พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 478 สร้อยคอ
บทที่ 478 สร้อยคอ
เมืองเซี่ยงไฮ้ ในโรงแรมที่เฉิดฉายแห่งหนึ่ง ตอนนี้ที่นี่กำลังจัดงานพรอมงานหนึ่ง ผู้ที่มีร่วมงานต่างก็มีคนชั้นสูงในเมืองเซี่ยงไฮ้ ทุกคนต่างสวมใส่เสื้อผ้าที่เจิดจรัส และท่าทางดูสง่าผ่าเผยมาก
ตอนนี้อารียากำลังยืนอยู่ตรงหน้าตู้โชว์กระจก ข้างในเป็นสร้อยคอคริสตัลที่แวววับหนึ่งเส้น ในงานพรอมนี้มีเครื่องประดับที่แพงและมีชื่อเสียงไม่น้อยที่เอาออกมาโชว์ให้ทุกคนได้ชม สร้อยคอเส้นนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่โดดเด่นที่สุด
นัยน์ตาของอารีจับจ้องไปยังสร้อยคอเส้นนั้น อารมณ์สับสนวุ่นวายเล็กน้อย เธอมักจะรู้สึกว่าตัวเองก็มีสร้อยคอที่เหมือนแบบนี้ อีกอย่างสำหรับเธอแล้วค่อนข้างสำคัญ
แค่ว่าเธอไม่สามารถนึกออกว่าสร้อยคอเส้นนั้นของตนเองอยู่ที่ไหน แล้วใครก็คนให้เธอ และยิ่งไม่รู้ว่าสร้อยคอเส้นนั้นมีความหมายอะไรกับเธอ แค่รู้ว่ามันสำคัญ
พอครุ่นคิดกันไปสักพัก อารียาก็อดถอนหายใจไม่ได้ และตัดสินใจที่จะไม่บังคับตัวเองไปคิดเรื่องพวกนั้นที่นึกไม่ออก
ช่วงนี้ เธอค่อยๆ ยอมรับกับฐานะและตัวตนของตัวเอง ยอมรับในชื่อดารินทร์ เธอเป็นลูกสาวของชลาธิป และเป็นคุณหนูของตระกูลพงศ์ธนธดา
ตระกูลพงศ์ธนธดาเป็นตระกูลที่เลื่องชื่อที่สุดในเมืองเซี่ยงไฮ้ ในเมืองที่ถูกเรียกว่าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศจีน การที่สามารถได้รับชื่อเสียงที่เป็นแบบนี้ ต้องไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายแน่นอน
ตามความเข้าใจของอารียาที่มีต่อตระกูลพงศ์ธนธดา เธอก็ค่อยๆ รู้ ความสามารถของตระกูลพงศ์ธนธดา แกร่งกว่าที่เธอคิดไว้ตั้งเยอะ ในเมืองเซี่ยงไฮ้ตระกูลที่เลื่องชื่อที่สุด ทว่าตระกูลพงศ์ธนธดาก็ปกปิดความสามารถของตนเอง ตระกูลพงศ์ธนธดาที่แท้จริง ได้กลายเป็นตระกูลหนึ่งในตระกูลชั้นสูงที่สุดในระดับโลกไปตั้งนานแล้ว
เบื้องหลังของตระกูลพงศ์ธนธดา แค่คนที่สามารถบรรลุระดับเดียวกันถึงจะสามารถเข้าใจได้ ในระดับของตระกูลและกลุ่มการเงินของโลก ไม่มีใครที่ไม่เข้าใจในความสามารถของตระกูลพงศ์ธนธดา
แค่ว่าอำนาจและอิทธิพลพวกนี้ในเมืองเซี่ยงไฮ้ ผู้ที่รู้เรื่องพวกนี้ก็มีไม่เยอะ มีไม่กี่ตระกูลและธุรกิจที่มักจะเป็นคู่ค้านของตระกูลพงศ์ธนธดา และมักจะนึกว่าความสามารถของตระกูลพงศ์ธนธดาเท่าเทียมกับของพวกเขาตลอดมา แต่ไม่รู้ว่าตระกูลพงศ์ธนธดาที่แท้จริง แค่เพียงพลิกข้อมือก็สามารถทำให้พวกเขาถูกล้างผลาญได้
และเหตุผลที่ชลาธิปปิดบังความสามารถของตระกูลพงศ์ธนธดาแบบนี้ หนึ่งก็เพราะว่าการแก่งแย่งกับของกลุ่มการเงินและตระกูลระดับโลกเหล่านั้น เขากลับไม่ได้รู้สึกสนใจเลย อีกอย่างก็เพราะว่าอารียา ลูกสาวที่เขาตามหาว่าในหลายปีนี้
