พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1573 แสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1573 แสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่
ทุกสิ่งในโลกนี้ ต้องมีสิ่งหนึ่งที่สามารถพิชิตสิ่งหนึ่งได้ และวันนี้ถือว่าได้เรียนรู้อะไรมากมาย
สิ่งที่รพีพงษ์เห็นในตัวของปริตรคือรูปลักษณ์ที่อ่อนโยนและสง่างาม ดังนั้นตอนที่เขาใช้ค่ายกลจึงไม่มีความรีบร้อนแต่อย่างใด
เขาจะต้องค้นหาที่มาของค่ายกลนี้ให้ได้ เทวเทพและพ่อของตนเองก็ไม่รู้ มีเพียงปริตรเท่านั้นที่รู้
และตอนนี้ในตัวของปริตรไม่เพียงมีความลับของค่ายกลนี้เท่านั้น แต่ยังมีคัมภีย์ลับอีกด้วย
ตอนนี้นรเทพแทบไม่เหลือความเย่อหยิ่งและความโหดเหี้ยมแล้ว เขาเหมือนจะยอมพ่ายแพ้แล้ว แต่เมื่อคิดว่าตนเองนั้นพ่ายแพ้ให้กับนราธิป ทำให้เขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
เขาหยิ่งทะนงจนเคยชิน เขายอมตายในถ้ำดีกว่าออกมาแล้วให้คนทั้งโลกเยาะเย้ยและประณาม
นราธิปให้ทุกคนเตรียมตัวเพื่อที่จะเข้าไปในถ้ำ แต่ก็ยังคงกังวลว่าพลังของนรเทพนั้นแข็งแกร่งมาก หากไม่สามารถฆ่าเขาได้ในคราวนี้ ต่อไปเขาคงจะแก้แค้นคืนอย่างบ้าคลั่งแน่นอน
ไม่เพียงแต่รพีพงษ์และคนอื่น ๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงระหว่างตนเองกับนรเทพที่ไม่มีทางจะเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
แม้จะเสแสร้งก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องลงมือ
เทวเทพมองไปที่บวรวิทย์ด้วยความกังวลและกล่าวว่า “ตอนนี้แม้ว่าพลังของนรเทพดูเหมือนจะลดลงไปมาก แต่ก็ห้ามประมาท ทักษะฝีมือของเขาอยู่เหนือจินตนาการของพวกเรา ถ้าไม่สามารถเอาชนะนรเทพได้ ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ และหนีไปซะ ยังไงพ่อก็ไม่อาจทนเห็นลูกตายได้”
ขณะที่เทวเทพกล่าวประโยคนี้ เขาไม่ได้พูดต่อหน้าทุกคน แต่เขาพาบวรวิทย์ไปคุยเป็นการส่วนตัว
บวรวิทย์รับปาก แต่เขามีความคิดของตนเองอยู่ในใจ ตอนนี้ทุกคนต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน หากพวกเขาไม่สามารถเอาชนะนรเทพได้จริง ๆ เกรงว่าจะไม่มีโอกาสหลบหนี
ถ้าทุกคนสามารถเสียสละได้ เขาก็เสียสละได้เช่นกัน สิ่งที่เทวเทพกล่าวนั้นเกิดจากความกังวล บวรวิทย์จึงไม่ได้คัดค้านอะไรเลย
ผลินเดินไปข้างรพีพงษ์ มองรพีพงษ์ด้วยความเสน่หา คิดถึงสิ่งที่แม่ของเธอเคยพูด แม่ของเธอพูดถูก ผู้ชายที่ยอดเยี่ยมอย่างรพีพงษ์ ถึงจะเป็นภรรยาน้อยของเขา ก็ไม่เป็นไร
เพียงแต่รพีพงษ์นั้นไม่ยินยอม รพีพงษ์ยิ้มเล็กน้อยแล้วมองผลินและถามว่า “ช่วงนี้แม่ของคุณเป็นอย่างไรบ้าง แผลหายดีแล้วหรือยัง?”
