พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 50
บทที่ 50 แขนข้างนี้เป็นของฉัน
ทุกคนในห้องต่างตกตะลึงทันที ใครก็คิดไม่ถึงว่า หมอ เทวดาผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง จะพูดแบบนี้กับสวะคนหนึ่งจริงๆ
รพีพงษ์จู่ๆก็รู้สึกอายเล็กน้อย กระแอมสองเสียง พูดเสียง เบาว่า: “ใส่ใจภาพลักษณ์ของคุณด้วย”
ชุติเทพเหตุนี้จึงปล่อยรพีพงษ์ จ้องมองเขาด้วยรอยยิ้ม เต็มหน้า
ไตรทศกับธฤตญาณสองคนต่างจ้องมองชุติเทพกับรพี พงษ์สองคนด้วยความตกตะลึง จากนี้จึงเข้าใจ ว่าทำไมรพี พงษ์ถึงได้บอกว่าชุติเทพจะช่วยตรวจโรคให้ธฤตญาณ อย่างแน่นอน
เจตนิพัทธ์ท่าทีโง่งมแล้ว ยังไม่ได้สติกลับมาว่าสุดท้าย แล้วมันเกิดอะไรขึ้น
ทำไมหมอเทวดาชุถึงได้มีทัศนคติที่ดีต่อรพีพงษ์สวะคนนี้ ขนาดนี้? เป็นไปได้ไหมว่าหมอเทวดาชุอารมณ์ดี ดังนั้นจึงดี เช่นนี้ต่อใครทุกคน?
เด็กสาวที่ชื่อเจสสิก้ายิ่งประหลาดมาก นี่ยังเป็นครั้งแรก ที่เธอเห็น ชุติเทพกระตือรือร้นต่อคนอื่นขนาดนี้
“อาจารย์ ผู้ชายคนนี้เมื่อกี้เรียกแค่ชื่อของคุณตรงๆ แล้ว ยังคิดจะบุกเข้าไป ทำไมคุณถึงสุภาพกับเขาขนาดนี้?” เจส สิก้าเอ่ยอย่างงุนงง
ชุติเทพมองเจสสิก้าแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “เจสสิก้าอย่าไร้ เหตุผล รพีพงษ์เป็นแขกวีไอพีของฉัน”
แววตาของเจสสิก้ากลายเป็นเหลือเชื่อมากขึ้น ราวกับกำลังได้ยินเรื่องตลกอะไรสักอย่าง
“แต่ว่า เขาเป็นแค่สวะที่ลือเลื่องไปทั่วเมืองริเวอร์คนนั้น นะคะ” เจสสิก้ายังคงไม่พอใจ
“หุบปาก!” ชุติเทพตวาดใส่เจสสิก้าเสียงหนึ่งทันที เจสสิก้าหน้าเสีย แต่ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ชุติเทพหันไปมองรพีพงษ์ บนใบหน้าเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม อีกครั้ง เปิดปากถามว่า: “เด็กอย่างคุณที่ไม่มีอะไรไม่ยอม มาโถงสามสมบัติ มาหาฉันเพราะอยากให้ฉันช่วยคุณใช่ ไหม?”
รพีพงษ์พยักหน้าอย่างไม่ได้ปิดบัง: “เพื่อนของผมได้รับ บาดเจ็บนิดหน่อย อยากขอให้คุณช่วยรักษาหน่อย”
ระหว่างที่พูด รพีพงษ์ก็ชี้ไปที่แขนของ ธฤตญาณ ผู้ท
ชุติเทพมองไปที่แขนของธฤตญาณแวบหนึ่ง ดวงตาเป็น ประกาย จากนั้นจึงรีบเดินไปดู และพูดว่า “แขนข้างนี้น่า สนใจอยู่บ้าง แบบนี้สิฉันชอบ”
ใบหน้าของธฤตญาณกระตุก คิดในใจว่าหมอเทวดาคนนี้ ไม่เหมือนกับคนอื่นจริงๆ คำพูดที่พูดออกมาทำให้ผู้คน ขนลุกได้
“เป็นไงบ้าง รักษาได้รึเปล่า?” รพีพงษ์เปิดปากถาม “รักษาได้ๆ พาเขาเข้าไปที่ห้องด้านในเถอะ” ชุติเทพพูด
ยิ้มๆ
เจตนิพัทธ์เมื่อเห็นเช่นนี้ รีบก้าวไปข้างหน้าทันทีเช่นกัน เปิดปากว่า “หมอเทวดาชุผมก็อยากให้คุณช่วยตรวจผม ด้วยเหมือนกัน”
ชุติเทพมองเขาแวบหนึ่ง เปิดปากพูดว่า ขออภัย โอกาสสามครั้งในปีนี้ถูกใช้หมดแล้ว”
“แต่ว่า คุณไม่ใช่ว่ายังจะรักษาให้พวกเขาอีกหรือ?” เจตนิ พัทธ์เอ่ยอย่างไม่พอใจมาก
