พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1575 ไม่มีทางลงรอยกัน
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1575 ไม่มีทางลงรอยกัน
ปัณฑาขมวดคิ้ว ถึงพลังของเธอจะไม่แข็งแกร่ง แต่มันก็มากเกินพอที่จะจัดการกับทหารกระจอกที่นฤเบศร์พามาด้วย
เทวเทพมองไปที่นฤเบศร์อย่างเย้ยหยัน “อย่ามาพูดว่าตนเองเที่ยงตรง วรยุทธที่คุณฝึกนั้นเป็นวิชานอกรีต ถ้าคนอื่นรู้ก็จะไม่มีใครร่วมมือกับพวกคุณ?”
วิชาที่เขาฝึกนั้นก็สามารถแสดงให้ว่าเขานั้นไม่ใช่คนดี
นฤเบศร์ปล่อยพลังฝ่ามือ แล้วกล่าวด้วยความโมโหว่า “นี่มันเป็นเรื่องของผม ลูกชายของคุณเกือบตายด้วยน้ำมือของผมแล้ว ทักษะฝีมือของเขาไม่เลวก็จริง แล้วยังมีรพีพงษ์อยู่ข้างกายก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผม คุณคิดว่าคุณจะสามารถเอาชนะผมได้หรือ?”
“ผมไม่สามารถเอาชนะคุณได้จริง แต่ว่าถ้านราธิปจะจัดการคุณมันง่ายเหมือนบีบมดให้ตายตัวหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่เขาขี้เกียจจะลงมือ คุณคิดว่าตนเองเก่งจริงหรือ?”
ระหว่างต่อสู้ เทวเทพนั้นหลบหลีกตลอด เขาทำได้เพียงแค่ปกป้องตนเองเท่านั้น และไม่สามารถจะเอาชนะนฤเบศร์ได้
นันท์ธรใช้เวลาไม่นานก็สามารถฆ่าคนที่นฤเบศร์พามาจนตายหมด แล้วก็บอกให้ปัณฑาไปหานราธิป
ฝั่งนี้ รพีพงษ์และบวรวิทย์ก็จะยังไม่สามารถจัดการให้จบในชั่วขณะหนึ่งได้
นันท์ธรหยิบกระบี่
ขึ้นมา และด่านฤเบศร์ด้วยความโมโหว่า “ทักษะฝีมือของพี่ชายผมสูสีกับคุณ แต่ฝีมือของคุณพัฒนาขึ้นหลังจากฝึกพลังมาร ตอนนี้ผมกับพี่ชายร่วมมือกัน ผมจะคอยดูว่าคุณจะหยิ่งทะนงได้นานแค่ไหน”
สองคนสู้กับหนึ่งคน นฤเบศร์ยิ้มเยาะเย้ย ทักษะฝีมือของตนนั้นมากเกินพอที่จะจัดการกับพวกเขาสองคน
สิ่งเดียวที่เขากังวลคือถ้านราธิปออกมา และนึกถึงนรเทพ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับนรเทพ งั้นที่ตนเองมาที่นี่ก็เหมือนกับเนื้อเข้าปากเสือ ตอนนี้เขาอยากจะไปหานรเทพ แต่ไม่มีโอกาส
ตอนนี้วิธีง่ายสุดที่จะเข้าไปก็ยังเข้าไปไม่ได้ แล้วจะสามารถรู้สถานการณ์ข้างในได้อย่างไร? ตาของเขามืดลง สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้คือการฆ่าสองคนนี้ แล้วเข้าไปข้างใน
หลังจากนฤเบศร์คิด เขาก็เหวี่ยงกระบี่ไปอย่างรวดเร็ว เขากดดันทุกขณะ ตอนนี้สามารถสัมผัสถึงไอสังหารอย่างรุนแรงบนตัวเขา
เทวเทพไม่เคยคิดว่าเขาจะฝึกวรยุทธที่ร้ายกาจเช่นนี้ และวรยุทธนี้มีการสร้างร่วมกันและเอาชนะซึ่งกันและกัน ขณะที่ฝึกมันสามารถแว้งกัดร่างกายของตนเองได้ ทำให้ตนเองค่อย ๆ กลายเป็นมาร จนในที่สุดก็มีไม่มีทางที่จะควบคุมมันได้
และจะทำร้ายได้แม้กระทั่งญาติสนิทของตนเอง เมื่อก่อนที่เขาไม่เคยใช้ อาจจะเป็นเพราะคำนึงถึงจุดนี้
