พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 60
บทที่ 60 เสียงร้องเพลงของรพีพงษ์
รพีพงษ์ชะงักไปสักพัก เขาไม่คิดเลยว่าอารียาจะอยาก ฟังเขาร้องเพลง
แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของอารียาแล้ว เขาจะ
ปฏิเสธได้อย่างไร
เมื่อบุษบากรได้ยินข้อเรียกร้องของอารียา เธอกระ พริบตาแล้วพูดว่า “แคลร์ เธอคงไม่พูดจริงหรอกนะ เขา จะร้องเพลงเป็นได้อย่างไร อย่าทำให้คนอื่นหัวใจวายไป มากกว่านี้เลย”
มีหลายคนเห็นด้วยและส่งสายตามองรพีพงษ์ด้วย ความดูถูก “นายอย่าร้องเลยน่า ฉันเป็นโรคหัวใจ ถ้าฉันหัวใจวาย
ขึ้นมานายจะรับผิดชอบไม่ไหว”
“คืนนี้ฉันยังอยากนอนหลับสบายๆ ถือว่าขอเถอะนะ อย่าทำให้ฉันฝันร้ายเลย”
“เรื่องร้องเพลงควรปล่อยให้คนที่ร้องเป็นร้องไปเถอะ ถ้าให้รพีพงษ์ร้องล่ะก็ จะกลายเป็นการทรมานพวกเรา เสียเปล่าๆ
อารียาไม่สนใจและพูดออกหน้าแทนรพีพงษ์ “รพีพงษ์ ยังไม่ได้ร้องเลยนะ ทำไมพวกนายถึงพูดแบบนี้ล่ะ เขาจะ ต้องร้องเพลงเพราะแน่ๆ”
“แคลร์ ฉันคิดว่าเธอน่าจะโดนเขาหลอกแล้วล่ะ เธอไม่ลองคิดดูหรือว่าเธอกับเขาแต่งงานกันมาตั้งกี่ปี แต่ทำไม ไม่เคยร้องเพลง โดยปกติแล้วเนี่ยนะ คนที่ไม่ร้องเพลงก็ ล้วนเป็นเพราะร้องเพลงไม่เพราะอย่างไรล่ะ เธอยังจะ สงสัยอะไรอีก”บุษบากรพูด
“แต่ว่า…ฉันคิดว่าน้ำเสียงของรพีพงษ์กับเจ้าชายขี่ม้า ขาวของเธอฟังคล้ายกันอยู่หน่อยนึง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะ ร้องเพลงเพราะก็ได้นะ” อารียาพูด
บุษบากรรีบหันไปจ้องรพีพงษ์ทันทีด้วยแววตาที่เต็มไป ด้วยความรังเกียจ
“แคลร์ ฉันไม่ได้จะเล่นงานเขาหรอกนะ นิสัยใจคอเขา เป็นอย่างไรเธอก็รู้อยู่แก่ใจ เขาจะมาเทียบชั้นกับเจ้าชาย ขี่ม้าขาวของฉันได้อย่างไร”
ในขณะที่พูดบุษบากรก็หันไปเรียกกลุ่มสาวๆเข้ามา “พวกเธอรีบมานี่เร็ว ฉันจะให้พวกเธอฟังเสียงร้องเพลง ของเจ้าชายขี่ม้าขาวของฉัน”
เธอเปิดโทรศัพท์มือถือและเปิดเสียงที่อัดเอาไว้
กลุ่มผู้หญิงฟังด้วยความเมามาย ใบหน้าแดงก่ำ เต็มไป ด้วยจินตนาการและไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
“ว้าว นี่คงเป็นเสียงร้องของไอดีดวงใจตะวันคนนั้นใช่ ไหม เพราะจริงๆด้วย”
“เสียงรพีพงษ์จะเทียบกับเสียงร้องเพลงขั้นสุดยอดถึง ระดับจิตวิญญาณอย่างเขาได้อย่างไร คาดว่าเสียงของ รพีพงษ์คงร้องได้เหมือนห่านร้อง
“รพีพงษ์ยังคิดจะร้องอยู่อีกหรือ ตอนนี้พวกเราอุตส่าห์ ได้ฟังเสียงร้องที่เพราะขนาดนี้แล้ว ถ้าเกิดฟังเขาร้องอีกก็คงต้องอ้วกออกมาจริงๆแล้ว”
