พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 482 ผู้หญิงไร้สมอง
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่ 482 ผู้หญิงไร้สมอง
บทที่ 482 ผู้หญิงไร้สมอง
รพีพงษ์ได้ยินการคาดเดาของนันทิตา ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือยิ้มดี ความสามารถในการเชื่อมโยงความคิดของผู้หญิงคนนี้ช่างอุดมสมบูรณ์เกินไปแล้วจริงๆ กลับนึกว่าไกรเดชมาเล่นละครกับเขาโดยเฉพาะ
ไกรเดชก็ทำหน้าที่ตกตะลึง ทีแรกเขานึกว่าตัวเองบอกว่ารพีพงษ์เป็นแขกผู้มีเกียรติของเขา คนพวกนี้ก็จะรีบขอโทษรพีพงษ์ทันที ทว่าทำให้เขานึกไม่ถึงว่า ผู้หญิงคนนี้กลับสงสัยว่าเขามาแสดงละครกับรพีพงษ์ ความคิดแบบนี้เขาก็เพิ่งจะเคยเจอครั้งแรก
“คุณบอกว่าใครแสดงละคร ผมจำเป็นต้องแสดงละครกับคุณด้วยหรอ? ” ไกรเดชจับจ้องนันทิตาไว้
นันทิตารีบพูดขึ้น “ดูเร็วเข้า เพราะว่าเขาถูกฉันแฉความจริง ฉะนั้นเลยทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองใจเล็กน้อย โดยทั่วไปคนที่ถูกแฉคำโกหกก็มักจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ ต้องเป็นพวกเดียวกับผู้ชายไร้ความสามารถคนนี้แน่นอน! ”
ใบหน้าของเธอเคล้าด้วยความได้ใจ รู้สึกว่าตัวเองสามารถมองทะลุฐานะพวกเดียวกับรพีพงษ์ได้อย่างเก่งกาจ และอยากจะเป็นฝ่ายชื่นชมตัวเองจนใจจะขาด
ที่ผ่านมาไกรเดชเป็นคนที่เรียบง่าย ต่อให้มีฐานะที่สูงส่ง เขายังคงยึดหลักในการขยันอดออมมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่เสื้อผ้าที่แพงมาก แค่ใส่เสื้อที่เหมาะกับตัวเองก็พอแล้ว
รวมไปถึงปกติเขาต้องจัดการกับงานและการพบปะทางธุรกิจมากมาย เวลานานๆ ไป แน่นอนว่าต้องมีการผมร่วงและท้องโตเพราะดื่มเบียร์มากเกินไป
นี่จึงทำให้เขาดูเป็นผู้ชายวัยกลางคนที่น่ารังเกียจ นึกไม่ถึงว่าตอนนี้กลับถูกนันทิตาสงสัยในหลักฐานของเขา
หัวหน้ารปภ.และประเวก ทั้งสองคนกำลังสังเกตมองไกรเดชอย่างละเอียด รู้สึกว่านันทิตาพูดได้ค่อนข้างมีเหตุผล โดยเฉพาะหัวหน้ารปภ. เพราะว่านันทิตาได้ล้างสมองให้เขาเชื่อและยอมรับในสิ่งที่ได้ยินได้เห็น ดังนั้นเขาคิดว่ารพีพงษ์มาสร้างเรื่องก่อกวนที่นี่มาโดยตลอด งั้นเพื่อนของเขาก็ต้องไม่ใช่คนดีอะไร
“พวกคุณสองคน รีบบอกพวกผมว่าพวกคุณมาทำอะไรที่นี่ ไม่งั้นตอนนี้จะจับพวกคุณไปไต่สวนอย่างเข้มงวด” หัวหน้ารปภ.ขึงตามองรพีพงษ์และไกรเดชพร้อมกับพูดขึ้น
“เมื่อกร้ไม่ใช่ว่าบอกไปแล้วหรือไง พวกเขาสองคนมาสร้างเรื่องก่อกวน ไอ้หมอนี่อยากไปห้องมังกร ได้ยินมาว่าที่นั่นเป็นห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดของพวกคุณ แขกข้างในเป็นตั้งผู้รับผิดชอบแผนการเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่า ถ้าถูกเขาเข้าไปก่อกวนจริงๆ ร้านอาหารนี้ของพวกคุณก็คงเปิดต่อไม่ได้อีกต่อไป” ประเวกแสยะยิ้มแล้วจับจ้องรพีพงษ์และไกรเดชทั้งสองคนไว้