“ฉันกับหมอเทวดาชุเป็นญาติกัน ใช่ไหมคุณ?” รพีพงษ์ ไม่อยากให้เจตนิพัทธ์ อยู่ที่นี่ให้เสียเวลา จึงเปิดปากพูด ประโยคหนึ่ง
ใช่ พวกเราเป็นญาติกัน” ชุติเทพก็เปิดปากตาม
เจตนิพัทธ์ กัดฟัน คิดในใจว่าไอ้สวะตัวนี้ช่างโชคดีมาก จริงๆ ที่สามารถปีนขึ้นมาเป็นญาติกับชุติเทพได้ พระเจ้า องค์นี้ช่างตาบอดซะจริงๆ
เขาจึงไม่คิดจะเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกต่อไป กำลังคิดว่าอีก เดี๋ยวจะลองไปตรวจที่โรงพยาบาลใกล้ๆสักครั้ง ในเวลานี้เอง จู่ๆชุติเทพก็เปิดปากพูดประโยคหนึ่งแล้วว่า “หนุ่มน้อย อันที่จริงคุณก็ไม่ต้องกังวลใจไป เมื่อฉันดูหน้า
คุณแวบหนึ่งแล้ว คุณก็แค่ไตพร่องเท่านั้น กลับไปกินลิ่ว
เว่ยตี้หวงหวานให้มากก็ได้แล้ว”
ทันใดนั้นร่างของเจตนิพัทธ์ก็เหมือนถูกฟ้าผ่า ตัวแข็งไป พักหนึ่งแล้วค่อยคลายออก
ถ้าหากว่าตอนนั้นรพีพงษ์พูด เขายังไม่เชื่อ งั้นที่ชุติเทพ พูด เขาไม่เชื่อก็ไม่ได้แล้ว
ชุติเทพเป็นหมอเทวดาที่ได้รับการยอมรับ แน่นอนว่าไม่ หลอกคนง่ายๆ
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าบนใบหน้าของตัวเองค่อนข้าง อับอาย หลังจากกลืนน้ำลายแล้ว จึงพูดกับชุติเทพว่า: “ขะ..เข้าใจแล้วครับหมอเทวดาชุหลังจากกลับไปผมจะไปซื้อลิ่วเว่ยตี้หวงหวาน”
พูดจบ เขาก็รีบร้อนออกไปจากที่นี่ ถ้าอยู่ต่อไปอีก กะว่า วันหลังจะไม่กล้าพบผู้คนแล้ว
หลังจากที่เจตนิพัทธ์จากไป รพีพงษ์ก็รีบพาธฤตญาณ เข้าไปที่ห้องด้านใน เพื่อให้ ชุติเทพรักษาให้เขา
เจสสิก้าจ้องมองรพีพงษ์ด้วยความไม่พอใจ เกลียดจน แทบจะกินเขาได้แล้ว แต่เป็นเพราะชุติเทพจึงไม่กล้าพูด อะไรอีก
“แขนข้างนี้เป็นของฉันแล้ว พวกคุณไปรออยู่ด้านข้าง ก่อนเถอะ ฉันจะได้รีบจัดการกับมันให้ดี ถึงตอนนั้นให้เขา พักฟื้นสักสองสามวัน ก็ไม่เป็นปัญหาใหญ่แล้ว” ชุติเทพเปิด ปากพูด
รพีพงษ์พยักหน้า แล้วลากไตรทศไปที่อื่น เพื่อให้ชุติเทพ มีสมาธิในการรักษา ธฤตญาณ
ธฤตญาณตื่นตระหนก เมื่อกี้ชุติเทพบอกว่าแขนข้างนี้ ของตัวเองเป็นของเขา ทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“หมอ..หมอเทวดา คุณเมตตาผู้น้อยเถอะนะ ผมยัง ต้องการแขนข้างนี้อยู่ คุณอย่าตัดมันออกให้ผมเลยนะ” ธ ฤตญาณเปิดปากพูด
“วางใจเถอะ ฉันเป็นคนแบบนั้นหรือไง ถ้ารักษาไม่ได้ เท่านั้นแหละ ฉันถึงจะตัดมันออกให้คุณ” ชุติเทพกล่าวด้วย รอยยิ้ม
เขาพูดแบบนี้ ธฤตญาณก็ยิ่งกังวลมากขึ้น และมีแรง กระตุ้นชนิดหนึ่งจนคิดจะหนี
รพีพงษ์กับไตรทศทั้งสองคนเดินมาที่อีกด้านหนึ่งของห้อง ต่างก็มองไปรอบๆอย่างอยากรู้อยากเห็น
มีอวัยวะตัวอย่างเทียมต่างๆถูกวางไว้ในห้องนี้ของชุติ เทพ และไตรทศยังพบโครงกระดูกมนุษย์โครงหนึ่งอยู่ใน มุม เขาจึงรีบวิ่งไปดู และพบว่านี่เป็นของจริง ไม่ใช่แบบ จำลอง
จู่ๆเขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาบ้าง คิดในใจว่าไม่แน่ว่าอวัยวะ พวกนั้น ทั้งหมดก็มาจากร่างกายมนุษย์หัวจรดเท้าเลยใช่ ไหม?