“แต่ว่า…ทำไมหัวหน้าห้องถึงยังไม่กลับมาสักทีนะ จะ อ้วกอย่างไรก็ไม่น่าจะอ้วกนานขนาดนี้”
อารียารู้สึกโมโห เธอก็แค่อยากได้ยินรพีพงษ์ร้องเพลง แต่เธอกลับไม่คาดคิดว่าคนกลุ่มนี้จะตัดรอนอย่างไร้ น้ำใจ
รพีพงษ์ไม่สนใจคำพูดของคนเหล่านี้ แต่ในเมื่อบุษบา กรคิดว่าเขาเลวร้ายถึงเพียงนี้ ไม่สู้ให้เขาได้เปิดเผยตัว ตนออกไปเสียตั้งแต่วันนี้ยังดีกว่า ก็ดีเหมือนกันต่อจากนี้ ไปบุษบากรจะได้ไม่กล้าพูดคำพูดที่น่าสะอิดสะเอียนให้ เขาได้ยินอีก
เขาลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปทางฝั่งที่เลือกเพลง จาก นั้นคลิกเลือกเพลงครั้งเดียวก็พอ
เมื่อบุษบากรเห็นว่ารพีพงษ์ต้องการจะร้องเพลงให้ได้ สีหน้าเย้ยหยันที่แสดงออกมาก็ยิ่งแย่ลงจนเธอเกือบ อยากจะหนีออกไปข้างนอก
เพื่อนสมัยเรียนคนอื่นๆของอารียาก็ไม่ได้มองรพีพงษ์
ในแง่ดีสักเท่าไหร่ มีบางคนถึงกับเอามือปิดหูตัวเองเพียง
เพราะกลัวว่าเสียงของรพีพงษ์จะทำให้หูพวกเขาเปรอะ เปื้อน เมื่อเสียงดนตรีเริ่มดังขึ้น รพีพงษ์ก็หยิบไมโครโฟนแล้ว ส่งสายตามองไปที่อารียาเพียงคนเดียว
อารียาไม่สนใจเสียงนินทาที่อยู่รอบข้าง สายตาของ เธอจับจ้องไปทางรพีพงษ์เท่านั้น เธอมีลางสังหรณ์ว่ารพีพงษ์จะทำให้เธอประหลาดใจ
“อยากเห็นเธอยิ้ม อยากทะเลาะกับเธอ อยากกอดเธอ ไว้ในอ้อมแขน..”
ทันทีที่รพีพงษ์ร้องเพลง เสียงเจื้อยแจ้วภายในห้องก็ เงียบสงบลงไปชั่วขณะ
ผู้คนที่มีสีหน้าแววตาดูถูกอยู่แต่เดิม เมื่อได้ยินเสียง ร้องเพลงของรพีพงษ์ก็ถึงกับผงะ จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยน ไปเป็นความเพลิดเพลิน
เพลงนี้ช่างไพเราะเหลือเกิน
บางคนที่เอามือปิดหูก็มีสีหน้าเปลี่ยนเป็นความ ประหลาดใจ จากนั้นก็ปล่อยมือที่ปิดหูไว้
หลังจากนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เหมือนกับคนเหล่านั้น ที่เหมือนกับกำลังตกอยู่ในภวังค์
เดิมทีอารียาคิดว่าในเมื่อรพีพงษ์กล้าขึ้นไปร้องเพลง ก็ คงร้องได้ไม่เลวเท่าไหร่
ทว่าหลังจากได้ยินเสียงร้องของรพีพงษ์แล้ว อารียาก็ รู้สึกถึงความหวานซึ้งภายในหัวใจ สำหรับเสียงร้องของ รพีพงษ์ เธออธิบายได้แค่ว่ามันคือเสียงจากสวรรค์
เพราะอย่างไรก็ตามเพลงนี้เป็นเพลงที่รพีพงษ์ร้องให้ เธอฟัง อารมณ์ความรู้สึกที่แฝงอยู่ในเสียงเพลงของรพี พงษ์ อารียาสามารถเข้าใจได้ทั้งหมด คนอื่นๆอาจจะไม่ สามารถรับรู้ได้
เธอรู้สึกว่าเธอถูกชักนำเข้าสู่เทพนิยายโดยเสียงร้อง เพลงของรพีพงษ์ รพีพงษ์เป็นเจ้าชาย ส่วนเธอเป็นเจ้าหญิง พวกเขามีชีวิตที่ไร้ซึ่งความกังวลจนใครๆต่างพากัน อิจฉา
