พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1577 ต้องการการดูแล
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1577 ต้องการการดูแล
ถ้านราธิปไม่กล่าวอย่างจริงจัง รพีพงษ์คิดว่าตนเองมีอาการประสาทหลอน หนูลินมีพรสวรรค์จริง แต่ตนเองก็ไม่เคยคิดที่จะหาอาจารย์ให้เธอ
ตอนนี้นราธิปเสนอออกมา นี่มันอาจเป็นเรื่องที่ดี ถ้ามีอาจารย์เช่นนี้ อย่างน้อยตนเองในฐานะพ่อก็รู้สึกโล่งใจ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ถ้านราธิปสามารถช่วยชีวิตเธอได้จริง ๆ การที่จะเป็นลูกศิษย์ของนราธิปมันก็ไม่เสียเปรียบ
“ขอแค่คุณสามารถนำจิตวิญญาณของหนูลินกลับมาได้ คุณจะมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตเธอ ดังนั้นการฝากตัวเป็นลูกศิษย์นั้นก็เป็นวาสนาของเธอ”
ปัณฑาที่อยู่ด้านข้างพูดขัดจังหวะ “ถ้าเป็นเช่นนี้ ตาแก่ธิปและรพีพงษ์ก็ถือเป็นพี่น้อง แล้วบวรวิทย์ก็ต่ำกว่าอีกหนึ่งระดับ?”
สิ่งที่ปัณฑาพูดนั้นไม่สอดคล้องกับกระแสนิยม ผลินมองค้อนไปที่ปัณฑา แล้วเดินไปปลอบรพีพงษ์ว่า “มีอาจารย์ธิปอยู่ ลูกสาวของคุณจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน คุณไม่ต้องกังวล”
เมื่อเห็นรพีพงษ์เป็นเช่นนี้ ผลินรู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมาก รพีพงษ์เป็นฮีโร่ในสายตาของเธอ ตอนนี้คนเดียวที่สามารถทำให้เขาเศร้าและกังวลก็คือลูกสาวของเขาเอง
นราธิปพยักหน้า หลังจากได้รับคำยืนยันจากรพีพงษ์ เขารู้สึกเหมือนกับว่าตนเองเก็บของล้ำค่าได้ แล้วกล่าวกับบวรวิทย์ว่า “คุณเกือบจะตายอยู่ในมือของนรเทพแล้ว คุณชายปริตรเป็นคนที่ช่วยชีวิตคุณ คุณไปขอบคุณเขาเถอะ”
ปริตรที่อยู่ด้านข้าง สำหรับเขาแล้วอะไรก็ได้ เพราะว่าทุกคนนั้นลงเรือลำเดียวกันแล้ว การขอบคุณมันก็เป็นแค่คำพูดที่เป็นพิธีรีตองเท่านั้น ตอนนี้ขอแค่ทุกคนร่วมมือร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วกำจัดพวกอันธพาลในเมืองแฟรี่
การทำเช่นนี้ ถึงจะสามารถนำความสงบสุขมาสู่เมืองแฟรี่ได้ และทำให้การต่อสู้ครั้งนี้มีความหมาย
เขากล่าวว่า “ไม่ต้องขอบคุณ คราวหน้าอย่ามาหาเรื่องผมก็พอ ผมอยากอยู่ที่นี่ต่อ อาจารย์ธิป สามารถช่วยจัดสถานที่ให้ผมได้ไหม?”
