พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่681 ด่าหนึ่งประโยคหนึ่งหมื่น
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่681 ด่าหนึ่งประโยคหนึ่งหมื่น
บทที่681 ด่าหนึ่งประโยคหนึ่งหมื่น
ทุกคนตะลึงกับเงินในกระเป๋า อย่างในกระเป๋าสองใบนี้ เกรงว่าน่าจะมีเงินอยู่หลายล้าน
คุ้มขวัญเบิกตากว้างจ้องไปที่เงินในถุง แล้วเอ่ยปากว่า: “นาย….นายคงไม่ได้ไปปล้นธนาคารมาใช่มั้ย?”
ดำเกิงก็ไม่เคยเห็นเงินมากมายขนาดนี้มาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้ตะลึงเหมือนกับคุ้มขวัญพวกเขา ท้ายที่สุดแล้วเขารู้ดีว่าศิษย์พี่ของตัวเองคนนี้เป็นนายใหญ่ของตระกูลลัดดาวัลย์ในเกียวโต เป็นคนที่มีฐานะมีตำแหน่ง เอาเงินหลายล้านออกมา สำหรับเขาแล้วน่าจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ
ในขณะเดียวกันเขาก็เกิดซาบซึ้งในใจ รพีพงษ์เพื่อระบายความโกรธแทนเขา กลับนำเงินสดจำนวนมากมายขนาดนี้มา เป็นศิษย์พี่ที่ดีในประเทศจีนจริงๆ!
เงินสด ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ก็มีแรงดึงดูดที่หาที่เปรียบไม่ได้ รพีพงษ์เปิดถุงเงินทั้งสองใบออก ในไม่ช้า ที่นั่งของพวกเขาก็ถูกรายล้อมหนาแน่มาก ผู้คนจำนวนมากมายที่เต้นรำในตอนแรกก็หยุดแล้วดูความครึกครื้นเช่นกัน
“ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น เงินมากมายขนาดนี้ เพียงพอให้ฉันใช้ได้ไปตลอดชีวิตแล้ว”
“แม่งเอ๊ย นี่พวกนั้นทำอะไรกัน พวกเขาเอาเงินมาฟาดคนเหรอ? ถ้าหากเป็นแบบนี้ ฉันอยากจะบอกว่า เชิญฟาดฉันให้ตายไปเลย!”
“เพื่อนคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงอวดดีกว่าคุณหนูตระกูลวิรุฬห์ธนกิจ เขาไม่กลัวว่าเงินจะถูกปล้นเหรอ?”
……
รพีพงษ์จ้องมองคุ้มขวัญ จากนั้นก็พูดเสียงดังกับทุกคน: “ทุกคน ตอนนี้พวกเรามาเล่นเกมกัน ทุกคนมาสิทธิ์เข้าร่วมเล่น เพียงแค่พวกคุณอยู่ต่อหน้าคุณหนูตระกูลวิรุฬห์ธนกิจ ด่าหล่อนหนึ่งประโยค ก็สามารถรับเงินจากฉันได้หนึ่งหมื่น สิ่งสำคัญคือห้ามด่าซ้ำในสิ่งที่คนอื่นด่า เงินก็อยู่ในนี้ ด่าเสร็จมาเอาด้วยตัวเอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ ทุกคนต่างก็ตกตะลึง เพียงแค่ด่าคุณหนูตระกูลวิรุฬห์ธนกิจหนึ่งประโยค ก็สามารถรับเงินหนึ่งหมื่น การซื้อขายนี้คุ้มไม่คุ้มค่า ในใจทุกคนรู้ดี
ดำเกิงหัวเราะเสียงดัง และยกนิ้วโป้งให้รพีพงษ์ แล้วพูดว่า: “ศิษย์พี่ พี่ก็ยังสุดยอดกว่า!”
คุ้มขวัญหน้าเขียว ไอ้หมอนี่ให้หนึ่งหมื่นหยวนกลับให้คนอื่นมาด่าตัวเองหนึ่งประโยค มันจะมากเกินไปแล้วจริงๆ
“ฉันจะดูว่าใครมันกล้าด่าฉัน ถ้าหากอยากตาย พวกแกก็ลองดู!”คุ้มขวัญเอ่ยปาก
“นายรีบไสหัวไปให้พ้นๆหน้าฉันซะ ถ้าภายในห้านาทีนายยังไม่ออกไปจากที่นี่พร้อมกับเงินพวกนี้ของนาย ฉันก็จะไม่เกรงใจแล้ว!”คุ้มขวัญจ้องไปที่รพีพงษ์อีกครั้ง
รพีพงษ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม: “ทำไม เกมแบบนี้ เธอเล่นได้ ฉันเล่นไม่ได้หรือไง?”