“แม่หายตั้งแต่ตอนที่คุณช่วยรักษาแล้ว ถ้ามีคุณอยู่ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่สามารถทำให้พวกเรายอมแพ้ได้”
“อาการหายก็ดีแล้ว คุณก็อยู่เป็นเพื่อนแม่ให้มากขึ้น อย่าไปไหนมาไหน จะทำให้ท่านเป็นห่วง รู้ไหม?”
รพีพงษ์รู้ความในใจของผลิน แต่ตนเองไม่สามารถตอบสนองผลินได้ เพราะยังมีหนูลินและอารียารอเขาอยู่บนโลก
เขาได้วางแผนไว้ จะกลับไปหลังจากฆ่านรเทพแล้ว อย่างน้อยเขาต้องรู้สถานการณ์ปัจจุบันของหนูลิน
เป็นไปไม่ได้ที่นรเทพจะฆ่าหนูลินอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้คงไม่อยู่เฉยเช่นกัน ถ้านรเทพดูดอะไรไปจากวิญญาณของหนูลินแล้ว จะเป็นความเสียหายถาวรต่อหนูลิน
แม้ว่านรเทพจะตายแล้ว หนูลินคงไม่ดีขึ้นเร็วมาก
ตอนนี้สายตาของผลินเต็มไปด้วยรพีพงษ์ เธอคิดว่าถ้ารพีพงษ์ตาย เธอคงสิ้นหวังที่จะมีชีวิตอยู่ ความหวังดีของรพีพงษ์ที่มีต่อเธอ ชั่วชีวิตของเธอก็ตอบแทนไม่หมด
สิ่งเดียวที่จะตอบแทนก็คือการมอบตนเองให้กับเขา พลีกายมอบทั้งชีวิต ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ตนเองก็จะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ
เธอเอื้อมมือไปโอบเอวของรพีพงษ์โดยไม่ลังเล และกอดรพีพงษ์ไว้แน่น
รพีพงษ์ดึงมือของเธอออก แต่ผลินกอดแน่นขึ้นไปอีก สามารถมองเห็นความกังวลที่อยู่ในสายตาของเธอ
“ฉันรู้ ตอนนี้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องของฉัน รพีพงษ์ ฉันหวังว่าคุณจะปลอดภัยออกมา ถ้าคุณตาย ฉันก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว”
เธอต้องอยู่กับรพีพงษ์เท่านั้น ถ้ารพีพงษ์ไม่ต้องการเธอ เธอจะไม่แต่งงานชั่วชีวิต
ถ้าไม่สามารถหาผู้ชายดี ๆ แบบรพีพงษ์ได้ การแต่งงานหรือไม่แต่งงานมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
รพีพงษ์บอกว่าเธอเป็นคนโง่เขลา ปัณฑาเตือนว่า “อย่าเป็นแบบนี้ รพีพงษ์มีภรรยาแล้ว ถ้าคุณทำเช่นนี้ ถ้าภรรยาของเขารู้ เธอจะต้องหึงแน่นอน ”
“ฉันไม่อยากฟังคำพูดนี้ ตั้งแต่สมัยโบราณ ฉันยังไม่เคยเห็นผู้ชายที่มีความสามารถนั้นจะมีผู้หญิงเพียงแค่คนเดียว อย่างไรก็ตาม ขอแค่รพีพงษ์ไม่ว่าอะไร คุณก็อย่ามาพูดแทรก”
ปัณฑารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีค่าพอให้มอง และกล่าวอีกว่าอารียาและรพีพงษ์เป็นคู่ทุกข์คู่ยาก ส่วนเธอเป็นเพียงผู้สัญจรไปมาในชีวิตของรพีพงษ์เท่านั้น
สิ่งที่ปัณฑาพูดนั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาให้รพีพงษ์ได้ แม้รพีพงษ์จะรู้ว่าคำพูดนั้นมันรุนแรงเกินไป แต่ถ้าคำพูดนั้นออกจากปากตนเองมันจะทำร้ายผลินมากกว่าปัณฑาเป็นคนพูด
ผลินมองไปที่รพีพงษ์อย่างจริงจัง และถามว่า “เป็นเช่นนี้จริงหรือ?”