เขาหลงใหลในความงามของภูเขาและแม่น้ำของที่นี่ เช่นเดียวกับถ้ำนี้ การจัดตั้งค่ายกลในนั้นสามารถพัฒนาความสามารถของตนเองได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีวรยุทธ แต่เขาก็มีความสามารถในการปกป้องตนเองได้
สำหรับเรื่องของเมืองแฟรี่ เขาเชื่อว่ารพีพงษ์และคนอื่น สามารถจัดการได้ดีกว่าตนเองแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องกังวล
นราธิปจัดสถานที่พักอาศัยสำหรับปริตร และถ้าเมื่อตนเองมีเวลาว่างก็สามารถถามปัญหาเกี่ยวกับค่ายกลกับเขาได้
ความกังวลของรพีพงษ์ยังคงไม่ลดลง เขาถามนราธิปว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะนำจิตวิญญาณของหนูลินกลับมาได้ แล้วตนเองต้องทำอะไรบ้าง
แต่นราธิปไม่ได้พูดอะไร เดิมทีนรเทพควรจะตายอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
เกรงว่ารพีพงษ์จะสูญเสียสติสัมปชัญญะเพราะลูกสาว นรเทพยังไม่ถูกกำจัด นอกจากนี้ยังมีตระกูลพิมพ์สารอยู่ข้างนรเทพ ซึ่งจะรับมือมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
นราธิปเป็นคนที่ไม่ทำอะไรเสมอมา และถ้าไม่ถึงจุดวิกฤติ เขาก็ยังไม่ยอมลงมือ
ในห้องโถง เทวเทพและนันท์ธรกลับมาแล้ว และตอนนี้เรื่องได้มาถึงจุดแยกแล้ว จึงไม่ควรเสียเวลาอยู่ที่นี่อีก
“พวกเราจะกลับแล้ว ลูกต้องตามอาจารย์ไปฝึกฝนให้ดี เรื่องคราวนี้ถือเป็นบทเรียน ลูกต้องรู้ว่าหากคราวนี้ไม่มีปริตร ตอนนี้ลูกก็จะไม่สามารถยืนอยู่ที่นี่และพูดคุยกับพ่อได้”
บวรวิทย์พยักหน้า เพื่อแสดงว่ายอมรับคำพูดของพ่อ ภาพอันตรายเมื่อสักครู่ค่อย ๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นมา และตอนนี้บาดแผลที่คอของเขายังไม่สมานเลย
เขากล่าวว่า “พ่อ ผมจะจำสิ่งที่พ่อพูดไว้ ผมจะไปส่งพ่อ ซึ่งตระกูลพิมพ์สารจะไม่ยอมยุติเรื่องราวนี้ง่าย ๆ พ่อเองก็ต้องระวังตัวให้มาก”
เขาเตือนนันท์ธรไปหลายประโยค เพื่อให้เขาปกป้องเทวเทพอยู่ข้างกาย
หลังจากที่เทวเทพและคนอื่นจากไปแล้ว เด็กรับใช้ของนราธิปก็มาเรียกบวรวิทย์ จากนั้นบวรวิทย์ก็ตามเด็กรับใช้ไปพบนราธิป นราธิปยิ้มจาง ๆ จากนั้นก็หยิบขวดยาออกมา แล้วเดินไปยื่นยาให้กับบวรวิทย์
“นี่คือยาสมานแผล มันทำจากบัวหิมะ คุณเอาไปทาที่คอ แผลจะสมานเร็วขึ้น และคุณอย่าใส่ใจกับการตัดสินใจของอาจารย์ในสถานการณ์นั้น”
บวรวิทย์รับยาสมานแผล และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เพื่อจัดการกับนรเทพ พวกเราได้เตรียมการไว้ตั้งนาน แต่น่าเสียดายที่การเตรียมการของทุกคนล้มเหลวเพราะผม อาจารย์ ผมไม่โทษคุณ ถ้าผมยืนอยู่ในมุมของคุณ ผมก็จะเลือกเหมือนคุณ”
“คุณสามารถคิดแบบนี้ได้นั้นถือว่าดีที่สุดแล้ว อย่างน้อยอาจารย์ก็ไม่ได้สอนคุณโดยเปล่าประโยชน์ ตอนนี้คุณอยู่ในระดับแดนบุณระดับต้น หากคุณเลือกที่จะอยู่ในภูเขาสองกระบี่ คุณสามารถอาศัยข้อได้เปรียบของภูเขาสองกระบี่ในการทะลวงต่อไปได้”
นราธิปสอนพวกเขาในสิ่งที่ตนเองควรสอน ส่วนวิธีการฝึกฝน และวิธีบรรลุนั้นยังคงขึ้นอยู่กับพวกเขาเอง นราธิปไม่สามารถควบคุมมันได้
