พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 19
บทที่ 19 หักนิ้วมันซะ
ธายุกรเห็นว่ารพีพงษ์เดาได้อย่างง่ายดายว่าสองคนนี้เป็น คนที่เขาส่งมา เขาลุกลี้ลุกลนขึ้นมาทันที เขามองรพีพงษ์ด้วย สายตาเคียดแค้น จากนั้นก็ด่าออกไปว่า “รพีพงษ์ สมองแก เพี้ยนไปแล้วเหรอ แกมีหลักฐานอะไรมากล่าวหาว่าฉันเป็น คนส่งพวกมันมา”
“อีกอย่างนี่เป็นนิทรรศการของคุณปู่ ฉันจะบ้าส่งคนมาข โมยวัตถุโบราณของคุณปู่ได้ยังไง”
ทุกคนสังเกตเห็นเหตุการณ์ต่างก็พากันมามุงดู
นภทีป์เดินมายืนข้างหน้าทุกคนแล้วมองหัวขโมยที่อยู่ บนพื้น จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “นี่มันเกิด อะไรขึ้น”
อารียา กำลังจะอธิบายให้คุณปู่ฟัง แต่ธายุกรกลับเดินเข้า มาขัดแล้วพูดขึ้นมาว่า “คุณปู่ ไอ้สองคนนี้มันคือคนที่มา ขโมยของ ผมเห็นมันจะมาขโมยของเลยรีบให้คนมาจับมัน ครับ”
“ไอ้รพีพงษ์มันมาใส่ความว่าผมเป็นคนส่งสองคนนี้มา มันต้องมีแผนอะไรในใจแน่ๆ ครับ”
ความไร้ยางอายเป็นทักษะของธายุกร เขาใช้มันออก
มาทันที ไม่เพียงไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนส่งสองคนนี้มา แถมยังเถียงว่ารพีพงษ์เป็นคนพวกมันมา
ตั้งแต่ไหนแต่ไร นภทีป์ เชื่อหลานชายที่รักของตัวเองมา ตลอด ดังนั้นเขาเลยมองไปยังรพีพงษ์ด้วยสายตาที่ไม่พอใจ “รพีพงษ์ แกนี่กล้ามากเลยนะ ทำไมต้องใส่ร้ายธายุ”
“ผมไม่ได้ใส่ร้ายเขา เขารู้อยู่แก่ใจดี อีกอย่างสองคนนี้ คุณก็ไม่ได้จับมันด้วยตัวเอง คุณยังมีหน้าพูดออกมาอีกนะ” รพีพงษ์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“แกพูดอะไร! ฉันเห็นมันสองคนจะมาขโมยของเลยแจ้ง รปภ. ให้มาจับมัน ก็ถือว่าฉันเป็นคนจับเหมือนกัน เป็นความ ดีความชอบของฉันด้วย ถ้าไม่เชื่อแกก็ถามรปภ. พวกนั้นดู ก็ได้” ธายุกรพูดเถียงขึ้นมา
เขาส่งสายตาไปหา พัชรพล ดูๆ แล้ว ทุกคนคงรู้ว่ารพี พงษ์เป็นคนไร้ประโยชน์ ดังนั้นคงไม่มีใครพูดแทนมันหรอก
ถึงแม้เขาจะไม่รู้จักรปภ. พวกนี้ แต่การที่เขาส่งสัญญาณ
ไปแบบนั้น พวกนั้นคงจะช่วยเขาพูดแน่ๆ
นภทีป์หันไปมองพัชรพลและคนอื่นๆ แล้วเอ่ยปากถามขึ้น “ที่ธายุพูดจริงหรือเปล่า”
พัชรพลแสยะยิ้มแล้วปรายตามองธายุกร รพีพงษ์คือคนที่ ไตรทศเรียกว่าพี่ พวกเขาคงไม่กล้าทำอะไรรพีพงษ์