อารียาสามารถยอมรับในความดีของชลาธิปที่มีต่อเธอ เพราะว่าไม่มีความทรงจำที่ผ่านมา ดังนั้นภายในใจของเธอจึงยอมรับแล้วว่าชลาธิปที่เป็นพ่อคนนี้
แค่สิ่งที่ทำให้อารียาคิดไม่ออก ไหนๆ ตัวเองก็เป็นลูกสาวของชลาธิปแล้ว กลับรู็สึกว่าคนเหล่านั้นที่อยู่ข้างกายชลาธิปต่างก็มองเธอเหมือนคนแปลกหน้า เธออยู่ที่นี่ไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว นอกจากชลาธิปแล้ว ก็ไม่มีใครที่รู้เรื่องราวที่ผ่านมาของเธอเลยสักคน
ชลาธิปอธิบายให้กับอารียา ในยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาของเธอ เธอใช้ชีวิตอยู่อีกที่ตลอดมา นี่เป็นเพราะชลาธิปต้องการปกป้องอารียาถึงได้ตัดสินใจแบบนี้
ดูจากชลาธิปที่รักใคร่และเอ็นดูในตัวเอง อารียาสัมผัสได้อย่างถ่องแท้ที่ชลาธิปเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ ดังนั้นจึงเชื่อในคำอธิบายแบบนี้
อีกอย่างความรักใคร่และเอ็นดูที่ชลาธิปมีต่อเธอถึงขั้นที่ไม่มีทางมากกว่านี้อีกแล้ว งานพรอมครั้งนี้ในวันนี้ เพราะว่าอารียาบอกว่าเธออยู่แต่ในวิลล่าจนทำให้เธอรู้สึกเบื่อหน่าย จึงอยากจะอยู่สถานที่ที่ครึกครื้นสักพัก ชลาธิปก็ได้สั่งให้คนจัดงานพรอมครั้งนี้ขึ้น
ทั้งเมืองเซี่ยงไฮ้ไม่มีใครไม่อยากจะสานความสัมพันธ์กับตระกูลพงศ์ธนธดา ดังนั้นคนที่มาร่วมงานพรอมก็ถือว่าเยอะเป็นพิเศษ
แค่ครึกครื้นเท่านั้น กลับไม่มีใครที่รู้จักอารียา นี่กลับทำให้ภายในใจของอารียายิ่งรู้สึกโดดเดี่ยว จนกว่าเธอมองเห็นสร้อยคอเส้นนี้ ภายในใจของอารียาจึงเกิดความรู้สึกที่คุ้นเคย
เวลานี้ มีเรือนร่างหนึ่งปรากฏอยู่ข้างๆ อารียา อารียาหันไป ก็เห็นใบหน้าของชลาธิปที่เคล้าด้วยความรักใคร่และเอ็นดู
คนที่อยู่รอบๆ เห็นชลาธิปปรากฏ จึงรีบใช้สายตาจับจ้องไว้ทันที อีกทั้งยังวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเสียงต่ำ
“พวกคุณรีบดูเข้า ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวของชลาธิปที่เป็นข่าวลือในช่วงนี้ไม่ใช่หรอ หน้าตาสวยจริงๆ ”
“ได้ยินว่าลูกสาวคนนี้ของเขาเพิ่งจะรับกลับมาในช่วงนี้ ชลาธิปรักและเอ็นดูเธอมาก ทำให้คนรู้สึกอิจฉาจริงๆ ”
“สวยขนาดนี้ และยังเป็นคุณหนูตระกูลพงศ์ธนธดา หากผมสามารถดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด ชาตินี้ก็รู้สึกคุ้มมากแล้ว”
“นายอย่าฝันลมๆ แล้งๆ เลย ได้ยินมาว่าชลาธิปเลือกคู่ครองให้กับลูกสาวคนนี้ของเขาไปแล้ว ตามความสามารถระดับนี้ของนาย แค่เกรงว่ายังไม่พอที่จะเป็นลูกเขยของตระกูลพงศ์ธนธดาหรอก”
…….