รพีพงษ์ไม่มีอะไรอื่นนอกจากเรื่องของหนูลิน แม้ว่านราธิปจะบอกว่าหนูลินไม่เป็นไร แต่เขาในฐานะพ่อของหนูลิน ความรับผิดชอบของตนเองนั้นก็ยังไม่สิ้นสุด
เด็กควรได้รับการปกป้องเป็นอย่างดีตั้งแต่แรก รพีพงษ์นั่งอยู่บนยอดถ้ำ ปัณฑาเดินเข้าไป และถอนหายใจ “ไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นเช่นนี้ คุณอย่าคิดมาก มันจะต้องมีวิธี”
รพีพงษ์ฝืนยิ้ม และคิดว่าตอนนี้เวลาผ่านมานานแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าหนูลินเป็นอย่างไรบ้าง
หากยังไม่สามารถนำจิตวิญญาณของหนูลินมาได้ เขาก็ยังไม่สามารถกลับไปหาอารียาที่โลกได้ ความหวังของเธอทั้งหมดอยู่ที่ตนเอง
ปัณฑารู้ดีถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ การที่พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อจิตวิญญาณของหนูลินที่อยู่ในมือของนรเทพ เรื่องดูเหมือนกำลังจะสำเร็จ แต่ก็เกิดเรื่องแบบนี้อย่างกะทันหัน ทำให้ไม่มีใครยอมรับได้
รพีพงษ์ผ่านเรื่องราวเล็กใหญ่มามากมาย แต่ก็ไม่เคยจำใจเหมือนตอนนี้ เขาไม่สามารถฆ่านรเทพได้ ตอนนี้มีเพียงนราธิปเท่านั้นที่รู้วิธีนำจิตวิญญาณของหนูลินกลับมา
ระดับผลการฝึกตนของเขาตอนนี้ไม่สามารถบังคับนำจิตวิญญาณของหนูลินกลับมาได้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวกับปัณฑาว่า “ผมจะไปจากที่นี่ และเดินทางไปที่เมืองแฟรี่ ผมจะค่อย ๆ คิดวิธี ยังไงก็ดีกว่านั่งรออยู่ที่นี่”
“ฉันคิดว่าสามารถคุยกับตาแก่ธิปได้ บางทีเขาอาจจะมีวิธีอื่นที่ดี”
รพีพงษ์รู้สึกว่ามันไม่มีความจำเป็น และให้ปัณฑาฝึกฝนอยู่ที่นี่ เพราะไม่มีที่อื่นปลอดภัยกว่าที่นี่อีกแล้ว
ปัณฑาไม่ยอม เธอมาพร้อมกับรพีพงษ์ ตอนนี้รพีพงษ์ต้องการจะไป ดังนั้นพวกเขาควรจะไปพร้อมกัน
ช่วงเวลาที่ผ่านมาปัณฑามีความสัมพันธ์ดีกับผลิน และตอนนี้พ่อบ้านเตชิตก็ตายไปแล้ว ไม่มีใครสามารถฆ่าผลินสองแม่ลูกได้อีก พวกเขาก็สามารถติดตามกลับไปที่เมืองแฟรี่ได้
ปัณฑาบอกว่าจะไปเก็บของ แต่ความเป็นจริงแล้วเธอไปหาผลิน และให้ผลินสองแม่ลูกไปพร้อมกับพวกเขา เพราะถึงอยู่บนภูเขาสองกระบี่ผลินและแม่ของเธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่ช้าก็เร็วพวกเธอก็ต้องกลับไปเมืองแฟรี่อยู่ดี
เมื่อผลินได้ยินว่ารพีพงษ์กำลังจะไปจากที่นี่ เธอจึงรีบเก็บข้าวของและไปหาแม่ แล้วกล่าวว่า “ฉันอาศัยอยู่ในเมืองแฟรี่จนชิน ที่ภูเขาสองกระบี่ไม่มีอะไรเลย ประจวบเหมาะที่รพีพงษ์กำลังจะไปจากที่นี่ แม่ พวกเราสามารถไปพร้อมกับเขาได้”
“แม่รู้ดีว่าลูกกำลังคิดอะไรอยู่ ลูกดื้อรั้นขนาดนี้แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากเขา ดูเหมือนว่าแม่จะต้องไปคุยกับรพีพงษ์แล้ว พวกคุณเองก็ถือว่าผ่านเหตุการณ์มาด้วยกันไม่น้อย ตอนนี้ภรรยาของเขาไม่ได้อยู่ข้างกาย ผู้ชายต้องการคนดูแล ประจวบเหมาะที่ลูกสามารถไปดูแลเขาได้”
ผลินยิ้มและหน้าแดงระรื่น ถ้าตนเองบอกว่าจะไปดูแลเขา รพีพงษ์ก็ยากที่จะปฏิเสธ การที่อยู่ข้างเขาและได้เห็นเขาตลอดเวลา จะทำให้เธอรู้สึกมีความสุข
รพีพงษ์กำลังรอปัณฑา และไม่คาดคิดว่าคนที่มากับปัณฑาจะเป็นผลิน……