พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่1026 แกคิดว่าแกมีท่าไม้ตายแค่คนเดียวหรือไง
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่1026 แกคิดว่าแกมีท่าไม้ตายแค่คนเดียวหรือไง
บทที่1026 แกคิดว่าแกมีท่าไม้ตายแค่คนเดียวหรือไง
รพีพงษ์ตั้งหลัก ขมวดคิ้วมองจารุเดชที่เพิ่มพลังขึ้นอีกครั้ง ด้วยความระวังตัว
นิรภัฏเห็นเหตุการณ์นี้ ก็เป็นกังวล ตะโกนไปหารพีพงษ์ว่า “รพีพงษ์ ฉันมาช่วยแกอีกแรง! แกกับฉันร่วมมือกัน น่าจะกดไอ้แก่วิปริตนี่ได้!”
รพีพงษ์กล่าวปฏิเสธทันทีว่า “ผู้อาวุโส คุณบาดเจ็บแล้ว ต่อให้คุณกับผมร่วมมือกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร คุณสบายใจได้ ผมต่อกรกับมันได้ คุณยืนดูอยู่ข้างๆก็พอแล้ว!”
นิรภัฏไม่คิดว่ารพีพงษ์จะปฏิเสธเขา ร่างที่เตรียมจะพุ่งเข้าไปได้หยุดลงทันที
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาต้องคิดว่ารพีพงษ์จองหองเกินไป ไม่แน่อาจได้ว่าเขาสักกี่ประโยค แต่หลังจากที่ได้เห็นฝีมือของรพีพงษ์แล้วนั้น นิรภัฏได้เข้าใจ ว่าเด็กคนนี้ กับอัจฉริยะคนก่อนๆที่เขาเคยเจอมานั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
เขาเป็นเด็กที่ทำให้ทุกคนเซอร์ไพรส์ได้ และนิรภัฏก็รู้ดีว่ารพีพงษ์ไม่ใช่คนที่มั่นใจตัวเองอย่างไม่ลืมหูลืมตา ในเมื่อเขาพูดแบบนี้ นั่นก็แสดงว่ามีวิธีจัดการกับจารุเดชจริงๆ
ตอนนี้เขาบาดเจ็บสาหัส ถ้ายังต่อสู้อีกครั้ง แล้วไม่ทันได้ระวังตัว ก็จะกลายเป็นภาระของรพีพงษ์ได้ กลับทำให้เรื่องราวแย่ลงไปอีก
“ท่านปู่ทวด ท่านไม่ต้องช่วยรพีพงษ์แล้วจริงๆหรอ?” ณีรนุชเป็นห่วงรพีพงษ์ จึงถามออกมา
“ในเมื่อตัวเขาเองพูดแล้วว่าสามารถต่อกรได้ นั่นก็แสดงว่าน่าจะมีท่าไม้ตายอะไรอยู่ สังเกตความเปลี่ยนแปลงเงียบๆไปก่อน ถ้าเขาเอาไม่อยู่จริงๆ ฉันค่อยลงมือก็ยังไม่สาย” นิรภัฏกล่าวอย่างสงบ
หลังจากที่จารุเดชได้ปล่อยพลังยี่สิบปีแล้วนั้น สีหน้าของเขาก็ดูแก่ลงมาก เหมือนกับผู้เฒ่าที่มีอายุมากว่าร้อยๆปี ผมก็เปลี่ยนเป็นสีขาวหงอก บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น
เขามองรพีพงษ์อย่างกัดฟัน แล้วกล่าว “เด็กน้อย แกบีบให้ฉันปล่อยพลังสี่สิบปีออกมา ผิวพรรณที่ฉันอุตส่าห์ทะนุถนอมมาอย่างยากเย็น ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้ฆ่าแก ก็จะระบายความคับแค้นใจออกมาไม่ได้!”
