พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1578 ความในใจ
เมื่อเห็นท่าทางที่มีความสุขของผลิน รพีพงษ์ก็มองไปที่ปัณฑา
ไม่รู้ว่าปัณฑากำลังคิดอะไรอยู่ ผลินสองแม่ลูกอยู่ภูเขาสองกระบี่ก็ปลอดภัยดีอยู่แล้ว กินดื่มอยู่อย่างสุขสบาย ตอนนี้เมืองแฟรี่ยังวุ่นวาย ไม่เห็นมีอะไรดี?
ผลินเดินมาหารพีพงษ์ด้วยท่าทางที่คับข้องใจ “พี่รพี คุณจะไปไหน พาฉันไปด้วยได้ไหม? ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณต้องเดือดร้อน”
“พาคุณไปด้วย? สถานที่ที่ผมไปมันอันตราย คุณอยู่กับผมจะไม่ปลอดภัย”
“ฉันไม่กลัว แม้ว่าฉันจะตายเพื่อคุณ ฉันก็เต็มใจ”
ประโยคนี้ ผลินเคยพูดหลายครั้งแล้ว รพีพงษ์เบื่อที่จะได้ยินแล้ว เขานึกขึ้นได้ว่ายังมีอารียาที่เป็นห่วงลูกอยู่บนโลก ถ้าหากข้างกายเขามีผู้หญิงอยู่ด้วย มันจะเป็นการผิดต่ออารียา
ถ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ารู้แล้วเธอจะเสียใจมากแค่ไหน
เมื่อมองไปที่ผลินอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจได้แล้ว
ปัณฑาไม่กล้ามองรพีพงษ์ เธอรู้ความคิดของผลินดี และผลินก็ไม่ได้คิดที่เดินย่างรุกบุกเข้าไปถึงในห้องนอนแต่อย่างไร ไม่เห็นจะมีอะไรไม่ดี
เธอคิดว่าเพื่อประโยชน์ของรพีพงษ์ แต่หารู้ไม่ว่าในใจของรพีพงษ์มีเพียงภรรยาและลูกสาวเท่านั้น
แม่ของผลินเดินไปหารพีพงษ์ และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันไม่คุ้นเคยกับการอยู่ที่ภูเขาสองกระบี่ ก่อนหน้านั้นเป็นเพราะหนีภัยพิบัติ ตอนนี้พวกเราชนะแล้ว และมีอาจารย์ธิป จะไม่มีใครกล้ามารุกราน”
รพีพงษ์ได้ยินสิ่งที่จินตราพูด จึงตอบอย่างสุภาพว่าตนเองจะปกป้องผลินสองแม่ลูกกลับไปที่เมืองแฟรี่ เพียงแต่สิ่งที่ตนเองจะทำนั้นมันอันตราย และตนเองไม่สามารถให้คนติดตามอยู่ข้างกายได้
ผลินไม่ได้ใส่ใจคำพูดของรพีพงษ์ เธอไม่เชื่อว่าถ้าตนเองตื๊อแล้วรพีพงษ์จะไม่ยอมใจอ่อน เธอเต็มใจที่จะทำเพื่อรพีพงษ์
เมื่อพบชายที่ดีเช่นรพีพงษ์ สายตาของเธอนั้นไม่เคยชายตามองชายอื่นอีกเลย
บวรวิทย์ยืนอยู่ข้างนราธิป แล้วก็มองไปที่รพีพงษ์ นราธิปถามบวรวิทย์ “คุณต้องการจะไปกับเขาหรือไม่?”