ถ้าไม่ใช่เพราะมีเพื่อนสมัยเรียนอยู่ในห้องนี้หลายคน เกรงว่าตอนนี้เธอคงวิ่งเข้าไปกอดรพีพงษ์แล้ว
ในแววตาของรพีพงษ์มองเพียงแค่อารียา ทั้งสองสบตา
กันและกันด้วยความรักใคร่ และความรู้สึกที่แสดงออกมา
ผ่านดวงตาของพวกเขาทั้งหมดนั้นกลายเป็นนกกางเขน
ที่กำลังบินสร้างสะพานเชื่อมระหว่างพวกเขาทั้งสอง
นี่เป็นครั้งแรกที่อารียารู้สึกถึงการตกหลุมรักรพีพงษ์ ความรู้สึกนั้นช่างหอมหวานทำให้เธออยากโอบกอดมัน
ไว้ตลอดเวลา
ในนี้มีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ดื่มด่ำกับเสียงร้องเพลงของ รพีพงษ์ นั่นก็คือบุษบากร
เธอไม่ได้คิดว่ารพีพงษ์จะร้องเพลงไม่เพราะ แต่ในทาง กลับกันกลับเพราะมากต่างหาก ซึ่งมันทำให้เธอตกใจเล็ก น้อย
และในขณะที่เสียงร้องเพลงของรพีพงษ์ยังคงดำเนิน ต่อไป อยู่ๆบุษบากรก็พบว่าน้ำเสียงของรพีพงษ์เหมือน กับไอดีดวงใจตะวันแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน
เธอจ้องรพีพงษ์อย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนหน้านี้เธอ เคยคุยเรื่องนี้กับอารียา แต่เธอก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก จนกระทั่งได้ยินเสียงร้องของรพีพงษ์ในตอนนี้ เธอยังคง สงสัยอยู่เล็กน้อยว่ารพีพงษ์กับไอดีดวงใจตะวันเป็นคน คนเดียวกันหรือไม่
เป็นไปไม่ได้! บุษบากรพยายามปลอบใจตัวเอง รพีพงษ์เป็นแค่ไอ้เศษสวะที่ไม่เอาไหน เขาจะเป็นเจ้าชายขี่ม้า ขาวของเธอได้อย่างไร
เรื่องนี้เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น เจ้าชายขี่ม้าขาว ของฉันรวยเสียขนาดนั้น รพีพงษ์เป็นแค่แมงดา จะเอาไป เทียบกับเขาได้อย่างไร
อย่างไรก็ตามไม่กี่วิต่อมา เธอก็นึกถึงนาฬิกาข้อมือคู่รัก เรือนละ 380,000 หยวนที่รพีพงษ์ซื้อให้อารียา และยังมี ตอนที่จ่ายค่าอาหารมื้อนั้นอีกประมาณ 90,000 หยวน
ถ้าพูดถึงเรื่องเงิน รพีพงษ์อาจจะมีมากกว่าเศรษฐีบ้าน นอกทั่วไปอีก
ถึงจะรู้ว่าเงินของเขามาจากไหน แต่อย่างไรเขาก็ไม่ใช่ เจ้าชายขี่ม้าขาวของฉันแน่ๆ บุษบากรยังคงพยายาม ปลอบใจตัวเองอย่างหนัก
“ใช่แล้ว รพีพงษ์ไม่ใช่ไอดีดวงใจตะวันหรอก ฉันจะ ต้องถามเขาให้ได้ ตราบใดที่เขาตอบฉันมาก็ถือว่า เป็นการพิสูจน์ได้แล้ว”
บุษบากรหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาทันที เธอส่ง ข้อความส่วนตัวถึงไอดีดวงใจตะวันผ่านสตูดิโอชาร์กฟัน ส์
“คุณรู้จักคนที่ชื่อรพีพงษ์หรือเปล่า?”
ในขณะนี้โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะดังขึ้นและหน้าจอก็ สว่างขึ้น
มันคือโทรศัพท์ของรพีพงษ์!
