พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่178
บทที่178 รหัสลับ
เห็นลักษณะของรพีพงษ์ ธายุกรก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา แล้วกล่าว “รพีพงษ์ แกคงไม่พูดว่าออกมาจากบ้านลืมพก กระเป๋าตังค์มานะ?
ผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ข้างๆธายุกรก็มองไปที่รพีพงษ์อย่าง ดูถูก แล้วกล่าว “คนนี้คือคนที่คุณบอกว่าเป็นไอ้สวะสินะ ไม่คาดคิดเพียงแต่ไร้ประโยชน์ แล้วยังชอบเสแสร้ง ซื้อไม่ ไหวก็คือซื้อไม่ไหว แล้วยังจะเสแสร้งอีกทำไม”
พนักงานเพิ่งมองไปที่รพีพงษ์ แล้วกล่าว “คุณผู้ชาย มิ ทราบว่าคุณอยากซื้อชุดของทางร้านเราจริงๆไหมคะ?”
ดูลักษณะแล้วเธอก็เริ่มไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ ดูออก ชัดเจนว่ารพีพงษ์ไม่มีเงินจ่าย เสื้อผ้าข้าวของที่นี่ก็แพงเป็น ธรรมดาอยู่แล้ว ใส่กล่องแล้วต้องเอาออกมาอีก จะทำให้ ชุดดูไม่ใหม่อย่างชัดเจน ไม่แน่อาจจะทำให้ชุดมีรอยยับ อีกต่างหาก ถ้ารพีพงษ์ไม่ซื้อล่ะก็ เธอแทบจะบ้าเลยล่ะ
“ขอโทษครับ ตอนผมออกมาจากบ้านลืมหยิบบัตรมา” รพีพงษ์กล่าว
“ทำไมคุณเป็นแบบนี้ ไม่มีเงินซื้อก็คือไม่มีเงินซื้อ ทำไม ยังให้ฉันเก็บใส่กล่อง มันน่าโมโหจริงๆ” พนักงานในร้านไม่ พอใจแล้วกล่าว
ธายุกรมองรพีพงษ์อย่างยิ้มเยาะเย้ย แล้วกล่าว “รพีพงษ์ แกอยู่ต่อหน้าฉันยังจะโอ้อวดอะไรอีก ฉันรู้ว่าแกก็อยากมีเกียรติศักดิ์ศรี เสียดายไอ้สวะอย่างแกนี่ ไม่ว่าจะเสแสร้ง ยังไง ก็ดูเป็นไฮโซไม่ได้หรอก”
“ตอนนี้แกคุกเข่าขอร้องฉัน ไม่แน่ถ้าฉันอารมณ์ดี ก็อาจ จะช่วยแกซื้อชุดได้นะ”
“พี่ คุณจะช่วยเขาซื้อชุดนี้จริงๆหรอ?” พนักงานในร้าน มองไปที่ธายุกร เธอไม่อยากเอาชุดที่ใส่กล่องเรียบร้อย แล้วเอากลับไปวางอีก
ธายุกรกล่าว “เพียงแค่เขาคุกเข่าขอร้องฉัน ฉันก็จะช่วย เขาซื้อ ก็แค่สามหมื่นกว่าเท่านั้น สำหรับฉัน ก็แค่เงินค่า ขนมในหนึ่งวันเท่านั้น”
เขาได้เก็บเกี่ยวกำไรสิบล้านจากบริษัทซันบับเบิ้ลกรุ๊ปไป แล้ว ตอนนี้ไม่มีทางที่จะมองสามหมื่นอยู่ในสายตาอีกต่อ
ไป