“ชอบสร้อยเส้นนี้หรอลูก? ” ชลาธิปเอ่ยถาม
อารียาไม่ได้ยืนยันและไม่ได้ปฏิเสธ แค่พูดขึ้น “สร้อยเส้นนี้ทำให้หนูรู้สึกคุ้นเคยมากค่ะ คุณพ่อคะ แต่ก่อนหนูเคยมีสร้อยคอแบบนี้หรอคะ? ใครซื้อให้หนู? คนที่ให้หนู สำหรับหนูแล้วคงจะสำคัญมาก”
“ยัยลูกสาวซื่อบื้อ แต่ก่อนสร้อยของหนูมาเยอะจนนับไม่ถ้วน แบบเยอะเกินไป อาจจะเพราะว่าสร้อยเส้นนี้ ทำให้หนูคิดถึงเรื่องบางอย่าง ความจำเลอะเลือน สิ่งของอะไรที่หนูนึกขึ้นได้ ก็มักจะทำให้หนูรู้สึกสำคัญอยู่แล้ว” ชลาธิปอธิบายด้วยรอยยิ้ม
อารียาพยักหน้าครุ่นคิดอย่างคล้อยตาม ชลาธิปพูดก็ถูก แต่ก่อนความรู้สึกแบบนั้นอาจจะเป็นเพียงภาพลวงตา รอให้เธอจำทุกอย่างได้ทั้งหมด ไม่แน่ก็จะไม่รู้สึกว่าสร้อยเส้นนั้นสำคัญแล้ว
“ลูก พ่อจะช่วยหนูหาชายหนุ่มที่หล่อและมีความสามารถไม่กี่คนในเมืองเซี่ยงไฮ้ ลูกก็ถึงเวลามีความรักแล้ว ถ้ามีเวลาว่างๆ ก็ลองคบหากับพวกเขาดู ไม่แน่อาจจะเจอคนที่หนูชอบก็ได้นะ” ชลาธิปพูดขึ้น
“ไม่เอาค่ะ! ” อารียาตอบกลับอย่างเด็ดขาด นี่เป็นการตอบสนองจากสัญชาตญาณของเธอ เป็นคำตอบที่ให้โดยไม่ครุ่นคิดอะไรเลย
ในสามัญสำนึกของอารียา คิดว่าตนเองไม่ควรไปคบหากับผู้ชายหน้าไหน
ชลาธิปก็นึกไม่ถึงว่าอารียาจะปฏิเสธโดยเร็วแบบนี้ จึงนิ่งงันไปสักพัก
“ทำไมล่ะลูก ลูกไม่อยากจะรู้จักกับคนเยอะกว่านี้หรอ? ” ชลาธิปเอ่ยถาม
สีหน้าของอารียาก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ดูทุกข์ทนทันที แล้วพูดขึ้น “พ่อคะ หนูมักจะรู้สึกว่าในใจของหนูมีคนๆ หนึ่งเข้าไปอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถให้คนอื่นเข้าไปอยู่ได้ ถ้าเป็นไปได้ หนูหวังว่าพ่อจะช่วยหนูตามหาคนๆ นี้ค่ะ”
ชลาธิปมองสีหน้าที่เจ็บปวดของอารียา จึงถอนหายใจอย่างประหม่า แล้วพูดขึ้น “พ่อจะช่วยหนูตามหาแน่นอน ตอนนี้อาการของหนูไม่ดี กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
อารียาพยักหน้า จากนั้นก็มีผู้หญิงสองคนไปกับเธอ แล้วจากที่นี่ไป
ชลาธิปมองสร้อยคอที่อยู่ในตู้โชว์ นัยน์ตาเคล้าด้วยความลุ่มลึก
“เก็บสร้อยทั้งหมดที่อยู่ในนี้ วันข้างหน้าอย่าให้ปรากฏอยู่ตรงหน้าคุณหนูอีก”
…….
ณ เกียวโต สำนักงานใหญ่กรุ๊ปKIN
ในออฟฟิศหนึ่ง โยษิตากำลังนั่งอยู่บนโซฟา คนที่นั่งตรงข้ามเธอ เป็นชายที่มีหน้าตาหล่อเหลา มุมปากกระตุกยิ้มอ่อนๆ ตลอดมา ข้างหลังของเขามีคนๆ หนึ่งที่สวมใส่แว่นตากรอบดำ ดูๆ แล้วก็คือเลขาที่มีความรับผิดชอบและละเอียดรอบคอบ
คนๆ นี้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามโยษิตาก็คือจิรเวช
“คนๆ นั้นของผมที่อยู่ต่อในเมืองริเวอร์เพื่อที่จะจัดการกับรพีพงษ์ตายไปแล้ว ได้ข่าวว่าเขากระโดดตึกตาย รพีพงษ์กลับมาเมืองริเวอร์ก่อนที่เขาจะตายไปไม่นานเอง เรื่องนี้น่าจะเป็นเขาที่เป็นคนทำ” โยษิตาบอกว่าจิรเวช
