พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่ 795 ปิดฉาก
บทที่ 795 ปิดฉาก
เสียงของวฤนท์ธมฟังดูสงบนิ่งอย่างมาก แต่หลังจากฟังทั้งหมดแล้วถึงจะมองเห็นร่องรอยของบรรยากาศแห่งการฆ่าอันแสนคลุมเครือ ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว
หลังจากบดีศวรได้ฟังคำพูดนี้ของวฤนท์ธม ร่างกายก็สั่นสะท้านขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ถึงแม้เขาจะด่าวฤนท์ธมว่าเป็นเต่า แต่ในใจกลับรู้อย่างแน่ชัดว่า ความน่ากลัวของวฤนท์ธมไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้ ถ้าหากพละกำลังของหกตระกูลใหญ่ยังอยู่ในสภาวะขั้นสูงสุด บางทีเขาอาจจะยังกล้าท้าทายวฤนท์ธม แต่ว่าตอนนี้หกตระกูลใหญ่ถูกรพีพงษ์ทำลายจนแตกเป็นเสี่ยงๆไปแล้ว เขาเองก็ตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง วฤนท์ธมออกโรงเอง เขาก็เหลือแค่เพียงทางตัน
หลังจากรู้สึกได้ถึงสิ้นหวัง บดีศวรก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า : “คิดไม่ถึงเลยว่าตระกูลนักบู๊ที่สง่างามทั้งหกตระกูลใหญ่ วันนี้จะล่มสลายลงมาถึงขั้นนี้ ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่มีตาเลยจริงๆ”
วฤนท์ธมหัวเราะเยาะแล้วพูดว่า : “อย่ายัดเยียดความโง่ของตัวแกเองให้กับพระเจ้า แกลองคิดดูให้ดี ที่แกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะการตัดสินใจของตัวเองหรือเปล่า ในตอนนั้นฉันกับหกตระกูลใหญ่ไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นต่อกัน แต่พวกแกกลับยังมาหาถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง ตอนนี้ลูกศิษย์ของฉันก็ต้องมาพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ ผลสุดท้ายการต่อสู้ของพวกแกถูกโจมตีจนยับเยิน หรือว่าแกยังจะพูดได้อีกว่านี่คือการปิดหูปิดตาของพระเจ้า?”
บดีศวรได้ยินคำถามของวฤนท์ธมแล้วใบหน้าก็แสดงถึงสีหน้าท่าทางกระอักกระอ่วนใจ เมื่อโดนทิ่มแทงเข้ากลางใจจนรู้สึกอับอายแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
สิ่งต่างๆในตอนนั้น เขาเป็นผู้นำจริงๆ ในเวลานั้นเขาเองก็ทำเพื่อหน้าตาของหกตระกูลใหญ่ จากการวิเคราะห์จนถึงท้ายที่สุดแล้ว เขาคิดว่าถ้าหกตระกูลใหญ่ร่วมมือกันแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะรับมือวฤนท์ธมคนเดียวไม่ไหว
สถานการณ์ในปัจจุบันคล้ายคลึงกับในตอนนั้นมาก เพียงแต่ว่าตัวเขาได้ทำผิดด้วยการคิดเองเออเองอีกครั้ง เขาคิดว่าถ้าหกตระกูลใหญ่ร่วมมือกันจะต้องสามารถจัดการกับรพีพงษ์ได้แน่นอน อย่างไรก็ตามเขาคิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะเก่งขนาดนี้ ดังนั้นสิ่งต่างถึงได้มีวิวัฒนาการเปลี่ยนเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้
หลายปีมานี้เขาหลีกเลี่ยงเหตุผลที่เกิดขึ้นจริงในปีนั้นมาโดยตลอด เดิมคิดว่าถ้าฆ่ารพีพงษ์แล้วดึงให้วฤนท์ธมออกมาก็จะร่วมมือกันฆ่าวฤนท์ธมอีกที ความคับแค้นใจเหล่านั้นที่อยู่ในใจของเขาก็จะได้มลายหายไป ใครจะรู้เล่าว่าเพียงแค่รพีพงษ์ก็ทำให้พวกเขาใช้พลังในการต่อสู้จนหมดสิ้น ไม่ต้องพูดถึงการจัดการกับวฤนท์ธมเลย
“ฆ่าฉันเลยสิ” บดีศวรเอ่ยปาก
วฤนท์ธมยิ้มแล้วพูดว่า : “บดีศวร สิ่งที่แกคิดมันสวยงามเกินไป ฉันจะไม่ฆ่าแก ให้แกมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไป ตรงกันข้ามจะทำให้แกรู้สึกว่าเป็นเพราะการคิดไปเองของแกจึงได้สร้างความเสียหายต่อหกตระกูลใหญ่ไปตลอด แกจะต้องแบกรับความละอายใจนี้เอาไว้และมีชีวิตอยู่ต่อไป เทียบกับการฆ่าแกแล้ว สิ่งนี้ดีกว่าลงโทษแกเสียอีก ไม่ใช่หรือไง?”
