นวาย
รพีพงษ์ก็เอ่ยว่า “ถ้าคุณคิดว่ามันน่าอนาถไป ก็เอาเขาไปฝังได้”
“คนเราต้องชดใช้กับสิ่งที่ตนทำชั่วไว้ ผมเองก็เหมือนกัน แต่ว่าผลกรรมของผมมันจะเป็นอย่างไร?”
เขาเหมือนจะไม่ได้ฟังสิ่งที่รพีพงษ์บอก พูดจาอยู่คนเดียว รพีพงษ์ก็ทนดูต่อไปไม่ได้ แล้วก็เอามือตบไหล่ของเขาพูดไปว่า “ไม่ต้องคิดมาก ตอนนี้สำคัญที่สุดพวกเราต้องตามหาคุณอานันท์ธรให้เจอก่อน ถ้าตามหาเขาและปัณฑาเจอ ผมก็เบาใจแล้ว”
ในสายตาของรพีพงษ์นั้น บวรวิทย์จะมีสีหน้าท่าทางแบบนี้ก็ไม่แปลก เพราะถึงอย่างไรพ่อบ้านและบวรวิทย์ก็รู้จักกันมานาน
บวรวิทย์ถูกพ่อบ้านเตชิตเลี้ยงมาจนโตก็ว่าได้ แต่เสียดายตอนนี้ได้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว
บวรวิทย์ตัดสินใจจากออกมา โดยไม่มองบนกำแพงเมืองนั้นแล้ว เดินมาที่ถนนแล้วก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย “พุทราเชื่อมอันนี้อร่อยไหมนะ?”
เป็นเสียงของปัณฑา เธอกำลังถามนันท์ธร นันท์ธรก็มองปัณฑาด้วยสายตาเบื่อๆ “พ่อเธอไม่เคยซื้อให้กินหรือไง?”
“รพีพงษ์ไม่ใช่พ่อของฉัน เขาเป็นเพื่อนฉัน จะให้ฉันบอกอีกกี่ครั้งเนี่ย เออนี่ นันท์ธร ซื้อให้ฉันสักอันสิ เดี๋ยวพวกเรากลับไปภูเขาสองกระบี่ก็ไม่มีให้กินแล้วนะ”
รพีพงษ์ก็หลุดยิ้มออกมา ในที่สุดก็หาเจอสักที
“อยากกินอะไร เดี๋ยวผมซื้อให้ นันท์ธรเป็นคนไม่ค่อยมีเงิน จะซื้อได้อย่างไรกันล่ะ?”
ปัณฑาหันกลับมาแล้วเห็นรพีพงษ์ ก็ยิ้มปากกว้าง แล้วถามว่า “คุณช่วยผลินมาแล้วใช่ไหม?”
รพีพงษ์ก็หยิบพุทราเชื่อขึ้นมาหนึ่งอัน แล้วก็คิดถึงหนูลิน จากนั้นก็ถอนหายใจ แล้วก็ยิ้มพูดต่อไปว่า “จะมีใครเสียอีกล่ะ นอกจากผม?”