“ทุกคนก็ไม่ต้องกลัวหล่อน แสงที่นี่มืดขนาดนี้ พวกคุณด่าหล่อนเสร็จเอาเงินไป ต่อให้หล่อนอยากจะหาเรื่องพวกคุณ ก็ไม่รู้ว่าพวกคุณเป็นใคร!”
ผู้คนไม่น้อยกระตือรือร้นอยากที่จะลอง รพีพงษ์พูดถูก มีคนมากมายอยู่ที่นี่ ต่อให้ด่าคุณหนูตระกูลวิรุฬห์ธนกิจ หล่อนก็ไม่มีทางคิดบัญชีกับพวกเขาได้
เมื่อคุ้มขวัญเห็นรพีพงษ์พูดแบบนี้ ก็กัดฟันอย่างโกรธๆ และพูดด้วยความโกรธ: “เขาก็เป็นแค่ยาจกคนหนึ่ง เงินพวกนี้ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน ไม่แน่อาจขโมยมา ถ้าพวกแกกล้าเอา ถึงตอนนั้นก็รอเข้าคุกไปพร้อมกับเขาเถอะ!”
รพีพงษ์หยิบใบเสร็จออกมาจากเสื้อผ้าทันที แล้วตบลงบนโต๊ะ แล้วพูดว่า: “นี่คือใบเสร็จที่ถอนเงินมาจากธนาคาร ถ้าหากพวกคุณไม่สบายใจ สามารถดูได้”
แม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืนก็ตาม แต่ด้วยฐานะของรพีพงษ์ ต้องการหาธนาคารสักแห่งเพื่อถอนเงิน ก็แค่โทรศัพท์
คุ้มขวัญขนลุกทันที คาดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะเตรียมพร้อมขนาดนี้ หล่อนไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้กลับอย่างไร
“คุ้มขวัญก็แค่บ้าคลั่งหลงตัวเอง ถ้าหากไม่มีฐานะของคุณหนูตระกูลวิรุฬห์ธนกิจ หล่อนก็ถูกทำร้ายจนตายไปนานแล้ว!”
ในขณะนี้จู่ๆก็มีเสียงตะโกนจากฝูงชน จากนั้น มือข้างหนึ่งก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบเงินจำนวนปึกหนึ่งหันหลังแล้ววิ่ง โดยที่ทุกคนเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาไม่ชัดเจน
คุ้มขวัญเต็มไปด้วยความโกรธ และตะโกนว่า: “รีบจับตัวคนคนนั้นให้ฉันเดี๋ยวนี้!”
อย่างไรก็ตามไม่มีใครสนใจหล่อนสักคน
เมื่อเห็นว่ามีคนเอาเงินวิ่งหนีได้สำเร็จ คนที่เหลือก็เริ่มรู้สึกทนความกระสับกระส่ายของตัวเองไม่ไหว ในพริบตาเดียว เสียงที่ด่าคุ้มขวัญก็เริ่มต่อเนื่องกันไปเป็นระลอก
“คุ้มขวัญจองหองพองขน โดยไม่สนใจกฎ เป็นความชั่วร้ายทั้งอำเภอคีงเมน!”
“คุณหนูตระกูลวิรุฬห์ธนกิจขี้เหร่ แต่งหน้าได้เหมือนกับผี ทำให้คนขยะแขยง!”
“ถ้าคุ้มขวัญไม่ได้เกิดมาอยู่ในตระกูลวิรุฬห์ธนกิจ คงจะไปขายตัวตั้งนานแล้ว หล่อนก็เป็นแค่ผู้หญิงน่าโง่ที่ไร้สมอง!”
……
คุ้มขวัญฟังเสียงของคนที่ด่าตัวเอง โกรธจนหน้าเริ่มแดงก่ำ ผู้คนในเหตุการณ์มากมายขนาดนี้ แม้ว่าหล่อนจะมองเห็นใบหน้าของคนเหล่านั้น แต่หล่อนจำมันไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะจับพวกเขาออกมาจากในอำเภอคีงเมนที่ใหญ่ขนาดนี้
ดำเกิงมองดูท่าทางของคุ้มขวัญก็รู้สึกสะใจในใจ และพูดใส่หล่อนว่า: “เธอเก่งนักเก่งหนาไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ถูกทุกคนด่า รู้สึกอย่างไร? เธอรู้หรือไม่ว่าอะไรสนุกที่สุด? สิ่งสนุกที่สุดก็คือคำพูดที่พวกเขาด่าถูกทั้งหมดเลย!”
