พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 1611 ใช้ความตายชดใช้ความผิด
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 1611 ใช้ความตายชดใช้ความผิด
เดชารีบวิ่งกลับมาที่เดิม แล้วก็ไม่เห็นเงาของนฤเบศร์แล้ว แล้วก็ต่อยไปยังเสาแกะสลักกลางห้องโถงนั้นอย่างไร ด้วยความโมโห
“คนพวกนี้ทุเรศมาก ในเมื่อใช้วิธีที่ต่ำช้าแบบนี้ แน่จริงก็ออกมาสู้กันเลย กูจะให้5ม้าแยกร่างมึงเลยคอยดู”
ลูกน้องข้างๆ เขาก็มีสีหน้าไม่ยอมเหมือนกัน กว่าจะถามอะไรออกมาได้ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะถูกคนอื่นพาตัวไป แผนการของเขาก็เสียเรื่องอีกจนได้ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
“ท่านแม่ทัพ ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี? ผมว่า ไอ้คนนั้นน่าจะอยู่ที่ตำหนักอ๋อง ตอนนี้พวกเราไปดูที่ตำหนักอ๋องดีไหม?”
เดชารู้ดีว่าตอนนี้มีเพียงแผนเดียว ถ้าหากว่าไม่ไป ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ศัตรูหนีรอดไปได้ แบบนั้นก็จะไม่ได้อะไรเลย
เดิมทีเขาคิดว่าเดี๋ยวจะเป็นสงครามที่ดุเดือดครั้งใหญ่ แต่คิดไม่ถึงว่าฝั่งตรงข้ามจะหลบซ่อนตัว ไม่ให้เห็นแม้แต่ใบหน้า
เขาก็คาดเดาไม่ออกเหมือนกันว่าตอนนั้นพวกเขาเอาชนะเจ้านายตนเองอย่างไร พวกเขาไม่มีความสามารถขนาดนั้นหรอก
เดโช ก็คือพี่ชายของเขา และเป็นคนที่เก่งมากเหมือนกัน แต่ก็ถูกทำลายในมือพวกเขาเหมือนกัน มันช่างคาดเดายากเสียจริงๆ
ถ้าหากว่าไม่ฆ่าศัตรูพวกนี้ เทวโลกก็จะมีเจ้านายคนใหม่ พวกเขาก็จะมีจุดจบที่ไม่ดีเท่าไรนัก
พวกเขาทั้งหลายก็รีบมาถึงยังตำหนักอ๋อง ข่ายอาคมของตำหนักอ๋องถูกทำลายไปแล้ว และบวรวิทย์ก็รู้ว่าพวกเขาจะต้องตามมาแน่ ก็เลยทำลายทางเข้าของทางลับทิ้งเสีย
ต่อให้พวกเขามาถึง ก็ไม่มีทางรู้ว่าจะไปตามหาพวกของรพีพงษ์ที่ไหน
อีกฝั่งหนึ่ง รพีพงษ์ก็กำลังมองดูรพีพงษ์ในกระจกสะท้อน ในใจก็เป็นกังวลมาก เขารู้ว่าบวรวิทย์เป็นคนยึดถือในคุณธรรม มองจิรันดน์เป็นเหมือนพี่น้องแท้ๆ แต่เขาไม่คิดเลยว่าบวรวิทย์จะฝ่าอันตรายเพื่อไปช่วยคนแบบนี้
ในใจก็กลัดกลุ้มเล็กน้อย บวรวิทย์ช่วยพ่อของจิรันดน์ออกมา แต่พ่อของจิรันดน์หักหลังทุกคน จะต้องจัดการอย่างไรถึงจะให้ทุกคนยอมรับได้?
เจตรินก็ยิ้มเย็น “ช่างเป็นคนยึดถือในคุณธรรมเสียจริงๆ ก่อนหน้านี้ทำไมไม่เห็นรู้ว่าเป็นแบบนี้เลย? แต่ว่าก็โง่อยู่เหมือนกัน!”