พนักงานร้านชักตาไปที่รพีพงษ์ทันที แล้วกล่าว “ตกลง คุณจะเอาชุดนี้ไหม ไม่ได้ยินพี่คนนี้พูดหรือยัง เพียงแค่ คุณคุกเข่าขอร้องเขา เขาก็จะซื้อแทนคุณแล้ว คุกเข่าแป็ป เดียวสามหมื่นหยวน คุ้มค่ามาก ถ้าคุณไม่เอา ก็รีบไสหัวไป ซะ เสียเวลาทำมาหากิน”
รพีพงษ์ได้ยินพนักงานร้านพูดดังนั้น แล้วเดินออกไปข้าง นอก อยากจะดูสักหน่อยว่าร้านนี้มีชื่อว่าอะไร
ธายุกรและพนักงานร้านคิดว่ารพีพงษ์จะไอ้สวะไปแล้ว จริงๆ หัวเราะขึ้นมาทันที
“ไอ้สวะนี่เชื่อฟังจริงๆ ให้ไสหัวไปก็ไสหัวไป”ธายุกรหัวเราะพลางพูด
ใบหน้าพนักงานร้านก็ดูเหยียดหยาม หันไปมองธายุกร แล้วหัวเราะ “ก็ยังเป็นพี่ที่ใจกว้าง พูดว่าจะซื้อก็ซื้อ ไม่ เหมือนไอ้ธรรมดานั่น ดูครึ่งวันก็ไม่ซื้อ”
รพีพงษ์มาถึงข้างนอก แล้วมองดูชื่อของร้านนี้ แล้วโทร หาเธียรวิชญ์
“ฉันจำได้ว่าในชื่อแกมีร้านเครื่องแต่งกายที่เป็นเฟรนด์ ชายด์ชื่อ ร้านมีเฟรว ร้านหนึ่งใช่ไหม?”รพีพงษ์กล่าว
“ใช่ ทำไมหรอพี่รพี”เธียรวิชญ์ถาม
“ตอนนี้ฉันอยู่ที่ ร้านมีเฟรวที่ถนนอิสรภาพ อยากจะซื้อ ชุดให้ภรรยาสักชุด แต่ออกจากบ้านลืมเอาบัตรมา” รพี พงษ์กล่าว
เธียรวิชญ์หัวเราะขึ้นมาทันที แล้วกล่าว “พี่รพี คุณไป ท่องบทกลอนกลอนนึงให้พนักงานร้านฟังนะ ม้าเร็วควบฝุ่น ฟัง จับฟ้า แดงเฮย พระสนมยิ้มร่า ยิ่งไซร้ เมื่อพวกเธอ ได้ยินแล้วจะเอาชุดให้มอบให้คุณฟรีทันที”
ใบหน้าของรพีพงศ์ประหลาดใจ แล้วกล่าว “ทำไมต้อง ท่องกลอนบทนี้?”
“โธโธ่ คือง ไม่ใช่ว่าผม…มีแฟนหลายคนหรอ ร้านมีเฟ รวนี้ก็เปิดแทนพวกเธอ เพราะร้านนี้มีเฟรนด์ชายด์เยอะ หลายคนไม่รู้ว่าผมคือเจ้าของ ทุกครั้งที่พาแฟนไปเลือกซื้อ ชุด ต้องเอาเงินจากผมทุกครั้ง ผมจึงคิดวิธีนี้ขึ้นมา”
“ผมได้ประกาศกับคนของทุกร้านแล้ว บอกพวกเธอว่าเพียงแค่มีคนไปท่องบทกลอนที่ร้าน ถูกต้องตามรหัสลับ หมายถึงเจ้าของร้านมาแล้ว สิ่งของทุกอย่างในร้านห้ามคิด เงิน บทกลอนเหล่านี้ใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น บังเอิญถึง ตอนม้าเร็วควบฝุ่นฟุ้ง จับฟ้า แดงเฮย พระสนมยิ้มร่า ยิ่ง ไซร้นี้พอดี เธียรวิชญ์อธิบายอย่างเขินอาย
รพีพงษ์หัวเราะไม่ออก ไม่คาดคิดว่าเธียรวิชญ์จะชอบ เล่นเกมอะไรแบบนี้ ทำอย่างกับหนังผู้ร้ายจับโจรอย่างไร อย่างนั้น ซื้อเสื้อผ้ายังต้องมีรหัสลับอีก