คุ้มขวัญกรีดร้อง จากนั้นหันไปมองทายาทเศรษฐีหลายคนด้านข้างตัวเอง เอ่ยปากว่า: “ตอนนี้พวกเรารีบรวบรวมเงิน สองหมื่นด่าพวกเขาหนึ่งประโยค ฉันไม่เชื่อว่าพวกเขายังจะด่าฉันอีก”
ทายาทเศรษฐีเหล่านั้นหน้าหงิกหน้างอ แม้ว่าฐานะทางบ้านของพวกเขาจะดี แต่กระเป๋าสองถุงที่รพีพงษ์เอามาอย่างน้อยน่าจะมีสองถึงสามล้าน พวกเขาเป็นเพียงแค่ทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในอำเภอคีงเมน จะรวบรวมเงินจำนวนมากมายขนาดนี้ได้ในคราวเดียวได้อย่างไร
แม้แต่คุ้มขวัญ บนตัวก็มีเงินสดไม่เกินหนึ่งแสน เล่นเกมกับคนอื่น ก็เพียงแค่ไม่กี่ร้อย อย่างวิธีของรพีพงษ์ด่าหนึ่งประโยคให้หนึ่งหมื่น แม้แต่คิดพวกเขาก็ยังไม่กล้าเลย
“คุ้มขวัญ สองหมื่นด่าหนึ่งประโยค แพงเกินไปนะ ตอนนี้พวกเราเอาเงินมากมายออกมาไม่ได้ ถ้างั้นก็….ช่างมันเถอะ”คนคนหนึ่งพูดอย่างระมัดระวัง
“งั้นพวกคุณก็จะมองดูคนพวกนี้ด่าฉันเหรอ? พวกเขาด่าได้น่าเกลียดขนาดนี้ มันน่าโมโหจริงๆเลย!”
คุ้มขวัญแทบจะบ้าคลั่ง แต่ก็ทำได้เพียงมองดูอยู่เฉยๆ
“หวังว่าเรื่องวันนี้จะเป็นบทเรียนให้กับเธอได้ ถ้าหากจะแข่งการใช้เงิน เธอยังห่างไกลอีกมาก”รพีพงษ์พูดกับคุ้มขวัญด้วยรอยยิ้ม
“ฝากไว้เถอะพวกแก ฉันกลับไปจะให้พ่อของฉันและพี่ชายไปจับตัวพวกแก ถึงตอนนั้นฉันจะทรมานพวกแกให้ตายเลย!”คุ้มขวัญพูดอย่างโหดร้าย
รพีพงษ์เบะปาก แล้วพูดว่า: “ไม่ต้อง พวกเราจะไปหาถึงที่เองเลย เงินพวกนี้ก็เก็บไว้ที่นี่ ถ้าหากเหลือ ก็ถือสักว่าเลี้ยงเหล้าเธอละกัน ฉันว่าเงินพวกนี้ไม่เหลือแน่”
พูดจบ รพีพงษ์ก็พาดำเกิงหันออกไปแล้วเดินออกจากบาร์
คุ้มขวัญก็อย่างกับคนบ้า โยนเงินและแก้วเหล้าบนโต๊ะลงกับพื้น
“พวกน่าโง่ ก็แค่เศษเงินไม่กี่สตางค์ พวกแกไม่มีหลักการเลยเหรอ!”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเศษเงินพวกนี้ เธอคิดว่าพวกเราจะกลัวเธอเหรอ? สมองกลวงจริงๆ!”
คนพลุกพล่านอยู่พักใหญ่ และในช่วงความโกลาหล ผู้คนมากมายยังถือโอกาสด่าระบายอารมณ์ว่าให้คุ้มขวัญ
เช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวที่คุณชายโธวัตของตระกูลวิรุฬห์ธนกิจตั้งเวทีประลอง “เศษสวะที่สุดในจักรวาลไม่มีใครเทียบได้” แพร่กระจายไปทั่วทั้งอำเภอคีงเมน