หัวหน้ารปภ.จึงรู้สึกตกใจในใจ นึกไม่ถึงว่ารพีพงษ์กลับอยากจะไปหาเรื่องคนใหญ่คนโตท่านนั้น นี่ถ้าเกิดเรื่องจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาสามารถรับผิดชอบได้
เขาหันไปมองรปภ.พวกนั้นที่อยู่ข้างหลังตนเอง แล้วตะโกนขึ้น “พวกนายยังนิ่งอยู่ทำไม ยังไม่รีบจับตัวพวกเขาสองคนอีก! ”
“เหลวไหลไปกันใหญ่! ฉันนี่แหละเป็นผู้รับผิดชอบแผนการเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่า ฉันจะคอยดูว่าพวกแก ใครกันที่แก้ลงไม้ลงมือ! ” ไกรเดชทำเสียงเย็นชาในลำคอ นึกไม่ถึงว่าเขามาต้อนรับรพีพงษ์ กลับกลายเป็นเรื่องตลกแบบนี้
“เลิกเสแสร้งได้แล้ว แกงั้นหรอ ยังเป็นผู้รับผิดชอบแผนการเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่าอีก มีปัญญาก็โม้ให้เว่อร์กว่านี้สิ แกก็ไม่กลัวว่าจะโดนไข่ของตัวเองหรือไง! ” ประเวกเยาะเย้ยและดูหมิ่นด้วยเสียงเย็นชา
นันทิตาก็ทำท่าทางที่ชมเรื่องสนุกๆ แล้วไม่อยากจะข้องเกี่ยวใดๆ จากนั้นก็ชี้ประเวกแล้วพูดขึ้น “น้าชายของเขาเป็นตั้งคนที่ติดตามผู้รับผิดชอบ หรือว่ายังไม่รู้ว่าผู้รับผิดชอบท่านนั้นมีหน้าตายังไง? คุณก็อย่าเสแสร้งไปเลย การโต้เถียงของพวกคุณไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป”
ถึงแม้ประเวกไม่รู้ว่าหน้าตาของผู้รับผิดชอบเป็นยังไง ทว่าเขากลับไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้ตรงหน้าจะคนใหญ่คนโตท่านนั้น ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจคำพูดของนันทิตา
ไกรเดชหันไปมองประเวก แล้วทำสีหน้าที่หม่นหมอง “น้าชายของนายชื่อว่าอะไร? ”
“น้าชายของฉันเป็นตั้งคนที่ติดตามคนใหญ่คนโต ฉันบอกชื่อของเขาให้แกไปทำไม พวกแกสองคนรีบไสหัวไปเถอะ ไม่งั้นเดี๋ยวถ้าน้าชายฉันมา ก็ยิ่งแฉความจริงของพวกแกสองคนโดยตรง” ประเวกพูดอย่างได้ใจ
หัวหน้ารปภ.ไม่มีความอดทนที่เสียเวลาอีกต่อไป เขาต้องพาสองคนนี้จากไปก่อน ไม่งั้นคนที่สัญจรไปมาในห้องโถงใหญ่นี้เห็นเขาตลอดก็คงไม่ใช่เรื่องดีอะไร
ตอนที่เขากำลังจะให้ลูกน้องของตัวเองลงไม้ลงมือ น้าชายของประเวกจึงลงมาจากชั้นบน ตอนนั้นไกรเดชบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำข้างนอก สุดท้ายผ่านไปนานขนาดนี้ก็ไม่ได้กลับห้องส่วนตัว นี่ทำให้ภายในใจของเขากังวลเล็กน้อย ดังนั้นจึงออกมาดูหน่อย
หลังจากที่เห็นไกรเดชอยู่ในห้องโถง เขาจึงรีบเดินมาทันที
“พวกคุณกำลังทำอะไรที่นี่? ” น้าชายของประเวกเอ่ยถาม
หลายๆ คนต่างก็หันหน้าไป ประเวกและนันทิตาเห็นน้าชายมา นัยน์ตาเปล่งประกายแสงทันที
“น้าชาย น้ามาได้พอดีเลย ที่นี่มีคนกำลังแอบอ้างว่าเป็นผู้รับผิดชอบท่านั้น แล้วร่วมมือกับไอ้ผู้ชายไร้ความสามารถคนนี้มาสร้างเรื่องก่อกวนที่นี่ ยังดีที่ถูกเราจับได้ก่อน ไม่งั้นวันนี้คงจะเกิดเรื่องใหญ่แน่นอน” นันทิตาก็ไม่ได้เกรงใจน้าชายของประเวกเลยสักนิด จึงเห็นว่าเขาเป็นน้าชายของตัวเอง แล้วพูดขึ้นด้วยใบหน้าเคล้าด้วยความได้ใจ