“พวกเราเป็นคนที่คุณรพีพงษ์จ้างมา ผมไม่ได้รู้จักกับคน คนนั้น แล้วเขาก็ไม่ได้แจ้งอะไรพวกเราด้วย” พัชรพลพูด
ตอบ
ทุกคนต่างพากันฮือฮา คิดไม่ถึงว่าธายุกรจะพูดโกหก ทุกคนต่างรู้สึกว่าธายุกรหน้าไม่อาย
ธายุกรก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าพัชรพลจะไม่ให้ความร่วม มือ เขาก่นด่าพัชรพลในใจไปหลายสิบรอบ นภทีปหน้าเสียไปเล็กน้อย แต่เขาก็ยังไม่เชื่อว่าหัวขโมย
สองคนนี้เป็นคนที่หลานชายตัวเองส่งมา
“ไม่ว่าใครเป็นคนส่งพวกมันมา แต่ไม่ใช่คนที่ตระกูลฉัตร มงคลส่งมาแน่ๆ อีกอย่างรปภ. พวกนี้ก็น่าจะเป็นคนที่ อารี จัดหามา รพีพงษ์อยู่ในระดับไหนฉันรู้ดี เขาคงไม่สามารถ ทำเรื่องแบบนี้ได้หรอก”
“อารี ฉันรู้ว่าแกอยากให้มันได้หน้า แต่ถ้ามันอยากได้ หน้ามันก็ต้องพยายามเอาเอง นี่มันเอาแต่พึ่งพาแก ไม่เอา ไหนเลยสักนิด นี่ยังกล้ามาใส่ร้ายธายุอีก ฉันว่าคนที่คิดไม่ ชื่อก็คงจะเป็นมันนั่นแหละ!” นภทีป์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะ เยือก
“คุณปู่คะ ไม่ใช่อย่างนั้น” อารียากระวนกระวาย เธอ อยากแก้ต่างให้รพีพงษ์
แต่น่าเสียดายที่นภทีป์ไม่ฟังแม้แต่น้อย เขามองไปยังสอง คนที่อยู่บนพื้น แล้วถามขึ้นว่า “ใครเป็นคนส่งพวกแกมา”
ธายุกรกลอกตาไปมาเพื่อส่งสัญญาณให้พวกมัน พัช รพลไม่ฟังเขาแต่ไอ้สองคนนี้ต้องฟังเขาแน่
หัวขโมยสองคนรู้ถึงสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ พวกมันหัน ไปหารพีพงษ์แล้วพูดว่า “รพีพงษ์ส่งพวกเรามา เขาบอกว่า คนในตระกูลฉัตรมงคลทำไม่ดีกับเขา ดังนั้นเลยอยากให้ พวกเราขโมยวัตถุโบราณเพื่อแก้แค้นตระกูลฉัตรมงคล” ทุกคนต่างพากันมองไปยังรพีพงษ์แล้วถกเถียงกันขึ้นมา
“คิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะเป็นคนแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ %3D เป็นลูกเขยของตระกูลฉัตรมงคล แต่กลับส่งคนมาขโมยของ ในตระกูลตัวเอง”
“รพีพงษ์นี้ไม่เอาไหนจริงๆ ตัวเองถูกคนในบ้านรังแก แล้ว ใช้วิธีนี้มาแก้แค้นคนในตระกูล”
“คนไร้ประโยชน์แบบนี้ ทั้งชีวิตก็ไม่ประสบความสำเร็จ
หรอก”
ธายุกรแสยะยิ้ม เขามองรพีพงษ์อย่างมีเลศนัย เขามีความ มั่นใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็ถามขึ้นมาว่า “รพีพงษ์ ตอนนี้แก จะพูดอะไรอีก!”