เมื่อกี้หลังจากที่เขาวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะก็ไม่ได้ขยับมันอีกเลย
บุษบากรเหลือบมองไปที่โทรศัพท์นั้นโดยไม่ตั้งใจ แต่ ในขณะนี้จู่ๆเธอก็เห็นว่ามีข้อความส่วนตัวปรากฏอยู่บน หน้า อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของสตูดิโอชาร์กฟันส์
ดวงตาของเธอเบิกกว้างทันที จากนั้นก็รีบเอื้อมมือไป หยิบโทรศัพท์
โทรศัพท์มือถือของรพีพงษ์ไม่มีรหัสผ่านจึงสามารถ เปิดดูได้เลย หลังจากที่บุษบากรเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้น มาดูก็เห็นข้อความหวานเลี่ยน ซึ่งเป็นข้อความทั้งหมดที่ เธอส่งให้ไอดีดวงใจตะวัน
“นี่..นี่เป็นโทรศัพท์ของรพีพงษ์หรือ?”
น้ำเสียงของบุษบากรสั่นเครือเล็กน้อย นี่ถือว่าเป็น ความจริงที่ไม่อาจยอมรับได้มากที่สุด ดูเหมือนจะถูกวาง ไว้ตรงหน้าเธอ
เธอเงยหน้ามองรพีพงษ์ และพบว่าในสายตาของเขามี เพียงอารียาคนเดียวเท่านั้น ความรู้สึกสูญเสียที่อธิบาย ไม่ถูกก็ปรากฏขึ้นภายในใจของเธอ
“ทำไม เจ้าชายขี่ม้าขาวของฉัน….ทำไมต้องเป็นไอ้บ้า รพีพงษ์คนนี้ด้วย ก็เห็นๆอยู่ว่าเขาก็เป็นแค่เศษสวะ เขาจะ เป็นคนเดียวกันกับไอดีดวงใจตะวันได้อย่างไร”
“แล้ว…แล้วเขาก็แต่งงานกับแคลร์ไปแล้ว งั้นฉันควรทำ อย่างไรดี”
หลังจากที่รู้ว่ารพีพงษ์คือไอดีดวงใจตะวัน ความอคติ ของบุษบากรที่มีต่อรพีพงษ์ก็ถูกลืมไปโดยปริยาย
เธอไม่ได้ใช้เวลาแค่สามนาทีในการหลงรักไอดีดวงใจ ตะวัน ดังนั้นหลังจากที่รู้ว่าไอดีดวงใจตะวันคือรพีพงษ์ สิ่ง ที่เธอกลุ้มใจที่สุดก็คือเรื่องที่รพีพงษ์แต่งงานแล้ว
เมื่อเห็นรพีพงษ์และอารียาส่งสายตาหวานซึ้งให้กัน บุษบากรก็แทบจะร้องไห้ออกมา อยู่ๆเธอก็รู้สึกว่าตัวเอง กำลังคับแค้นใจอย่างมาก เหมือนกับว่า…ผู้ชายตัวเองถูก แย่งไป
แต่อย่างไรก็ตามเขาก็เป็นสามีของแคลร์ แล้วทำไมเขา ถึงมาให้ความหวังฉันด้วยล่ะ? แล้วยังมาร้องเพลงนั้นให้ ฉันฟังทำไม?
หรือว่าโดยเนื้อแท้แล้ว รพีพงษ์ก็เป็นผู้ชายเลวๆคน หนึ่ง?
บุษบากรแอบคาดเดาในใจ แต่ถึงแม้ว่ารพีพงษ์จะเป็นผู้ ชายเลวๆคนหนึ่ง แต่เธอก็พบว่าไม่มีอะไรที่สามารถมา ต้านทานความรู้สึกของเธอที่มีต่อรพีพงษ์ได้เลย
ในไม่ช้ารพีพงษ์ก็ร้องเพลงจบ เขาวางไมโครโฟนลง แล้วกลับมานั่งข้างๆอารียา
ทุกคนยังคงมีนเมาและไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
ในเวลานี้บุษบากรหันหน้าไปทางอารียาด้วยความ กระดากอาย และพูดด้วยเสียงอ่อนเบา “แคลร์ ฉัน…ฉัน ขออยู่กับรพีพงษ์ตามลำพังสักพักได้ไหม?”