แต่รพีพงษ์ ไม่อยากให้ธายุกรดีใจจนเกินไป อีกทั้งชุดนี้ เขาชอบมันจริงๆดังนั้นถึงแม้วิธีนี้จะบ้าไปหน่อย เขาก็ จำเป็นต้องเอาชุดนั้นมาให้ได้
หลังจากวางสายแล้ว รพีพงษ์ก็กลับไปในร้านอีกครั้ง
ธายุกรและพนักงานร้านเห็นรพีพงษ์กลับมาอีกแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“รพีพงษ์ จะเอาไง แกทบทวนดีแล้วใช่ไหม อยากคุกเข่า ขอร้องฉันแล้ว?” ธายุกรหัวเราะพลางกล่าว
หนักงานร้านก็ขมวดคิ้วแล้วขมวดคิ้วอีกมองไปที่รพีพงษ์ แล้วกล่าว “ตกลงคุณจะเอาไงกันแน่? ร้านของพวกเราเป็น ร้านเครื่องแต่งกายชั้นสูง ไม่ใช่ที่ๆไอ้พวกกระจอกจะเอา ออกได้ตามสบายนะ”
รพีพงษ์เดินไปที่หน้าของพนักงานนั้น แล้วกล่าว “ม้าเร็ว ควบฝุ่นฟุง จับฟ้า แดงเฮย พระสนมยิ้มร่า ยิ่งไซร้”
ธายุกรและผู้หญิงที่เขาพามาด้วยนั้นชะงักงันชั่วครู่ แล้วมองไปที่รพีพงษ์ราวกับมองไอ้บ้าอย่างไรอย่างนั้น ธายุกร กล่าว “สมองถึงแม่งไปหมดล่ะ มาท่องบทกลอนให้เค้าฟัง ฉันไม่เคยเห็นคนที่ทำให้คนรู้สึกหมดคำพูดแบบนี้มาก่อน เลยหวะ”
ธายุกรและผู้หญิงคนนั้นรู้สึกการที่รพีพงษ์ท่องบทกลอน นั้นมันชั่งบ้าเหลือเกิน แต่พนักงานร้านคนนั้นเมื่อได้ยิน กลอนนี้แล้ว สีหน้าถอดสีทันที
ผู้จัดการร้านเคยบอกกับพวกเธอเอาไว้ เพียงแค่มีคนมา ร้านแล้วท่องบนกลอนบทนี้ ถึงแม้คนนั้นคิดจะทุบร้านนี้ทิ้ง พวกเธอก็ต้องช่วย
พนักงานรีบโค้งคำนับต่อรพีพงษ์ แล้วกล่าว “คุณผู้ชาย ขอโทษจริงๆ ฉันขอโทษกับการกระทำของฉันที่ทำต่อคุณ เมื่อสักครู่นี้ ขอคุณได้โปรดอย่าโกรธเคืองกันเลย ฉันรู้สึก ผิดแล้ว ขอโทษค่ะ”
ธายุกรและผู้หญิงคนนั้นอึ้งไปเลย มองไปที่พนักงาน อย่างอึ้ง ไม่คิดว่ารพีพงษ์ท่องบนกลอนนี้ ยังมีประโยชน์ แบบนี้ด้วย
หรือเป็นบทสาปแช่ง?
รพีพงษ์ยิ้มให้กับพนักงานร้าน แล้วกล่าว “ตอนนี้สามารถ เอาชุดนั้นให้ผมได้แล้วใช่ไหม?”
พนักงานรีบยื่นชุดนั้นให้กับรพีพงษ์ทันที แล้วกล่าว “คุณ ผู้ชาย คุณดูสิว่ายังอยากได้เสื้อผ้าตัวไหนอีกบ้าง ฉันจะ เก็บใส่กล่องให้คุณ”
“ไม่ต้องหรอก ชุดเดียวก็โอเคแล้ว”
รพีพงษ์รับชุดนั้นไป หันหน้ามองธายุกรด้วยสายตา หยอกล้อ แล้วหันหลังเดินออกจากร้านไป
ธายุกรรีบกล่าว “เขายังไม่ให้เงินเลย ทำไมคุณถึงเอาชุด ให้เขาแล้วล่ะ?”