แล้วแบบนี้ธฤตญาณจะไม่….
เขาจึงหันไปมองธฤตญาณแวบหนึ่ง หลังจากที่เห็น ท่าทางสยดสยองเต็มหน้าของธฤตญาณ ก็อดไม่ได้ที่จะ เกิดความรู้สึกเห็นใจเขาอย่างสุดซึ้ง
เจสสิก้านั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะตัวหนึ่งไม่ไกลนัก บนโต๊ะมี กระดานหมากรุกชุดหนึ่ง เจสสิก้าวางตัวหมากหงายขึ้น อย่างไม่ใส่ใจนัก
เธอจ้องรพีพงษ์ด้วยหน้าตาบูดบึ้ง สายตายิงรังสีสังหาร ออกมาเป็นครั้งคราว รพีพงษ์มองเจสสิก้าอย่างหยอกเย้าแวบหนึ่ง จากนั้นจึง
เดินไปที่โต๊ะ เปิดปากถามว่า “คุณเล่นหมากล้อมเป็น?”
เจสสิก้าทันใดนั้นก็เผยสีหน้าภาคภูมิใจ เปิดปากพูดว่า “ยิ่งกว่าเล่นเป็น อาจารย์ฉันแม้ว่าจะเป็นหมอเทวดา แต่ก็ยัง ศึกษาหมากล้อมอย่างละเอียดควบคู่กันไปด้วย ฉันอันที่ จริงก็ได้เรียนรู้ผ่านเขา เทียบกับผู้เล่นผิวเผินพวกนั้น ก็ไม่ แน่ว่าจะเอาชนะฉันได้ด้วยซ้ำ”
รพีพงษ์หัวเราะขึ้นมาทันที ถ้าหากว่าจำไม่ผิด ชุติเทพ ก็ได้เล่นผิวเผิน เพราะเมื่อก่อนเขาขี้เกียจจะสอน
“คุณหัวเราะทำไม? คุณไม่เชื่อในที่ฉันพูดใช่ไหม? จะ
บอกคุณให้นะ ถ้าคุณอยากเล่นชุดต่อไปกับฉัน ฉันรับ ประกันว่าคุณจะยอมแพ้ภายในสิบนาที” เจสสิก้าพูดอย่าง โกรธเกรี้ยว “พี่รพีพี่ก็เล่นหมากล้อมเป็นด้วยเหรอ ฉันไม่เคยได้ยิน
เรื่องนี้มาก่อนเลย” ไตรทศที่อยู่ด้านข้างเปิดปาก “เรื่องที่นายไม่รู้ยังมีอีกเยอะ” รพีพงษ์หันไปพูดกับ ไตรทศ
เจสสิก้าเม้มปาก แล้วเปิดปากพูดว่า “ทำเป็นลับๆล่อๆ ต่อ ให้คุณเล่นเป็น ก็เกรงว่าจะแค่มือสมัครเล่น ช่างเถอะ ยังไม่ อยากไล่บี้คุณ กลัวว่าจะทำร้ายความนับถือในตัวเองของ
คุณ”
รพีพงษ์จึงนั่งลงตรงอีกด้านหนึ่งของโต๊ะทันที ตั้ง กระดานหมาก และเปิดปากพูดว่า “ถึงยังไงอยู่เฉยๆมันก็น่า เบื่อ เล่นสักเกมก็น่าจะแก้เบื่อได้”
“ชิ คุณมีแต่จะถูกทารุณเท่านั้น” เจสสิก้าเอ่ยอย่าง ดูแคลน
“ไม่งั้นเอาอย่างนี้ ผมเล่นกับคุณตาหนึ่งวางเดิมพันกันว่า ยังไง?”
“เดิมพันอะไร?” เจสสิก้าเปิดปากถามพลางจ้องตา
“ถ้าคุณแพ้ให้ผม ต้องยอมรับผมเป็นอาจารย์ หลังจากนี้ คำสั่งของผม คุณต้องเชื่อฟัง ว่ายังไง?”