บดีศวรนิ่งงันอยู่ที่เดิม ความรู้สึกคับข้องใจโผล่ขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ถ้าหากวฤนท์ธมฆ่าเขาตอนนี้เสียเลย เขาก็ยังคงมีร่องรอยศักดิ์ศรีสุดท้ายหลงเหลืออยู่บ้าง แต่วฤนท์ธมไม่ได้สนใจที่จะทำอะไรเขาเลยจริงๆ สิ่งนี้สามารถอธิบายได้เพียงวฤนท์ธมไม่เคยมองว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้เลย
ไม่มีการฉีกหน้าแบบไหนจะสามารถแทรกซึมเข้าไปถึงจิตวิญาณได้มากกว่าการถูกคนอื่นดูถูกเหยียดหยาม
ที่แท้ ความเกลียดชังที่เขาเอาแต่เฝ้าพะวงมาเนิ่นนานหลายปี ในใจของอีกฝ่ายไม่ใช่แม้แต่การผายลม
เขาบดีศวรเป็นเรื่องตลกตั้งหัวจรดเท้า!
ในกลุ่มผู้ชม ชายชุดดำมองดูสถานการณ์ในสนามแล้วก็สาปแช่งอยู่ลับๆ : “เป็นกองเศษสวะจริงๆ เป็นอย่างนี้ก็ฆ่ารพีพงษ์ไอ้เด็กคนนั้นไม่ได้แล้ว ตรงกันข้ามกลับทำให้พวกเขาต้องรอผู้ช่วยเหลือ สมควรเป็นอย่างยิ่งที่บุคคลที่ยิ่งใหญ่ของหกตระกูลใหญ่จะเป็นที่รับรู้โดยทั่วกันว่าเป็นหกตระกูลโง่เง่า!”
สิ่งที่เรียกว่าตัวแทนของวงการบู๊แห่งหัวเซี่ยยังคงเป็นกลุ่มชายหนุ่มแค่ระดับพื้นผิวและไม่สามารถขึ้นมาบนเวทีได้ ถ้ารู้อย่างนี้แต่แรก ฉันจะไม่ยอมเสียยาชั้นสุดยอดห้าเม็ดไปโดยเปล่าประโยชน์”
“ฮึ่ม รพีพงษ์ ครั้งนี้แกนับว่าโชคดี แต่ว่าฉันจะไม่ยอมล้มเลิกที่จะฆ่าแกหรอก พวกเรารอดูกันต่อไปเถอะ!”
หลังจากที่พึมพำกับตัวเองสองสามคำแล้ว ชายชุดดำก็หันหลังเดินออกไปด้านนอกของโรงยิม
จนถึงตอนนี้ ความท้าทายของรพีพงษ์ต่อวงการบู๊แห่งหัวเซี่ยในเรื่องที่เหล่าตระกูลใหญ่ทุกๆตระกูลส่งยอดฝีมือนับว่าได้ปิดฉากลงแล้ว
รพีพงษ์ต่อสู้สามสิบเจ็ดเกมติดต่อกันโดยไม่แพ้แม้แต่เกมเดียว โดยสนามสุดท้ายยังเป็นศัตรูสี่ต่อหนึ่ง ฝ่ามือที่น่าตกใจได้ส่งสองนายใหญ่แห่งตระกูลยศบวรและตระกูลเมฆมหัสไปยังปรโลก และบดีศวรกับชเยศที่ยังมีชีวิตอยู่ก็กลายเป็นคนไร้ประโยชน์
การต่อสู้ครั้งนี้ ไม่อาจที่จะไม่เรียกว่าเป็นสิ่งวิเศษหาตัวจับยาก หลายคนอัปโหลดวิดีโอที่พวกเขาได้ถ่ายเอาไว้ลงบนอินเตอร์เน็ต หลังจากที่ทุกคนเห็นเงาอันคลุมเครือของฝ่ามือในวิดีโอแล้วล้วนพูดกันว่านี่คือการประมวลผลของเทคนิคพิเศษ
ไม่มีใครเชื่อว่าความแข็งแกร่งของรพีพงษ์ได้บรรลุมาถึงขั้นที่เขาสามารถเงาสะท้อนของฝ่ามือได้แล้ว คนจำนวนมากต่างพากันคิดว่านี่คือวิดีโอที่สร้างโดยชาวเน็ตเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ชม และภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏในวิดีโอจะเป็นของจริงหรือไม่นั้น ก็มีเพียงแค่บรรดาผู้ชมที่อยู่ที่นั่นในวันนั้นที่รู้
เพราะว่าในตอนสุดท้ายของการต่อสู้ของห้าตระกูลใหญ่ได้ปิดล้อมสังหารรพีพงษ์ ทำให้วงการบู๊แห่งหัวเซี่ยได้ชื่อว่าเป็นความอัปยศอย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่นั้นมาจึงไม่ถือว่าตระกุลใหญ่เป็นมาตรฐานของวงการนักบู๊ ดังนั้น คำว่า “ตระกูลใหญ่” จึงเป็นคำด่าที่น่าอับอายอย่างไม่มีวันสิ้นสุดที่เขาต้องแบกเอาไว้บนหลัง