“ถูกต้อง ปัณฑารู้ว่าผมจะไม่ทรยศภรรยาของตนเอง ที่จริงระหว่างพวกเราสองคนเป็นเพื่อนกันก็ไม่เลว คุณไม่มีพี่ชาย? ผมสามารถเป็นพี่ชายของคุณได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้พวกเราพบหน้ากันได้ทุกวัน”
การพูดประโยคนี้เป็นการปลอบคน เพราะรพีพงษ์ไม่สามารถอยู่ที่เทวโลกได้ตลอดชีวิต ถ้าคราวนี้ไม่มีอะไรผิดพลาด หลังจากที่ล้างแค้นให้หนูลินเสร็จแล้ว เขาก็จะกลับไป
ไม่สำคัญว่าตนเองจะอยู่ที่ไหน แต่สถานที่ที่ไม่มีอารียาและหนูลิน มันก็ไม่เหมือนบ้าน ถึงตนเองจะอยู่คนเดียวก็ช่าง แต่จะให้อารียารออยู่ที่บ้านตลอดไปไม่ได้
เมื่อไหร่ที่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็จะรู้สึกว่าตนเองผิดต่ออารียา ถ้าตนเองสามารถอยู่กับอารียาและลูกเหมือนคนธรรมดาทั่วไปได้ เธอก็จะไม่คับข้องใจขนาดนั้น
เธอไม่เคยกล่าวความคับข้องใจออกมา แต่รพีพงษ์นั้นรู้ดี
น้ำตาของผลินไหลออกมาจากดวงตา บอกว่าตนเองไม่มีวาสนา ถ้าตนเองพบรพีพงษ์ก่อนอาจจะได้อยู่กับรพีพงษ์
รพีพงษ์ไม่สามารถพูดอะไรได้ และเวลาก็ใกล้จะมาถึงแล้ว บวรวิทย์คุยเป็นการส่วนตัวกับเทวเทพ หลังจากนั้นก็ไปที่ถ้ำพร้อมรพีพงษ์
นันท์ธรกล่าวว่า “ผมสามารถไปกับพวกคุณได้ เพราะผมรู้นิสัยของเจ้าเด็กคนนี้ หากมีอันตรายผมก็สามารถช่วยได้”
นันท์ธรกลัวว่าจะเกิดเรื่องกับบวรวิทย์ และนราธิปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ปกตินันท์ธรเป็นคนที่ไม่สนใจจะทำอะไร ตอนนี้ถ้ามีคนเข้าไปเพิ่มอีกคน ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้น และจะส่งผลกระทบต่อการแสดงความสามารถของรพีพงษ์และบวรวิทย์
เทวเทพรู้อยู่แก่ใจ เขาจึงปฏิเสธนันท์ธรทันที
ถ้าหากออกมาไม่ได้จริง ๆ ทุกคนก็ต้องประสบหายนะ จึงไม่ควรให้คนเข้าไปมากเกินไป เข้าไปเท่าที่เหมาะสม
หลังจากผ่านทางลับอันมืดมิดแล้ว ก็มาถึงสถานที่ที่ปริตรอยู่ เห็นบนพื้นมีของอยู่มากมาย
เมื่อมองดูสิ่งที่อยู่บนพื้น บวรวิทย์หยิบมันขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้แล้วหรือ?”
“ของที่เสียใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้ว ทิ้งมันไปเถอะ เวลาใกล้เข้ามาแล้ว ผมจะกำหนดตำแหน่งให้คุณทั้งคู่ ในระหว่างกระบวนการนี้ นรเทพจะไม่สามารถรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของพวกคุณสองคน”
นรเทพที่เก่งขนาดนั้นจะไม่รู้ได้อย่างไร มันเป็นเรื่องตลก?
บวรวิทย์กล่าวว่า “มันเป็นเรื่องยากที่พวกเราจะสามารถปกปิดพลังทิพย์ของตนเองได้?”
ปริตรกล่าวอย่างอดทนว่า “พวกคุณถูกผนึกพลังเหมือนกับนรเทพ แต่ถ้าพวกคุณเชื่อฟังผมก็จะแสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่”