พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่1000 รับหน้าที่เจ้าสำนักคนต่อไป
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่1000 รับหน้าที่เจ้าสำนักคนต่อไป
บทที่1000 รับหน้าที่เจ้าสำนักคนต่อไป
ได้ยินคำพูดของธัชธรรม รพีพงษ์ก็กระตุกคิ้ว ไม่คิดว่าโลกนี้จะมีเรื่องประหลาดแบบนี้อยู่ด้วย
สถานที่ที่เป็นเอกเทศจากโลก รพีพงษ์เพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรก
“ตอนนี้พวกเราไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับทวีปโอชวินมากนัก รู้เพียงแค่ว่ายอดเยี่ยมมาก แดนเทพ ที่ทวีปโอชวิน ก็เป็นแค่เริ่มต้น ห่างจากผู้แข็งแกร่งจริงๆ อีกไกลมาก” ธัชธรรมกล่าวต่อ
รพีพงษ์รีบให้เขาหยุดพูด กล่าว “พอล่ะ นี่เป็นความลับของกลุ่มสิงโต ผมรู้ให้น้อยๆหน่อยจะดีที่สุด”
ธัชธรรมหัวเราะ กล่าว “แกคือเจ้าสำนักคนถัดไปที่ฉันเลือกไว้แล้ว เรื่องนี้ ยังไงแกก็ต้องรู้อยู่วันยังค่ำ”
รพีพงษ์ชะงัก แล้วกล่าวอย่างสงสัย “เจ้าสำนักคนต่อไป? ทำไมผมไม่รู้เรื่องนี้เลย?”
“เดิมทีฉันกะว่าจะรอให้ฝีมือแกเก่งกว่านี้อีกหน่อยแล้วค่อยบอก แต่สิ่งที่ทำให้ฉันคิดไม่ถึงก็คือ ครั้งเดียวก็เลื่อนขั้น ไปเป็นแดนดั่งเทพชั้นยอดเลย ฝีมือแบบนี้ เป็นเจ้าสำนักสิงโต เหลือเฟือ ดังนั้นตอนนี้ฉันบอกแกก็ไม่เห็นจะเป็นไร” ธัชธรรมยิ้มพลางกล่าว
“ขอโทษครับ ผมไม่อยากเป็นเจ้าสำนักกลุ่มสิงโต คุณให้คนอื่นเถอะนะ” รพีพงษ์ปฏิเสธธัชธรรม
“หลังจากที่ผ่านเรื่องนี้มาแกคิดว่าตัวเองจะเป็นอิสระไม่มีข้อผูกมัดใดๆเหมือนเมื่อก่อนได้หรอ?” ธัชธรรมจ้องรพีพงษ์แล้วถาม
ได้ยินคำถามนี้ของธัชธรรม รพีพงษ์ก็ถอนอย่างเบื่อหน่าย
จากการที่เข้าใจโลกนี้มากขึ้น รพีพงษ์มีเรื่องมากมาย ไม่ใช่ว่าตัวเองคิดจะทำอะไรก็ทำได้
อย่างเช่นการลักลอบเข้ามาของคนทวีปโอชวิน รพีพงษ์จะไม่สนใจเลยก็ได้ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะเขาลงมือ ครั้งนี้ธัชธรรมอาจถูกฆ่าได้
และการที่ผู้ลี้ลับนั้นของทวีปโอชวินพาหุ่นเชิดแดนเทพมา ทำให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ
ตอนนั้น เมียและลูกตัวเอง ยังมีชีวิตอยู่อย่างสงบได้อย่างไรกัน
ดังนั้นต่อให้ทำเพื่อความสงบของเมียและลูก เขาก็ต้องลงมือ
รพีพงษ์รู้ว่าทำไมธัชธรรมจึงเลือกตนเป็นเจ้าสำนักกลุ่มสิงโต แม้เขาไม่อยากเป็น แต่ก็เป็นเรื่องที่เขาปฏิเสธไม่ได้
“ปัจจุบันนี้ฝีมือแกถึงขั้นที่สามารถต่อกรโดยลำพังได้แล้ว ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะแก ฉันอาจตายแล้วก็ได้” ธัชธรรมมองรพีพงษ์ “ดังนั้นฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าให้แกเป็นเจ้าสำนักกลุ่มสิงโตคนต่อไป”
พูดพลาง ธัชธรรมได้เอาป้ายหยิบออกมาจากชุด แล้วยื่นให้รพีพงษ์
“แม้แกจะยังละอ่อน และจากคุณสมบัติยังไม่มีสิทธิ์พอที่จะเป็นเจ้าสำนัก แต่เมื่อถึงจุดนี้ ฝีมือถึงจะเป็นทุกอย่าง และจิตใจของแก มั่นคงกว่าคนที่มีอายุกว่าร้อยปีอีก ดังนั้นฉันไว้ใจที่จะมอบตำแหน่งเจ้าสำนักนี้ให้กับแก”
รพีพงษ์มองไปยังป้ายที่วางไว้บนโต๊ะ อย่างประหลาดใจ แล้วถาม “ต่อให้คุณอยากให้ผมเป็นเจ้าสำนักกลุ่มสิงโต ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาคำบัญชาการเจ้าสำนักให้ผมตอนนี้หนิ?”