เจตรินได้เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว เขาก็เลยบอกกับรพีพงษ์ไปเลย ถ้าหากว่ากลไกถูกเปิดขึ้น ในเมืองทั้งหมดจะกลายเป็นซาก แล้วทุกอย่างจะต้องเริ่มขึ้นมาใหม่ แก้ไขกันใหม่
รพีพงษ์ยิ้มแบบไม่สนใจไยดี ที่เขาพูดมาทั้งหมดล้วนถูกทำขึ้นด้วยฝีมือคน ขอเพียงมีคนอยู่ งั้นอะไรก็ถูกสร้างขึ้นมาได้ทั้งนั้น
“รอชนะสงครามครั้งนี้แล้วล่ะก็ ในเมืองควรจะมีเจ้านายคนหนึ่ง มีคนคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ จะให้เมืองกลับมาเป็นแบบเดิม หรือแม้กระทั่งสวยงามกว่าเดิม ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน เวลาใด รพีพงษ์ก็จะมีจิตใจที่มั่นคงตลอด ต่อให้จะเจอเรื่องเกี่ยวกับลูกสาวและภรรยาตนเอง ก็ยังคงสามารถรักษาความสงบนิ่งในใจได้เสมอ
แม้กระทั่งเสียใจก็ใช้เวลาไม่นานในการที่จะคืนกลับมาเป็นปกติได้ นี่คือสิ่งที่ฝึกได้จากตอนที่เป็นลูกเขยของบ้านอื่นเขา
บางครั้งก็หวนนึกถึงเรื่องราวที่ไม่อยากจะนึกถึงมันอีก ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ อย่างน้อยเรื่องพวกนั้นก็ทำให้เขาได้เติบโตมาไม่น้อย ได้รู้จักความโหดร้ายในโลกนี้
เจตรินได้ยินรพีพงษ์บอกว่าจะหาผู้นำให้กับเมืองนี้ ก็ขมวดคิ้ว ในใจก็พอจะมีแผนแล้ว
ก่อนหน้านี้มีสามตระกูลคอยปกครองเมืองนี้ทุกอย่าง จริงๆ แล้วแบบนี้มันไม่เหมาะสม ควรจะยกย่องคนหนึ่งขึ้นมาเป็นผู้นำ ที่เหมือนกับก่อนหน้านี้ ที่เทวโลกมีนรเทพเป็นผู้นำเพียงคนเดียว
เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ หลักการนี้ใครๆ ก็รู้ เขาแค่คิดในใจเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรสงครามนี้มันเพิ่งเริ่มเท่านั้น
และได้เริ่มเปิดกลไกแล้วนั้น วิธีเดียวกันสามารถเอามาใช้ได้ในเรื่องเดียวกัน ก่อนหน้านี้นรเทพก็เสียสติอยู่ภายใต้กลไกนี้ ตอนนี้มาใช้บนตัวทหารของเขา ก็จะได้ผลแบบเดียวกัน
แต่ที่น่าเสียดายก็ถือกำลังทหารของเขาไม่ได้อยู่ในเมืองทั้งหมด ต่อให้เจตรินเก่งแค่ไหนก็โจมตีในครั้งแรกได้เท่านั้น ต่อจากนั้นก็จะขึ้นอยู่กับพวกของรพีพงษ์
ในเมืองก็ฟ้าถล่มดินทลาย พวกของเดชารู้เหมือนว่าจะเกิดแผ่นดินไหว ร่างกายของตนเองเอียงไปด้านหน้าอย่างเสียการควบคุม
ภูเขาถล่ม ดินแยก หินบนภูเขากลิ้งตกลงมา ไม่เพียงเท่านั้น น้ำในแม่น้ำก็ไหลพัดขึ้นมาด้านบน โดยที่พวกเขาควบคุมตัวเองไม่ได้เลย
เทวเทพมองทุกสิ่งอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง แล้วก็รู้สึกเสียดายบ้านตนเอง
ก่อนหน้านี้รู้มาตลอดว่าได้ความช่วยเหลือจากเจตริน ถึงสามารถจับนรเทพได้ แต่เข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเจตรินจับได้อย่างไร พอดูสภาพทุกอย่างในเมืองผ่านกระจกสะท้อน ในใจเขาก็เข้าใจขึ้นมาได้