บดีศวรที่โชคดียังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ เมื่อมองดูทั้งหมดนี้ที่เป็นเพราะเขาและผลลัพธ์ที่ตามมา หัวใจของเขาเจ็บปวดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด วฤนท์ธมพูดถูกว่าปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่และมองดูตระกูลใหญ่ล่มสลายลงเพราะเขามันถึงจะเป็นการลงโทษเขาแล้ว
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
ที่บ้านเก่าตระกูลลัดดาวัลย์ ในห้องของรพีพงษ์ เขาได้ลืมตาขึ้นช้าๆ ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงปรากฏขึ้นภายในใจ หลังจากปรับตัวเป็นเวลานาน ถึงได้ค่อยๆดีขึ้นอย่างช้าๆ นับตั้งแต่สงครามในวันนั้น รพีพงษ์อยู่ในอาการโคม่าไม่ได้สติมาโดยตลอด ถ้าหากไม่ใช่เพราะวฤนท์ธมบอกว่าเป็นเพราะเขาบีบคั้นศักยภาพตัวเองมากเกินไปดังนั้นเขาจำเป็นต้องใช้เวลานานในการพักฟื้น อารียาคงคิดว่ารพีพงษ์จะทิ้งเธอไปอีกครั้ง
รพีพงษ์กัดฟันแล้วลุกจากเตียง เขาหันศรีษะมองเข้าไปในห้องแล้วพบว่าอารียากำลังนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะด้านข้าง จากหว่างคิ้วสามารถมองเห็นความเหนื่อยล้าของอารียาได้
รพีพงษ์เพิ่งจะลงจากเตียง อารียาก็ลืมตาขึ้นทันที หลังจากมองเห็นว่ารพีพงษ์ตื่นแล้ว ความเหนื่อยล้าในดวงตาก็หายไปโดยทันที ในทางกลับกันใบหน้านั้นมีความสุข
“ไอ้คนพาล ในที่สุดก็ตื่นแล้ว คุณไม่ทำให้ฉันกังวลไม่ได้หรือไง” อารียาบ่นใส่
รพีพงษ์ยิ้มแล้วพูดว่า : “ร่างกายที่เกิดมาก็มีแต่หาเรื่องเดือดร้อน ผมเองก็ไม่อยากได้หรอกนะ”
อารียากลอกตาแล้วพูดว่า : “คุณรีบเอนตัวนอนลงไปเลย ฉันจะไปขอให้พี่สาทำของกินให้คุณ คุณโคม่าเป็นอาทิตย์แล้ว สูญเสียสารอาหารมาตลอด ตอนนี้จะต้องหิวมากแน่ๆเลยสินะ”
หัวใจของรพีพงษ์รู้สึกอบอุ่น ความรู้สึกหลังจากฟื้นมาจากอาการโคม่าแล้วมีคนเป็นห่วงเป็นใย นั่นคือสิ่งที่เขาปกป้องมาตลอด
รพีพงษ์เชื่อฟังคำพูดของภรรยา เขาเอนหลังลงบนเตียงอีกครั้งและรออาหารเข้ามาส่งอย่างสบายใจ
หลังจากที่กินอาหารเสร็จแล้ว รพีพงษ์รู้สึกว่าพลังในตัวของเขาได้ฟื้นตัวคืนมาไม่น้อย ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ดูเหมือนว่ามนต์ลึกลับนี้จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆต่อร่างกายของมนุษย์จริงๆ ขอเพียงแค่มีเวลาพักฟื้น ก็สามารถกลับคืนสู่จุดสูงสุดได้อีกครั้ง
หลังจากที่ความแข็งแรงฟื้นตัวแล้ว รพีพงษ์ก็ออกกำลังกายภายในห้องทันที หลังจากนั้นเขาจึงเดินออกจากห้องและไปยังห้องรับรองแขกของตระกูลลัดดาวัลย์
เขารู้จากอารียาว่าในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่เขาอยู่ในอาการโคม่า อาจารย์ก็พักอยู่ที่บ้านเก่าของตระกูลลัดดาวัลย์มาโดยตลอด
ในใจของรพีพงษ์มีข้อสงสัยมากมายที่ต้องการขอคำชี้แนะจากอาจารย์ ดังนั้นเขาจึงเดินไปทางห้องที่อาจารย์อยู่ทันที
พอมาถึงหน้าประตูห้องรับรองแขก ก่อนที่รพีพงษ์จะเคาะประตูก็ได้ยินเสียงอันสงบนิ่งดังขึ้นจากด้านใน : “เข้ามาสิ”