ธัชธรรมหัวเราะ กล่าว “จากเรื่องนี้ทำให้ฉันรู้ถึงสภาพร่างกายของตัวเองในตอนนี้ ฉันแก่แล้ว และถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น แม้แต่ชีวิตก็จะรักษาไว้ไม่อยู่ ดังนั้นรีบมอบตำแหน่งเจ้าสำนักนี้ไว้ก่อนจะดีกว่า”
ได้ยินคำพูดของธัชธรรม รพีพงษ์ก็รู้สึกเซ็ง เขาเข้าใจความรู้สึกของธัชธรรม แม้จะไม่อยากรับ แต่นี่คือความจริง
“แกสบายใจได้ ฉันแค่คอนเฟิร์มมันเอาไว้ก่อน ตอนนี้ก็ยังไงอิสระไม่มีข้อผูกมัดใดๆได้อยู่ เพียงแค่ฉันยังมีชีวิตอยู่ เรื่องของกลุ่มสิงโตฉันจะช่วยแกจัดการเอง แต่หลังจากที่ฉันตายแล้ว ภาระของกลุ่มสิงโต ก็อยู่ในมือของแกแล้ว” ธัชธรรมกล่าวต่อ
ครั้งนี้รพีพงษ์ไม่ปฏิเสธ แต่พยักหน้าเงียบๆ แล้วเก็บคำบัญชาการเจ้าสำนักไว้
ฝีมือยิ่งแกร่ง ความรับผิดชอบก็ยิ่งใหญ่ขึ้น
รพีพงษ์รู้ดีกับเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เขาทำมานี้ ก็เพื่อให้อารียาและหนูลินได้อยู่อย่างสงบสุข ถ้าสามารถให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์นี้ด้วย เขาก็ไม่ถือสา
“เกี่ยวกับทวีปโอชวินนั้น แกรอให้กลับไปถึงสำนักงานใหญ่กลุ่มสิงโต ให้ไปหาฉันที่เขานั้น ไปหาผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ท่านจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับทวีปโอชวินอย่างละเอียดให้แกฟัง” ธัชธรรมกล่าว
“คุณไม่กลับไปหรอ?” รพีพงษ์ถาม
“ไอ้นั่นมันเปิดทางมาที่นี่ ทางนี้ไม่มีทางหายไปง่ายๆ ฉันจะต้องไปหาทางนี้ให้ได้ เพื่อไม่ให้คนของทวีปโอชวินมาได้” ธัชธรรมตอบกลับ
รพีพงษ์พยักหน้า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งจริงๆ
“แน่นอน แกไม่ต้องเครียดมากเกินไป การเปิดทางนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าคนของทวีปโอชวินอย่างจะโลกในช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้ เป็นไปไม่ได้ แกจะทำอะไรก็ทำไป อย่าให้เรื่องนี้มากระทบเรื่องส่วนตัวของแกได้” ธัชธรรมพูดเสริม
“รับทราบ” รพีพงษ์ตอบธัชธรรมอย่างเป็นทางการ
ธัชธรรมยิ้มพลางตบไหล่รพีพงษ์ แล้วกล่าว “ความรู้สึกที่เอาภาระให้คนอื่นนั้นมันชั่งสบายจริงๆ ดูๆแล้วอนาคตฉันจะได้ผ่อนคลายลงบ้างแล้วล่ะ”
รพีพงษ์มองบน ไม่พูดอะไร
ขณะนี้ฟีน่าสวมหมวก ในมือถือตะกร้า เดินไปที่พวกเขา
“รีบมาชิมผลไม้ที่ฉันเด็ดออกมาจากสวนเมื่อกี้เร็ว ผลไม้พวกนี้ฉันปลูกมันเองกับมือเลยนะ อร่อยมาก” ฟีน่ายิ้มพลางมองไปที่ทั้งสอง
ทั้งคู่ก็เดินไปชิมด้วยมารยาท แล้วยังชมว่าผลไม้เหล่านี้อร่อย
“ฟีน่า ถ้าไม่มีเหตุอะไร เดี๋ยวพวกเราน่าจะต้องไปแล้วล่ะ” รพีพงษ์พลางกินผลไม้ที่ฟีน่ายื่นมาให้ พลางพูด
ฟีน่าได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ มือที่ยื่นอยู่ก็หยุดลง
“จะ ไปแล้วหรอ?” ฟีน่าพึมพำกับตัวเอง
“ขอบคุณคุณมากที่ดูแลพวกเราในช่วงที่ผ่านมา วิธีการหายใจออกที่ผมสอนคุณไป เพียงคุณฝึกฝนมันทุกวันตามเวลา ใช้เวลาไม่นาน ร่างกายของคุณก็จะเหมือนคนทั่วไป” รพีพงษ์พูดต่อ
ฟีน่าพยักหน้า แต่ดูออกว่าเธอไม่อยากให้รพีพงษ์จากไป
แม้จะรู้ว่าตอนแรกที่รพีพงษ์สอนวิธีหายใจออก ก็เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง แต่ฟีน่าได้เกิดความรู้สึก กับรพีพงษ์ไปแล้ว
“คนที่ควรจะพูดขอบคุณคือฉัน ชีวิตของฉันคุณเป็นคนช่วยไว้ สิ่งที่ฉันทำมาทั้งหมด ก็สมควรแล้ว” ฟีน่าตอบกลับ
เห็นท่าทางอาลัยอาวรณ์ของหญิงสาวคนนี้ รพีพงษ์ก็ยิ้ม แล้วกล่าว “อย่าทำหน้าเศร้าสิ งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ยินดีที่ได้รู้จักคุณ”
ฟีน่าเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากขยับ เหมือนอยากจะพูดอะไร
เธออยากบอกรพีพงษ์ เธอไม่เพียงแค่อยากรู้จักรพีพงษ์ เธอยังอยากรู้จักรพีพงษ์ และทำอะไรทำเป็นความทรงจำกับเขาให้มากขึ้นไปอีก
แต่ทว่าสุดท้ายเธอก็ไม่พูดออกมา เพราะเธอรู้ดี สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเธอที่ฟุ้งซ่านเท่านั้น
“เดินทางโดยสวัสดิภาพ” ฟีน่ากล่าว ด้วยรอยยิ้มที่ปลง