รพีพงษ์บึนปากใส่จารุเดช แล้วกล่าว “เดิมทีแกก็เป็นไอ้แก่ที่อยู่มาร้อยกว่าปี แต่กลับจะทำให้ตัวเองดูอ่อนเยาว์เหมือนเด็กยี่สิบกว่าปี วิปริตแท้ๆ”
“แต่ฉันจะบอกแกอย่างรับผิดชอบก็ได้นะ ว่าการปล่อยพลังสี่สิบปี ก็ยังไม่พอ! ต่อให้แกจะปล่อยพลังทั้งหมดที่สะสมมา ยังไงวันนี้ก็ยังคงพบกับจุดจบทางเดียวคือการตาย!”
พูดจบ รพีพงษ์ไม่ลังเล ใช้วิชาลับโดยตรง ให้พลังของตัวเองเพิ่มไปยังขั้นใหม่
เขารู้ดีว่าการที่จะต่อสู้กับจารุเดชยอดฝีมือแบบนี้ห้ามอ่อนข้อเด็ดขาด และวิชาอายุวัฒนะของจารุเดชได้สะสมมาเป็นระยะเวลาร้อยปี เขาจำเป็นต้องให้จารุเดชปล่อยพลังที่มีทั้งหมดของตัวเองออกมา มิเช่นนั้นถ้ายังปล่อยเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เหตุการณ์จะไม่สู้ดีต่อรพีพงษ์
ดังนั้นเขาจึงใช้วิชาลับ
หลังจากที่รพีพงษ์เป็นแดนดั่งเทพชั้นยอดแล้วนั้น เป็นครั้งแรกที่ใช้วิชาลับ
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาคาดเดาไว้แล้ว ว่าจากการเพิ่มพลังของตัวเอง ผลลัพธ์ที่ได้จากวิชาลับจะแย่ลง แต่ความลี้ลับของวิชาลับนั้นเทียบไม่ได้ ต่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แย่ แต่สามารถทำให้ความสามารถของรพีพงษ์เพิ่มขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น
หลังจากที่ใช้วิชาลับเสร็จแล้วรพีพงษ์ก็แสดงท่าทางตกใจออกมา เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองใช้วิชาลับแล้ว เทียบได้กับวิชาสี่สิบปีที่จารุเดชใช้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่คิดก็คือ ความสามารถตอนนี้ของเขา คือแดนครึ่งแดนเทพ!
ดูๆแล้วเขารู้จักความแข็งแกร่งของวิชาลับน้อยไป
นิรภัฏสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของรพีพงษ์ กล่าวอย่างตกใจว่า “ลมปราณของเขาเปลี่ยนไปแล้ว แสดงว่าน่าจะใช้วิชาที่พิเศษบางอย่าง ทำให้พลังของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว!”
จารุเดชก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของรพีพงษ์ แต่ไม่ได้ใส่ใจ เขาไม่คิดว่ารพีพงษ์จะมีวิชาที่ลี้ลับเหมือนอย่างวิชาอายุวัฒนะ
เขาพุ่งไปหารพีพงษ์โดยตรง ลำแสงสีม่วงยิ่งใหญ่ กลายเป็นแส้ยาว ฟาดไปที่รพีพงษ์
หลังจากที่แส้นั้นมาถึงตรงหน้า รพีพงษ์ก็ยื่นมือไป จับแส้นั้นไว้ จากนั้นกลิ่นอายของพลังที่แปลกประหลาดได้ถูกปล่อยออกมา สลายแส้นั้นเป็นละออง สลายไปในบรรยากาศ
จารุเดชเห็นเหตุการณ์นี้ สีหน้าเปลี่ยนกะทันหัน ร้องออกมาอย่างตกใจว่า “เป็นอย่างนี้ไปได้ไง?! แกทำลายท่าของฉันง่ายๆอย่างงี้ได้ไงกัน?”
การโจมตีเมื่อกี้หลังจากที่เขาปล่อยวิชาสี่สิบปี ใช้พลังทั้งหมดที่มีมาโจมตี แต่กลับถูกรพีพงษ์ทำลายอย่างง่ายดายขนาดนี้
ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ!