“ใช่ครับน้าชาย โชคดีที่ผมกับของขวัญฉลาด จึงไม่ปล่อยให้ไอ้สองนี้ที่กระทำความผิดฝ่าเข้าไปข้างใน โดยเฉพาะไอ้หัวล้านคนนี้ กลับกล้าเอาผู้รับผิดชอบคนนั้นมาแอบอ้าง เขาก็ไม่ดูสภาพของตนเองหน่อยเลย คนแบบนี้จะมีฐานะแบบนั้นได้ยังไง” ประเวกก็พูดและยิ้มขึ้น
หัวหน้ารปภ.ทีแรกก็อยากจะเอาความดีความชอบไปประจบน้าชายของประเวกหน่อย ทว่าเขาสามารถเห็นถึงสีหน้าที่เปลี่ยนไปของประเวกทันที ภายในใจรู้สึกไม่สบายใจ คำพูดของที่กำลังออกจากปากของตัวเองก็กลืนกลับไปทันที
“แกว่าอะไรนะ พูดอีกรอบซิ! ” น้าชายของประเวกจึงโมโหขึ้นมาทันที ต่อให้ประเวกเป็นหลานชายของเขา เขาก็ไม่มีวิธีที่จะอดกลั้นไฟแห่งความโมโหในใจของตนเอง
“ผมก็พูดถึงไอ้หัวล้าน…….” ประเวกอยากจะทวนคำพูดของตัวเองอีกครั้ง ทว่าเขาก็สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของน้าชาย คำพูดที่พูดออกมาก็มีเสียงที่เล็กน้อยไปมาก
น้าชายของประเวกยกมือขึ้น แล้วตบหน้าประเวกทันที พร้อมกับก่นด่า “มีแกเป็นหลาน ถือว่าเรื่องที่เฮงซวยที่สุดในชีวิตนี้ของฉัน! ”
พูดจบ เขาจึงรีบหันไปมองไกรเดชที่อยู่ข้างๆ แล้วโค้งลำตัวและก้มศีรษะลง “นายครับ นายอย่าโกรธเลย หลานชายคนนี้ของผมไม่รู้จักกาลเทศะ เขาพูดอะไรไม่ได้ผ่านกระบวนการสมอง นายเป็นผู้อาวุโส ก็อย่าได้ถือสาผู้น้อยอย่างเขาเลยครับ”
ไกรเดชทำเสียงเย็นชาในลำคอ แล้วพูดขึ้น “ไม่รู้จักกาลเทศะ? ดูจากอายุของเขา ก็คงเป็นอายุยี่สิบกว่าแล้ว แกมาบอกฉันว่าไม่รู้จักกาลเทศะ แกเห็นว่าฉันเป็นคนโง่หรอ? ”
เรือนร่างของน้าชายประเวกสั่นงันงกทันที แล้วรีบพูดขึ้น “นาย…….นายครับ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้ ผมเองที่ปากพล่อย ไม่รู้จักพูด ได้โปรดนายอภัยครับ”
ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาสองคน หากว่ายังตอบสนองว่าเกิดอะไรขึ้นไม่ได้ งั้นเกรงว่าคงจะโง่จริงๆ
หัวหน้ารปภ.จึงรีบพยักหน้าโดยเร็ว จากนั้นก็รีบพาคนของตัวเองจากที่นี่ไปทันที
ทีแรกนันทิตาที่ยังได้ใจเมื่อเห็นฉากๆ นี้ อารมณ์บนใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นความตกตะลึง แปลกพิลึก และคาดคิดไม่ถึงทันที เธอมองไกรเดชอย่างยากที่จะเชื่อ น้าชายของประเวกเรียกเขาว่านาย นั่นก็หมายความว่าคนๆ นี้ก็คือผู้รับผิดชอบท่านนั้น
และเมื่อครู่เธอก็ดูแลและเหยียดหยามไกรเดชไป แล้วยังคิดว่าเขากับรพีพงษ์ร่วมมือกันมาก่อกวนที่นี่ ครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกตะลึงงันไปจริงๆ
วันนี้ทุกการกระทำของเธอ ช่างเป็นเรื่องที่ตลกของโลกนี้จริงๆ ตั้งแต่ตอนที่เธอดูหมิ่นรพีพงษ์ นั่นก็ได้กำหนดไว้ว่าเธอนี่แหละที่เป็นตัวตลก