พนักงานร้านมองไปที่ธายุกร แล้วกล่าว “เขาเป็นแขก พิเศษของทางร้าน ซื้อเสื้อผ้าไม่คิดเงิน”
ใบหน้าของธายุกรสะท้อนความมึนงงออกมา แล้วกล่าว “งั้นผมก็ท่องซักบท ก็จะไม่ต้องจ่ายเงินแล้วใช่ไหม? ม้าเร็ว ควบฝุ่นฟุ้ง จับฟ้า แดงเฮย พระสนมยิ้มร่า ยิ่งไซร้ คนทั่ว นคร ล้วนรับ รู้แฮ ลิ้นจี่จากใต้ได้ ส่งแล้วสู่วัง”
“ขอโทษค่ะ มีเพียงกลอนที่ได้ตั้งไว้เท่านั้น บทนี้ใช้ไม่ได้ ไปแล้ว” พนักงานพูดจบ ก็หันไปทำอย่างอื่นต่อ
ทิ้งไว้แค่ธายุกรและผู้หญิงคนนั้น ได้แต่มองดูกันไปมา
ขณะถือเสื้อผ้ากลับบ้าน รพีพงษ์นำชุดให้กับอารียา ให้ เธอลองใส่ อารียาดีใจอย่างมาก สวมใส่แล้วเหมือนเป็น เทพธิดาอย่างไรอย่างนั้น
ขณะนี้เธอได้รับสายของศศินัดดา ศศินัดดาพูดว่าเธอ กำลังจะโดนตีตายแล้ว ให้อารียารีบไปหาเธอที่ธนาคาร
ต่อมาอย่างเร่งรีบ รพีพงษ์ก็ได้รับโทรศัพท์หนึ่งสาย พูด ว่าพวกเขาได้จับคนที่ขโมยบัตรธนาคารของรพีพงษ์ไว้แล้ว ให้รพีพงษ์ไปรับบัตร
รพีพงษ์มองไปที่อารียาอย่างแปลกใจ แล้วถาม”แม่คุณ ขโมยบัตรผมไป?”
ใบหน้าอารียาเต็มไปด้วยความสงสัย แล้วกล่าว “ฉัน
ไม่รู้”
จากนั้นเธอก็รีบเข้าไปดูในห้อง พบว่าบัตรธนาคารบนตู้ หัวเตียงนั้นไม่มีแล้ว
“แย่แล้ว ต้องเป็นแม่ฉันเอาบัตรเธอไปแน่ๆเลย มิน่าล่ะ ตอนนั้นถึงถามฉันว่ารหัสบัตรคือเลขอะไร”อารียากล่าว
รพีพงษ์รู้ว่าถ้าพนักงานธนาคารเห็นบัตรใบนี้ของเขาแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น ผู้จัดการธนาคารต้องคิดว่าศศินัดดาเป็น โจรขโมยบัตรแน่นอน แล้วต้องเค้นเธออย่างเอาเป็น เอาตายแน่นอน…
สองคนรีบเดินออกจากวิลล่า รีบเดินไปทางธนาคาร หลังจากถึงธนาคารแล้ว รพีพงษ์เห็นผู้จัดการยืนอยู่ที่ หน้าประตู จึงรีบเดินเข้าไป
ผู้จัดการเห็นรพีพงษ์มาถึงแล้ว แล้วกล่าวทันทีว่า “คุณ รพี พวกเราจับคนที่ขโมยบัตรคุรได้แล้ว ตอนนี้กำลังเค้น ถามเธออยู่ แต่ไม่ว่าจะยังไงเธอก็ไม่ยอมรับ นี่บัตรของ คุณ”
รพีพงษ์รับบัตรนั้นมา แล้วรีบถาม “ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?” ผู้จัดการพารพีพงษ์และอารียาเดินไปยังห้องรับรองแขกพิเศษ รู้สึกบรรยากาศแปลกๆ
ในตอนแรกเขาคิดว่าเขาได้ช่วยรพีพงษ์จับโจรขโมย บัตรยังไงรพีพงษ์ก็ต้องขอบคุณเขาบ้างล่ะ แต่ดูจาก ท่าทางของรพีพงษ์แล้ว เหมือนจะไม่มีการขอบคุณอย่างไร อย่างนั้น