“ก็แค่หมากล้อมหนึ่งตัว ตายไปก็ตายไปสิ ฉันนึกไม่ถึงว่าแค่พึ่งพาคนโง่คนหนึ่งก็สามารถจัดการกับรพีพงษ์ได้ ถ้ารพีพงษ์จัดการง่ายขนาดนี้ งั้นครั้งนี้ผมมา ก็คงจะไม่ค่อยมีความหมายแล้ว” จิรเวชพูดขึ้น
“ตระกูลลัดดาวัลย์ใกล้จะถูกเราบีบบังคับจนสุดทางตันแล้ว แค่ว่าอูฐที่ผอมตายก็ยังใหญ่กว่าม้า พวกเราอยากจะกลืนกินตระกูลลัดดาวัลย์ให้สิ้นซาก ก็ยังต้องเสียกำลังที่ใหญ่มาก” โยษิตาพูดต่อ
จิรเวชยิ้ม แล้วพูดขึ้น “ตอนนี้มีโอกาสหนึ่งแล้ว สามารถทำให้คุณไม่ต้องใช้กำลังมากขนาดนั้น ก็สามารถล่มตระกูลลัดดาวัลย์ได้ นี่ก็ถือว่าฟ้าสวรรค์ไม่คุ้มครองตระกูลลัดดาวัลย์ก็แล้วกัน กลับปรากฏโอกาสที่ดีเยี่ยมในตอนนี้”
“โอกาสอะไร? ” ความใจจดใจจ่อของโยษิตาจึงรวบรวมขึ้นมา
“ช่วงก่อนหน้านี้ไม่นาน มีคนได้แผนการการเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่ามาครอบครองในมือ ผลประโยชน์ที่จะได้รับในเรื่องนี้ บอกได้ว่าเป็นผลประโยชน์ที่ใหญ่หลวงมาก คนที่ควบคุมเรื่องนี้ แม้กระทั่งผมยังไม่สามารถจับต้องได้ คิดว่าคงจะเป็นคนที่มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็ไม่ได้สำคัญอะไร สำคัญตรงที่ว่าต่อไป เขาต้องตามหาคนที่มาร่วมงานที่จะสำเร็จแผนการเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่า ถ้าใครสามารถได้โอกาสการร่วมงานในครั้งนี้ ก็จะสามารถแซงขึ้นหน้าผู้ที่มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในเกียวโต”
“วันนี้คนที่สามารถกระทำเรื่องนี้ในเกียวโต ก็คงเหลือแค่พวกเรา ตระกูลลัดดาวัลย์ต้องเผชิญกับวิกฤต หอการค้าสมน.ก็ถูกกระทบ แค่พวกเราสามารถได้โอกาสการร่วมงานครั้งนี้ งั้นตระกูลลัดดาวัลย์คงไม่สำคัญอะไรแล้ว”
ได้ยินคำพูดของจิรเวช โยษิตาทำนัยน์ตาเปล่งประกายเช่นกัน ทว่าไม่นานก็พูดอย่างลังเลเล็กน้อย “ไหนๆ คนๆ นั้นมีที่มายังไงแม้แต่คุณยังจับต้องไม่ได้ งั้นเขาคงไม่จำเป็นต้องตอบตกลงว่าจะร่วมงานกับเรา ถ้าถึงเวลาเขาเลือกตระกูลลัดดาวัลย์ขึ้นมา งั้นตระกูลลัดดาวัลย์ก็คงจะถือโอกาสนี้ฟื้นตัวอีกครั้ง ถึงเวลาคนที่ซวยก็คือเรา”
“นี่คุณอย่าเพิ่งกังวลสิ คนรับผิดชอบคนนั้นหาผู้ที่ไปร่วมงานด้วย และวางแผนว่าจะจัดงานเลี้ยงอีกไม่กี่วันข้างหน้า ถึงเวลาถ้าจะร่วมงานกับเขาก็สามารถเข้าแย่งชิง การเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่าต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการสนับสนุน ผู้ที่รับผิดชอบท่านนั้นต้องมีคำขอที่ง่ายมาก ใครที่สามารถออกเงินเยอะก็จะร่วมงานกับคนนั้น”
จิรเวชยิ้มขึ้น แล้วพูดขึ้น “คุณรู้สึกว่า เกียวโตในวันนี้ มีคนสามารถเทียบกับเราได้ไหม? ”
…….
ณ เมืองริเวอร์ สตาร์กาย
รพีพงษ์นั่งอยู่ตรงหน้าบาร์ มือถือวางไว้ตรงข้างๆ แล้วกำลังดื่มเหล้า
และในตอนนี้ มือถือของเขาก็ดังขึ้น หลังจากที่รับสาย ทางสายก็ส่งเสียงของผู้ชายที่ต่ำและเข้มมาก “ท่านครับ ทางฝั่งเกียวโตเตรียมการเสร็จแล้วครับ ท่านสามารถออกเดินทางได้เลยครับ”