“ที่มันจะพูดอะไรได้อีกล่ะ ที่แท้การที่มันยังอยู่ในตระกูลเราก็เพราะต้องการของของคุณปู่นี่เอง ฉันว่าอารียาก็น่า จะเป็นพวกเดียวกับมัน มันทั้งสองคนอยากครอบครองสม บัติในตระกูล” ชรินทร์ทิพย์พูดเสริม
นภทีป์โกรธเป็นอย่างมาก เขาแทบจะอยากจัดการกับรพี พงษ์ด้วยมือของตัวเอง
“แกทำฉันโมโหจริงๆ คนไร้ประโยชน์อย่างแก รวมถึงอารี แกก็คงหนีไม่พ้นเรื่องนี้ด้วย”
อารียา ร้อนใจ เธอเชื่อว่ารพีพงษ์ไม่ทำเรื่องแบบนี้แน่นอน
แต่ไอ้หัวขโมยสองคนนี้มันยอมรับแล้ว เธอไม่มีโอกาสแม้
จะพูดแก้ต่าง
รพีพงษ์ไม่มีท่าทีตกใจแม้แต่น้อย เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบ เรียบ “รปภ. พวกนี้เป็นคนที่อารีหามา แล้วถ้าหัวขโมยสอง คนนี้เป็นคนที่เราส่งมา แล้วมีความจำเป็นอะไรที่เราจะให้ รปภ.พวกนี้จับมัน”
คำพูดของเขาเหมือนตีแสกหน้าทุกคน ทุกคนจึงรู้สึกว่า พวกเขาทั้งสองคนไม่มีความจำเป็นที่จะทำเช่นนั้นจริงๆ
นภทีป์ก็ตระหนักได้ถึงข้อนี้เช่นกัน แต่เพราะกลัวเสียหน้า เขาจึงไม่ยอมรับว่าตัวเองกล่าวหาผิดคน
“ไม่แน่ อารียา อาจจะโดนแกเป่าหูก็ได้ไอ้หัวขโมยสอง คนนี้มันยอมรับแล้ว แกจะแก้ต่างยังไงก็ไม่ได้ผลหรอก!”ชรินทร์ทิพย์พูดขึ้นมาอย่างเสียงดัง
รพีพงษ์เบะปากแล้วพูดขึ้นมาว่า “พวกคุณสองคนก็รู้ว่า พวกมันคือขโมย คำพูดของหัวขโมยเชื่อถือไม่ได้ ถ้าอยาก ให้พวกมันพูดความจริง ก็มีแค่วิธีเดียวเท่านั้น”
เขาหันหน้าไปหาพัชรพล ชายร่างกำยารู้สิ่งที่เขาต้อ งการจะสื่อ จากนั้นก็ก้มลงไปมองคนที่อยู่บนพื้นทั้งสองคน
ทุกคนต่างพากันสงสัยว่ารพีพงษ์จะใช้วิธีไหนที่จะทำให้ หัวขโมยพูดความจริงออกมา
พัชรพลจับแขนของหัวขโมยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะ เยือก “ฉันไม่ชอบพูดไร้สาระกับใคร ถ้าแกพูดความจริงออ กมาในตอนนี้ โทษของแกก็จะเบาลง”
“ที่พวกเราพูดออกไปคือความจริง!” หัวขโมยพูดออกมา พัชรพลไม่พูดอะไรต่อ จากนั้นก็หักนิ้วของมันหนึ่งนิ้ว เสียงนิ้วดังกรอบ ทำให้ทุกคนขนลุกขึ้นมาทันที
“จะพูดความจริงไหม” พัชรพลถามขึ้นอีกครั้ง
หัวขโมยมีสีหน้าเจ็บปวด พวกมันทำได้เพียงร้องโอด
ครวญ
กรอบ!
พัชรพลหักนิ้วมันอีกหนึ่งนิ้ว
หัวขโมยอีกคนเห็นภาพนั้นแล้วสีหน้าซีดเผือด มันกลัวจน
เหงื่อไหลเต็มหน้า
กรอบ!
คนที่โดนหักนิ้วทรมานจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ อีก จนหัวขโมยอีกคนทนไม่ไหวจึงตะโกนออกมา
“พะ พูดแล้ว ฉันจะพูดความจริง!”
“พวกเราเป็นคนของอินทัช ธายุกรไปหาอินทัช แล้วบอก ให้เขาหาคนไปขโมยวัตถุโบราณ จากนั้นก็โยนความผิดให้ กับ รพีพงษ์ สิ่งที่ฉันพูดเป็นความจริงทั้งหมด ถ้าฉันโกหกแม้ แต่คำเดียว พวกนายหักนิ้วทั้งสิบนิ้วของฉันได้เลย!”