สามคนมาถึงห้องรับรองพร้อมกัน เปิดประตูออกมา ข้าง ในยังได้ยินเสียงร้องอันโหยหวนของศศินัดดาอยู่เลย
ลองจากที่เดินเข้าไปแล้ว รพีพงษ์ก็เห็นผู้รักษาความ ปลอดภัยคนนึงกำลังตบศศินัดดาอยู่ แล้วใบหน้าของศศิ นัดดาก็ปูดบวมขึ้นมาแล้ว ดูอำนาจเหลือเกิน
“หยุดก่อน!” รพีพงษ์ตะโกนออกมา
ผู้รักษาความปลอดภัยคนนั้นหัวหน้ามาดู เห็นว่าเป็นผู้ จัดการ ก็หยุด
อารียารีบวิ่งไปที่ศศินัดดา แล้วรีบพยุงเธอขึ้นจากพื้น แล้วกล่าว “แม่ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หลังจากที่ศศินัดดาเห็นอารียามา แล้วรีบปืนขึ้นไปที่อ้อม กอดของอารียาร้องไห้ออกมาทันที ใบหน้าเต็มไปด้วย ความเน้อยเนื้อต่ำใจ “ลูกสาว ธนาคารนี้ไม่ใช่ที่ๆคนจะอยู่ เลยนะ พวกเขาพูดว่าฉันขโมยบัตรธนาคารของคนอื่นมา แล้วยังลงมือทุบตีฉัน แกต้องช่วยฉันนะ”
“คุณขโมยบัตรธนาคารของรพีพงษ์ไปใช่ไหม?” อารียา
ถาม
“อะไรบัตรธนาคารของรพีพงษ์ นั่นมันเป็นของฉัน นั่นเรียกว่าฉันขโมยหรอ ธนาคารนี้เลวร้ายมาก ต้องเป็น ธนาคารมืดแน่ๆ พวกเราไปรายงานความผิดของพวกเขา กัน” ศศินัดดาร้องไห้พลางกล่าว
อารียาเสียอารมณ์ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับแม่คนนี้แล้ว
แต่เธอก็ไม่ได้โทษธนาคาร คิดๆดูแล้ว บัตรใบนี้ก็คือศศิ นัดดาขโมยมาจริงๆ ครั้งนี้ศศินัดดาได้รับการสั่งสอนแล้ว บ้าง ต่อไปเธอจะต้องไม่กล้าทำแบบนี้แล้วแน่นอน
ผู้จัดการเห็นเหตุการณ์นี้ ชะงักทันที อารียากับรพีพงษ์ มาด้วยกัน มองออกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่คือสามี ภรรยา
แล้วหญิงที่ถูกพวกเขาจับมาเค้นหาคำตอบนั้น ก็คือแม่ ของเด็กสาวคนนี้ นั่นก็หมายความว่า ผู้หญิงคนนี้….
สีหน้าของผู้จัดการเปลี่ยนเป็นซีดทั้งที รีบยื่นมาตบหน้า ตนเองกี่ฉาด แล้วกล่าว “คุณรพี ผมไม่รู้จริงๆว่าผู้หญิงคนนี้ คือแม่ยายของคุณ ผมยอมรับผิด ได้โปรดยกโทษให้ผม ด้วย ถ้ารู้ตั้งแต่แรก ผมจะไม่ให้พวกเขาจับแม่ยายของคุณ เอาไว้”
รพีพงษ์ปวดหัวทันที แล้วกล่าวอย่างละอายใจ “คุณอย่า โทษตัวเองเลย แม่ยายคนนี้ ชอบทำเรื่องแบบนี้ ครั้งนี้ให้ เธอได้เสียเปรียบบ้าง สำหรับเธอแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ดี”