ไกรเดชมีฐานะเป็นแบบนี้ ก็ยังถูกเธอกล่าวหาว่าเป็นผู้ชายน่ารังเกียจ แม้กระทั่งน้าชายของประเวกยังโค้งลำตัวทำความเคารพไกรเดช เธอยังมีสิทธิ์อะไรที่จะพูดเรื่องพวกนี้
ภายในใจของเธอจึงเกิดความหวาดผวาขึ้นมาเป็นระยะ ฝ่ามือมีหยาดเหงื่อผุดออกมาไม่หยุด เรือนร่างอดสั่นเทาไม่ได้
ไกรเดชกวาดสายตามองประเวกพวกเขาสามคนด้วยความเย็นชา จากนั้นก็เอ่ยพูดกับน้าชายของประเวก “แกทำงานกับฉันมากี่ปีแล้ว? ”
ภายในใจของน้าชายของประเวกจึงรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “สี่…….สี่ปีกว่าแล้ว”
“เวลาสี่ปีก็ไม่น้อยแล้ว ท่านนี้เป็นแขกผู้มีเกียรติของฉัน ญาติสองคนนี้ของแกวันนี้กลับมาหาเรื่องกับเขา แล้วยังวิพากษ์วิจารณ์เขา ตามกฎแล้ว ฉันต้องไม่ปล่อยพวกเขาไว้แน่นอน แต่ว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่แกทำงานกับฉันมาสี่ปีนี้ ฉันจะไม่เรียกร้องจากพวกเขา ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปต้นไป แกไม่ต้องมาทำงานแล้ว” ไกรเดชพูดขึ้น
เรือนร่างของน้าชายประเวกเกร็งไปทันที ภายในใจลึกๆ จึงรู้สึกตกระกำลำบากอย่างยากที่จะอธิบายขึ้นมา เขารู้ว่าการตัดสินใจของไกรเดช ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ สามารถมีผลสรุปแบบนี้ ก็ถือว่าโชคดีแล้ว
ผ่านไปสักพัก น้าชายของประเวกถึงจะค่อยๆ ได้สติกลับมา จากนั้นก็มองไกรเดชด้วยความเคารพนับถือ แล้วพูดขึ้น “ผมรู้แล้วครับ”
ไกรเดชเหลือบตามองประเวกและนันทิตาอีกครั้ง เรือนร่างของสองคนนี้สั่นเทา เขายังไม่ได้ทำเรื่องไร้สาระถึงขั้นที่ต้องเรียกร้องความสนใจกับรุ่นผู้น้อยสองคนนี้ ลงโทษน้าชายประเวก ก็พอแล้ว
เขาหันไปมองรพีพงษ์ ท่าทีดูเคารพนับถือทันที แล้วเอ่ยถามขึ้น “รพีพงษ์ การจัดการแบบนี้ของผม ท่านพอใจหรือไม่ ถ้าท่านรู้สึกไม่พอใจ สามารถพูดออกมาได้นะครับ”
“ไม่ต้องแล้ว เราขึ้นไปกันเถอะ” รพีพงษ์หมุนตัว แล้วเดินไปตรงบันได
ไกรเดชรีบตามไป ท่าทางนั้น เหมือนดั่งลูกน้องของรพีพงษ์ ดูแล้วทำให้ประเวกพวกเขาทั้งสามคนต่างก็รู้สึกหวาดกลัว
คนที่พวกเขาดูถูกมาตลอดทาง กลับมีฐานะที่น่ากลัวขนาดนี้ พอมาคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกกลัว
หลังจากที่รพีพงษ์พวกเขาสองคนจากไป ประเวกมองน้าชายของเขาด้วยสีหน้าที่เคล้าด้วยความรู้สึกผิด แล้วเอ่ยพูดขึ้น “น้าชาย ครั้งนี้ก็เพราะ……”
น้าชายของประเวกขึงตามองเขา แล้วพูดด้วยความเย็นชา “อย่าเรียกฉันว่าน้าชาย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันไม่มีญาติอย่างแก”
ประเวกกลับสูดลมหายใจเย็นเข้าปอด นึกไม่ถึงว่าเรื่องของวันนี้กลับแลกมาด้วยผลสรุปแบบนี้
น้าชายหันไปเหลือบมองนันทิตาอีกครั้ง นัยน์ตาเคล้าด้วยความโกรธ “อีกอย่าง ผู้หญิงที่ไร้สมองแบบนี้ วันข้างหน้าทางที่ดีที่สุดแกก็อยู่ห่างหน่อย ไม่งั้นแกจะถูกเธอทำร้ายจนตายแน่นอน! “