รพีพงษ์หัวเราะจารุเดช แล้วกล่าว “แกคิดว่าแกมีท่าไม้ตายแค่คนเดียยวหรือไง?”
“จะบอกให้นะ ถ้าจะเทียบกันเรื่องท่าไม้ตาย แกไม่มีทางชนะฉันแน่!”
พูดจบ ร่างของรพีพงษ์ มีออร่าปรากฏออกมาต่อหน้าจารุเดช ดาบฟาดไปที่หัวของเขา
จารุเดชมัวแต่ยุ่งอยู่กับการต้านทาน เขามองรพีพงษ์ด้วยสีหน้าไม่ได้ พบว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของรพีพงษ์แต่อย่างใด
“เชี้ยเอ้ย วันนี้ต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีแล้วใช่มั้ย ถึงจะกำจัดแกได้เนี่ย? ”
จารุเดชกัดฟัน ไม่นาน ได้ต่อสู้กับรพีพงษ์อีกครั้ง เขาพบว่าเขาได้เสียเปรียบรพีพงษ์แล้ว
“เหอะเหอะ ถ้าตอนนี้ไม่ใช้พลังทั้งหมดที่แกมีล่ะก็ เดี๋ยวจะไม่มีโอกาสแล้วนะ”
รพีพงษ์พูดเสียดสีจารุเดช จากนั้นก็ฟันเข้าไปที่ร่างกายของเขาอีกครั้ง
จารุเดชลังเลอย่างมาก การรวบรวมวิชาอายุวัฒนะนั้นค่อนข้างยาก เขาสะสมนับร้อยปีถึงได้มีฝีมืออย่างในวันนี้ ถ้าวันนี้ใช้หมด งั้นที่เขาสะสมมาก่อนหน้านี้ ก็หมดกัน
แต่ต่อให้ไม่อยากใช้ แต่ดูไปที่รพีพงษ์ที่อยู่ข้างหน้าจะชนะเขา ทั้งหมดนี้ เขาควบคุมไม่ได้แล้ว
“เด็กน้อย วันนี้ฉันจะต้องฆ่าหั่นศพแกให้ได้ เพื่อระบายความคับแค้นในใจของฉัน!”
จารุเดชตะคอกใส่รพีพงษ์ จากนั้นทั้งตัวก็เปลี่ยนเป็นแก่ลงทันควัน เส้นผมได้เปลี่ยนเป็นสีขาวดั่งหิมะ ผิวหนังแห้งหยาบ ดูๆแล้วน่ารังเกียจ
เพื่อฆ่ารพีพงษ์ จารุเดชใช้วิชาร้อยปีของตัวเองทั้งหมดปล่อยออกมา ลักษณะของเขาขณะนี้ จึงจะเป็นสภาพจริงๆของเขา
รพีพงษ์เห็นลักษณะของจารุเดช ก็เหยียดหยาม แล้วกล่าว “ไม่แปลกที่แกต้องฝึกฝนวิชามนต์ดำเหล่านี้เพื่อรักษาผิวพรรณของตัวเอง ที่แท้แกก็รูปร่างอัปลักษณ์แบบนี้นี่เอง ตอนกลางคืน คนที่ไม่รู้ต้องคิดว่าแกเป็นผีแน่นอน!”
ขณะนี้จารุเดชได้เกลียดรพีพงษ์เข้าไส้ หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขาแล้วก็ควบคุมความโกรธที่อยู่ในใจตัวเองไว้ไม่อยู่ โบกมือ ลำแสงสีม่วงปรากฏขึ้นมา จะล้อมรพีพงษ์ไว้
ในขณะเดียวกันนี้ รพีพงษ์หยุดลง จ้องไปที่จารุเดช พริบตาเดียว ชี้ไปข้างหน้า เกิดพลังแปลกประหลาดขึ้น จากนั้นตราก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
คือวิชาโจมตีของจิตวิญญาณเทพที่รพีพงษ์ได้เตรียมไว้ตั้งนานแล้ว!
“ตราคุมจิต!”