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะวันนี้มาช่วยนรเทพ เทวเทพจะไม่สามารถรู้ความลับนี้เลย ก่อนหน้านั้นตอนที่นฤเบศร์ต่อสู้กับรพีพงษ์ก็ถูกพวกเขาดูออกแล้ว จึงทำให้เขารู้ว่าไม่มีทางที่จะซ่อนมันได้อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้วรยุทธนี้ได้อย่างเปิดเผย
เมื่อก่อนยังคำนึงถึงศีลธรรม แต่ตอนนี้ไม่สามารถคำนึงได้แล้ว คนอื่นจะพูดอะไรก็ช่าง ตนเองจะทำอะไรก็เรื่องของตนเอง
ยุคนี้เป็นยุคปลาใหญ่กินปลาเล็ก กฎแห่งธรรมชาตินั้นผู้เข้มแข็งที่สุดจึงจะอยู่รอดได้ หากตนเองไม่แข็งแกร่ง เกรงว่าลูกชายของตนเองจะถูกรังแกจนต้องเร่ร่อนอยู่ข้างถนน
เขารู้ว่าลูกชายตนเองไม่เอาไหน คนที่เป็นพ่อก็ต้องปูทางไว้ให้ลูกชายตนเอง เพื่อไม่ให้คนอื่นมารังแก ถ้าธุรกิจใหญ่โตนี้ตกทอดไปถึงมือเขา แล้วถูกคนอื่นแย่งชิงไป มันจะเป็นเรื่องน่าเสียดาย
ตอนนี้ศัตรูใหญ่ที่สุดของเขาก็คือเทวเทพที่อยู่ตรงหน้า ดูผิวเผินตอนนี้เหมือนว่าตระกูลภูสรีดาวตกต่ำ แต่แท้จริงแล้วพวกเขายังคงเป็นสองแก๊งที่เป็นปฏิปักษ์กัน
ถ้าหากคราวนี้ พวกเขาล้มเหลว พวกเขาก็จะตกเป็นเชลย
นี่เป็นการตัดสินใจในขณะที่เลือกข้างนรเทพแล้ว เทวเทพเตือนว่า “ตอนนี้ถ้าคุณยินดีจะกลับตัว และร่วมมือกับทุกคนกำจัดปีศาจนั้น อาจจะสามารถกอบกู้พลิกสถานการณ์ทั้งหมดได้ แต่ถ้าหากคุณยังยืนยันที่จะทำเช่นนี้ต่อไป ผมรับรองได้ว่าในที่สุดคนที่พ่ายแพ้ก็จะเป็นคุณ คุณกับผมต่อสู้ทั้งต่อหน้าและลับหลังมาหลายปีแล้ว แต่ในใจผมนั้นไม่เคยอยากให้คุณตาย”
เทวเทพพูดเหตุผลเพื่อให้นฤเบศร์สามารถเข้าใจ และเขาอาจจะตกลง อย่างไรก็ตามเพราะตอนนี้ก็สามารถรู้ผลแพ้ชนะแล้ว ถ้าเขายังคงยืนยันเช่นนี้ต่อไป งั้นก็คงจะต้องฆ่าเขาเท่านั้น
แน่นอนที่ตนเองกล่าวเช่นนั้นมันไม่ได้เกิดจากความจริงใจ เป็นเพราะตนเองยังไม่มีโอกาส หากมีโอกาสตนเองก็ยังจะฆ่าคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ คำพูดที่สุภาพผิวเผินเหล่านี้เป็นเพียงการทำให้คนยอมแพ้และไม่โจมตีเท่านั้น จะได้ลดปัญหาให้ตนเองได้
ปัณฑาไปถึงสถานที่ที่นราธิปอยู่ และกล่าวว่า “ผู้นำตระกูลพิมพ์สารนั้นฝึกวรยุทธแปลก ๆ พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา คุณควรจะไปดู มิเช่นนั้นก็จะทำให้เขาสามารถบุกเข้ามาขัดขวางการต่อสู้ในที่นี้ได้ มันได้ไม่คุ้มกับการสูญเสีย”
ตอนนี้นันท์ธรและคนอื่น ๆ ทำได้แค่ถ่วงเวลาอยู่ข้างนอกเท่านั้น แต่ไม่สามารถเอาชนะเขาได้ ไม่ช้าผู้นำตระกูลพิมพ์สารก็จะสามารถบุกเข้ามาได้”
นราธิปไม่ได้คิดที่จะออกไปข้างนอก ความแค้นของพวกเขาก็ให้พวกเขาเป็นคนจัดการแก้ปัญหาเอง เขาไม่มีเวลาเหลือเฟือที่จะสนใจเรื่องข้างนอก ตอนนี้เขาแค่ต้องการดูว่ารพีพงษ์และคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างในต้องการความช่วยเหลือหรือไม่