“เขาไม่ใช่คนของเทวโลก เขามาที่เทวโลกเพราะมีภารกิจ ส่วนผมเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ ทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดคืออยู่กับอาจารย์ ถ้าผมไปจากอาจารย์แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนถึงจะเหมาะสม”
นราธิปยิ้มด้วยความพึงพอใจ นี่เป็นความคิดที่ดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบวรวิทย์เติบโตขึ้น แล้วถ้าตนเองสั่งสอนดี ๆ ต่อไปถ้าเขาสามารถยืนหยัดด้วยตนเองได้มันก็เป็นเรื่องไม่เลว
“คุณพูดถูก ตอนนี้เมืองแฟรี่ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ ก่อนหน้านั้นเทวโลกถูกนรเทพ ควบคุม เขาพูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น ตอนนี้นรเทพสูญเสียอำนาจแล้ว เทวโลกควรจะมีผู้นำ คุณสามารถช่วยอยู่เคียงข้างผมได้”
เขาจะต้องปฏิวัติเมืองแฟรี่ใหม่ และการที่เข้าไปพัวพันในสังคมโลกีย์แล้วมันถอนตัวออกมายาก
บวรวิทย์มองนราธิปด้วยความประหลาดใจ ก่อนหน้านั้นนราธิปกล่าวว่าจะแก้ไขกฎของเทวโลกใหม่ ทันใดนั้นเขาก็กล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “อาจารย์ ท่านอยากสั่งอะไร ก็สั่งมาได้ทุกอย่าง ผมจะทำให้ท่านอาจารย์พึงพอใจ”
“คุณและพ่อของคุณมีสถานะในเมืองแฟรี่ ตอนนี้ไม่เพียงแต่เมืองแฟรี่ แต่ทั่วทั้งเทวโลกก็สามารถอยู่ในมือของพวกเราได้อย่างมั่นคง ถ้าคุณยินดี ผมจะฝึกและผลักดันให้คุณเป็นเจ้าเทวโลก”
บวรวิทย์ไม่เคยมีความคิดเช่นนั้นมาก่อน ตอนแรกบวรวิทย์คิดว่าตนเองฟังผิด และโบกมืออย่างรวดเร็ว “ท่านอาจารย์ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าอาจารย์เป็นเจ้าเทวโลกนั้นจะไม่มีใครกล้าพูดอะไร แต่ถ้าให้เด็กหนุ่มอย่างผมเป็น คงจะมีคนออกมาคัดค้านมากมาย”
“ขอแค่คุณยังเชื่อฟังผม หลายสิ่งหลายอย่างนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ซึ่งไม่จำเป็นต้องใส่ใจมาก และอาจารย์ไม่ได้พูดเล่นกับคุณ ถ้าคุณอาศัยตัวเองนั้นมันเป็นไปไม่ได้แน่นอน เพราะคุณจะไม่สามารถได้รับการสนับสนุนจากทุกคน ถ้าผมช่วยคุณมันก็แตกต่าง คุณรู้หรือไม่?”
บวรวิทย์พยักหน้าราวกับว่าตนเองเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ แต่เขาก็สามารถเข้าใจประเด็นหลัก ตนเองกำลังจะเป็นคนที่มีอำนาจที่สุดในเทวโลกแห่งนี้
และมีอาจารย์อยู่เคียงข้างตนเอง ทำให้ตนเองไม่กลัวสิ่งใดอีกต่อไป
เมื่อมองดูรพีพงษ์และคนอื่น ๆ จากไป เขาไม่เข้าใจว่า ตำแหน่งที่สูงสุดนี้สามารถเป็นของรพีพงษ์หรือปริตรได้ หรือเป็นเพราะตนเองเป็นลูกศิษย์ของนราธิป?
นราธิปไม่ได้กล่าวอะไรต่อ และไม่ช้าธรณีประตูของภูเขาสองกระบี่จะถูกผู้คนจากโลกภายนอกมาเยือน
ซึ่งจะทำให้ทุกคนไม่สามารถอยู่อย่างสงบสุขได้ ตอนนี้ทำได้เพียงวางแผนจัดการทุกอย่างให้ดีด้วยเวลาอันสั้น เมืองแฟรี่เป็นสถานที่ดี หลังจากเฝ้ามองรพีพงษ์และคนอื่นๆ จากไปแล้ว เขาให้บวรวิทย์ตั้งใจฝึกฝนให้ดี และวันรุ่งขึ้นก็ให้กลับไปที่เมืองแฟรี่
รพีพงษ์ส่งผลินสองแม่ลูกไปยังสถานที่ที่พวกเธอเคยอาศัยก่อนหน้านั้น และใช้วรยุทธเปลี่ยนจากกระท่อมมุงจากให้เป็นบ้าน
แม่ของผลินกล่าวด้วยประหลาดใจว่า “ฉันอยู่จนอายุปูนนี้แล้ว หลังจากได้พบกับรพีพงษ์แล้วก็ได้รับความรู้มากมาย รพีพงษ์ ที่นี่ใหญ่โตเกินไปสำหรับฉันและผลิน”
รพีพงษ์เหลือบมองปัณฑา และกล่าวว่า “คุณไม่จำเป็นต้องติดตามผมอยู่ตลอดเวลา คุณอยู่กับผลินและแม่ และเมื่อผมได้จิตวิญญาณของหนูลินแล้ว ผมจะมาหาคุณ”
แม้ว่าผลินจะไม่รู้ว่ารพีพงษ์หมายถึงอะไร แต่ก็ฟังออกว่ารพีพงษ์กำลังจะจากที่นี่ไป การแสดงออกรพีพงษ์เคร่งขรึมจริงจัง เธออยากพูดกับเขา แต่เธอก็ไม่สามารถพูดออกมาจากปากได้
รพีพงษ์ไม่ต้องการเธอ ถ้าเธอพูดตอนนี้มันเป็นการทำให้ตนเองน่าเบื่อ
ปัณฑาไม่ยินยอมและกล่าวว่า “พวกเรามาด้วยกัน จะไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน”
“แล้วฉันล่ะ พวกเราจะแยกจากกันแล้วหรือ?”