เจตรินเรียกรพีพงษ์มา “ที่ผมทำได้ก็มีเพียงเท่านี้แหละ ตอนนี้คุณต้องคิดหาวิธี จัดการกับนฤเบศร์ให้เรียบร้อย เดี๋ยวอีกไม่นานทุกคนไปออกรบ จะได้ไม่มีผลกระทบอะไร”
รพีพงษ์ก็ต้องขมวดคิ้ว เขารู้ดีว่านี่เป็นเรื่องยาก แต่บวรวิทย์เพิ่งช่วยคนออกมา จะให้เข้าไปฆ่าเลยก็ไม่ได้
ถ้าเกิดว่าฆ่าไปจริงๆ ตนเองก็จะกลายเป็นศัตรูของบวรวิทย์ บวรวิทย์ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของตนเองกับจิรันดน์ถูกทำลาย รพีพงษ์เองก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของตนเองกับบวรวิทย์ถูกทำลายลงเพราะเรื่องนี้
พอได้ยินคำพูดของเจตริน เทวเทพก็รู้สึกว่าบวรวิทย์บ้าจริงๆ ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ทำไมถึงทำเสียเรื่องได้ ช่างทำให้ตนเองผิดหวังมาก
เทวเทพพูดออกมาทันทีว่า “เรื่องนี้เป็นเพราะลูกชายไม่รักดีของผมก่อขึ้นมาเอง เดี๋ยวผมจะให้คำตอบที่ทุกคนพอใจเอง นี่มันเวลาไหนแล้ว มันยังหน้ามืดตามัวไปทำเรื่องแบบนั้นได้อีก มันจะทำให้ทุกคนวิตกสิไม่ว่า”
ขณะพูด ยังไม่ทันรอให้รพีพงษ์ลงมือเอง เขาก็เดินไปยังฝั่งที่บวรวิทย์อยู่ รพีพงษ์ก็โล่งอก เทวเทพไปจัดการ บวรวิทย์คงไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นมองพ่อตนเองเป็นศัตรูหรอก
พอบวรวิทย์ช่วยคนรอดกลับมาได้ ก็พาไปยังฝั่งของจิรันดน์ เดิมทีจิรันดน์ก็จิตใจเหม่อลอย พอเห็นว่าพ่อตนเองปลอดภัยกลับมา ก็มีสติขึ้นมาได้ทันที
ยังไม่ทันได้ดีใจพูดอะไรเลย ก็เห็นเทวเทพพุ่งเข้ามาด้วยความโกรธ บวรวิทย์ลุกขึ้น แล้วก็ถูกเทวเทพตบเข้าไปที่ใบหน้าเต็มๆ
“ไอ้ลูกไม่รักดี เอ็งกำลังล้อเล่นกับชีวิตของทุกคน รู้ไหม?”
จริงๆ แล้วเทวเทพก็เห็นแก่ตัวเหมือนกัน เขาและนฤเบศร์ไม่ถูกกันมาตลอด ตอนนี้ก็ได้โอกาสพอดี จะต้องฆ่านฤเบศร์ให้ได้
ไม่มีใครรู้จักลูกตนเองดีเท่าพ่อแท้ๆ แต่คนเป็นลูกก็เข้าใจพ่อเหมือนกัน บวรวิทย์รู้ดีว่าพ่อตนเองไม่ได้เป็นคนที่เห็นแก่ส่วนรวมขนาดนั้น ตอนนี้ที่เข้ามา ก็มาพร้อมกับเรื่องส่วนตัวทั้งนั้น
“คุณลุงเบศร์สูญเสียพลังไปหมดแล้ว ต่อให้มีชีวิตรอด ก็เป็นภัยกับพวกเราไม่มากนัก พ่อจะบีบให้เขาตายให้ได้เลยหรือไง?”
“เมื่อครู่นี้มันนั่นแหละที่ปล่อยทหารฝั่งศัตรูเข้ามา เอ็งอยู่ที่นี่สามารถรับรองได้ไหมล่ะว่า มันจะไม่ส่งข่าวอะไรออกไป เพื่อนทำลายชีวิตของทุกคน?”
ทุกคำพูดของเทวเทพล้วนมีเหตุผล จิรันดน์ก็คุกเข่าลงพื้นทันที โขกหัวลงไปจนได้ยินเป็นเสียงชัดเจน พร้อมพูดว่า “ถ้าพ่อผมทำเรื่องแบบนั้น ผมก็ขอตายเพื่อชดใช้ความผิด”