การต่อสู้ที่จริงจังยังคงอยู่ที่นี่ ส่วนข้างนอกนั้นเป็นปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น หากปล่อยปีศาจที่อยู่ข้างในไป แล้วผลที่ตามมาจะเป็นเหตุการณ์เลวร้ายจนไม่กล้าที่จะคิด
ตนเองและเขาได้สร้างความแค้นแล้ว ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปพวกเขาทั้งสองจะเป็นเหมือนไฟและน้ำที่ไม่มีทางลงรอยกัน ตนเองจึงต้องใช้โอกาสนี้ จะต้องฆ่าเขาเท่านั้นถึงจะสามารถยุติเรื่องนี้ได้
ปัณฑามองนราธิปที่ยังคงนิ่ง คิดว่าสิ่งที่ตนเองพูดนั้นเบาไป ดังนั้นจึงทำให้นราธิปไม่ได้ยิน เมื่อคิดถึงสิ่งนี้เธอก็ขมวดคิ้วและตะโกนอีกครั้งว่า “ตาแก่ธิป?”
“อย่ามาวุ่นวาย ข้างนอกไม่ใช่ปัญหาใหญ่ พวกเขาจะต่อสู้กันยังไงก็เป็นเรื่องของพวกเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับผม?”
ท่าทางที่ไม่แยแสของเขาทำให้ปัณฑาปาดเหงื่อเย็น และตอนนี้ปริตรก็ออกมาจากถ้ำแล้ว ซึ่งหน้าผากของเขานั้นเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
นราธิปถามว่า “จบแล้วหรือ?”
“จบลงแล้ว ค่ายกลของผมไม่มีประโยชน์แล้ว แนวป้องกันของคุณก็มีประโยชน์ไม่มาก การต่อสู้คราวนี้ใครจะชนะนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเขาเอง”
ปริตรรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย และบอกว่าตนเองต้องการพักสักครู่ จากนั้นเขาก็เดินออกไปทันที
อยู่ในถ้ำนั้นมันน่าเบื่อ มีเพียงทิวทัศน์ที่สวยงามภายนอกเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกสดชื่น หลังจากที่ปริตรเดินออกไป นราธิปยังคงมองเข้าไปในกระจก และนรเทพก็ยังไม่ได้ทำการโจมตี ยังคงรักษาสถานการณ์ให้ศัตรูรุกแล้วตนเองถอย
เขาน่าจะรู้ว่าค่ายกลนี้ไม่มีผลแล้ว แล้วนราธิปก็ถอนแนวป้องกันที่อยู่เหนือถ้ำทันที
ตอนนี้นรเทพไม่รู้สึกกดทับอีกแล้ว จึงยิ้มเยาะเย้ยว่า “ในที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานได้แล้ว?”
รพีพงษ์และบวรวิทย์ยังคงมีความมั่นใจ ตอนนี้แม้จะไม่มีความช่วยเหลือจากภายนอก เพราะพลังของนรเทพก็เกือบจะหมดแล้ว เมื่อเห็นว่านรเทพกำลังจะหนีไป
จากที่นี่ รพีพงษ์ก็รีบไปขวางอยู่ตรงหน้าแล้วกล่าวว่า “ถ้าคุณอยากออกไปก็ย่อมได้ แต่ต้องเอาวิญญาณของลูกสาวคืนมาให้ผม”
“เธอไม่ใช่ลูกสาวของคุณ เป็นแค่เศษวิญญาณเท่านั้น คุณเอาไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
นรเทพยิ้มอย่างลำพอง จงใจหยิบขวดออกมาแล้วเขย่าเพื่อกระตุ้นรพีพงษ์ บวรวิทย์กำลังพุ่งมาจากด้านหลัง กระบี่ของเขาชี้ไปที่หลังของนรเทพ
นรเทพขมวดคิ้ว รู้สึกว่ารพีพงษ์และบวรวิทย์ไม่เจียมตัว
หลังจากหมุนตัว บวรวิทย์ก็พุ่งขึ้นไปในอากาศ แต่กลับถูกนรเทพซัดไปหนึ่งฝ่ามือ…….