รพีพงษ์กำลังจะจากไป ผลินกลัวว่าถ้าคราวนี้เขาจากไปแล้ว ต่อไปจะไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันอีก
รพีพงษ์กล่าวว่า “คุณเป็นผู้หญิงที่ดี ตอนนี้คุณมีบ้านหลังนี้แล้ว คุณป้าก็อายุเยอะแล้ว ดูแลคุณป้าให้ดี แล้วหาเขยแต่งเข้าดี ๆ สักคน แล้วคลอดลูกสักคน เพื่อให้คุณป้าได้ดื่มด่ำกับความสุขของครอบครัวที่ได้อยู่รวมตัวกันพร้อมหน้า”
ผลินรู้สึกเศร้าใจ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา แต่เธอหันหลังและเช็ดน้ำตา
ท้ายที่สุด รพีพงษ์ยังคงรังเกียจตนเอง และตนเองจะไม่รบกวนเขาอีก
แม่ของผลินยืนดูทั้งหมดอยู่ด้านข้าง และกล่าวว่ารพีพงษ์ได้ช่วยเหลือพวกเธอไว้มากมาย ถึงแม้จะไป เธอกับผลินควรทำอาหารดี ๆ ให้รพีพงษ์กินก่อนออกเดินทาง
รพีพงษ์ไม่มีความคิดเห็นใด ๆ ตอนนี้ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ดวงจันทร์ปรากฏขึ้นในเมฆ ผลินร้องไห้ขณะจุดไฟอยู่ในครัว “แม่ค่ะ ลูกมีอะไรไม่ดีหรือ? ทำไมรพีพงษ์ถึงได้รังเกียจลูก?”
“ลูกดีทุกอย่าง แต่ลูกแค่ช้าไปหนึ่งก้าว พวกคุณสองคนเจอกันผิดเวลา”
ผลินร้องไห้หนักมากขึ้นไปอีก ร้องจนไม่มีเสียง และน้ำตาก็ไหลออกมาตลอดเวลา ในช่วงเวลาที่เธออยู่กับรพีพงษ์ เธอถือว่าตนเองเป็นผู้หญิงของรพีพงษ์เสมอ และตอนนี้รพีพงษ์กำลังจะจากไป ทำให้เธอรู้ว่าตนเองไม่ใช่อะไรของรพีพงษ์เลย
แม่ของเธอถอนหายใจด้วยความจำใจ คิดอยู่ในใจว่า ตนเองอายุเยอะแล้ว และไม่มีความสามารถที่จะทำให้ลูกสาวของตนเองมีชีวิตที่ดีได้ ดังนั้นตนเองจึงควรทำอะไรเพื่อเธอสักอย่าง
“ลูกน่ะ อย่าทำตัวไม่เอาไหน แม่ก็อายุเยอะแล้ว และไม่สามารถอยู่เคียงข้างลูกไปตลอดชีวิต จะต้องหาคนที่จะดูแลลูกได้”
ผลินกล่าวขณะที่เด็ดผัก “มันไม่ง่ายขนาดนั้น ถ้าจะให้ฉันหาคนที่ไม่ดีกับลูก สู้อยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตดีกว่า ลูกชอบคนแบบรพีพงษ์”