พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่792 ลวงตา
ทที่792 ลวงตา
หลังจากเวทัสได้ยินคำพูดของดำเกิงแล้วก็ตบลงไปบนหัวของเขาโดยตรงแล้วพูดว่า : “ระเบิดตัวเองระเบิดหัวนายเองน่ะสิ เขาเป็นอย่างนั้นสาเหตุเพราะการขยายตัวอย่างฉับพลันของพลังงานในร่างกาย มากที่สุดก็ระเบิดแค่เส้นเลือดเส้นเดียว”
ดำเกิงไม่ขยับจากนั้นพูดว่า : “เส้นเลือดแตกก็น่ากลัวมากอยู่ดีนั่นแหละ ลูกพี่ทำแบบนี้ได้ยังไงกัน?”
“ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ว่าน่าจะเหมือนกับสี่ปรมาจารย์ที่กินยาบางอย่างเพื่อเพิ่มพลัง ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่รพีพงษ์กินจะต้องน่ากลัวกว่าสิ่งที่สี่ปรมาจารย์กินเสียอีก” เวทัสคาดเดา
หลังจากที่ชายชุดดำที่นั่งอยู่ไกลออกไปอยู่ในอาการตะลึงแล้วก็กลับมานั่งในตำแหน่งเดิมและพึมพำว่า : “ด้วยอายุของเจ้าหนูนี่ ถึงแม้ว่าจะมีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งขนาดไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไปถึงธรณีประตูนั้น มันน่าจะเป็นแค่ฉันคิดมากไป ที่ตอนนี้จู่ๆเขาก็ระเบิดพลังที่น่ากลัวนี้ออกมาได้ อาจเป็นเพราะเขากินยาเพิ่มพลังบางชนิด แต่ผลของยาเม็ดนี้น่ากลัวมากไปหน่อย น่ากลัวว่าถึงเป็นเจ้าสำนักลงมือเองก็ไม่แน่ว่าจะสามารถกลั่นยาระดับนี้ออกมาได้ เจ้าเด็กคนนี้ได้ยาเม็ดนี้มาจากไหนกันแน่?”
ในขณะที่ทุกคนต่างเริ่มต้นคาดเดาว่าทำไมจู่ๆรพีพงษ์ถึงสามารถระเบิดพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ออกมาได้ ส่วนใหญ่แล้วคิดว่าเพราะรพีพงษ์กินยา แต่สุดท้ายแล้วของลี้ลับประเภทนั้น ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้าใจได้
หลังจากที่รพีพงษ์รู้สึกได้ถึงพลังที่พลุ่งพล่านในร่างกายของเขาแล้ว เขาก็มีความปรารถนาที่จะระบายพลังเหล่านี้ออกไปอย่างเร่งด่วน เขาจ้องมองไปที่พวกของบดีศวรทั้งสี่คนจากนั้นก็ยิ้มและกล่าวว่า : “ตอนนี้ถือว่าการต่อสู้ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว แต่หวังว่าพวกคุณจะสามารถต้านทานความแข็งแกร่งของผมได้!”
ทันทีที่เสียงสิ้นสุดลง รพีพงษ์ก็พุ่งตรงไปทางพวกบดีศวรทั้งสี่คนราวกับกระสุนปืน เพราะความเร็วที่รวดเร็วเกินไปของเขาทำให้เกิดเสียงแตกอยู่ในอากาศเบาๆ
ระหว่างที่พลังของรพีพงษ์ได้รวมตัวกันแล้วกวาดตรงไปยังพวกบดีศวรทั้งสี่คน ทุกคนที่สนามได้เห็นพลังของคนๆหนึ่งในรูปแบบของรูปธรรมเป็นครั้งแรก สิ่งนี้ไม่สามารถใช้เหตุผลเดิมๆมาอธิบายได้อีกต่อไป
“พวกเรารีบร่วมมือกันตั้งรับการโจมตีของเขา พลังของเขาแข็งแกร่งมาก คนเดียวรับมือไม่ไหวแน่!” บดีศวรตะโกนเสียงดัง จากนั้นเขาก็รวบรวมพลังทั้งหมดของตนเองเอาไว้บนฝ่ามือของเขา พวกของชเยศสามคนเองก็รีบยืนอยู่ด้านหลังบดีศวรแล้วรวมพลังทั้งหมดของตนเองไปบนตัวของบดีศวร
รพีพงษ์ฟาดฝ่ามือออกไปทางบดีศวร บดีศวรต้านทานสุดกำลัง การปะทะกันของสองพลัง ทำให้เวทีที่สร้างจากโลหะเกิดแรงสั่นสะทือนอย่างรุนแรงในชั่วพริบตา ในจุดที่มาบรรจบกันมีรอยแตกปรากฏออกมาโดยตรง
เมื่อรพีพงษ์ได้ปลดปล่อยพลังในตัวออกมา เขาก็รู้สึกสดชื่นในชั่วพริบตา ความรู้สึกที่เหมือนจะระเบิดเมื่อกี้นี้บรรเทาลงในเสี้ยววินาที
ในทางกลับกันพวกของบดีศวรทั้งสี่คน หลังจากที่บดีศวรรับกระบวนท่านี้ของรพีพงษ์ พลังในตัวของรพีพงษ์ได้ส่งลงไปบนร่างของคนทั้งสี่ บดีศวรรู้สึกอย่างล้ำลึกที่สุด เขาส่งเสียงอู้อี้แล้วกระอักเลือดออกมา พวกของชเยศเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าบดีศวรมากนัก เพราะไม่สามารถทนต่อพลังของรพีพงษ์ได้ ทั้งหมดจึงตกลงไปบนพื้นโดยตรง
รพีพงษ์เองก็คิดไม่ถึงว่าพลังที่ตัวเองเพิ่งจะปล่อยออกมามีความรุนแรงมาก บนหน้าจึงปรากฏร่องรอยแห่งความสุข
ตอนนี้กล่าวได้ว่าเขาเป็นแดนปรมาจารย์ที่ไร้ซึ่งคู่ต่อกรจริงๆ ถึงแม้ว่าศัตรูจะกินยาที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งแล้วก็ตามแต่ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
“พวกคุณมีความสามารถแค่นี้เองเหรอ? ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้ น่ากลัวว่าวันนี้พวกคุณสี่คนจะต้องพ่ายแพ้อย่างหนักเสียแล้ว” รพีพงษ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
บดีศวรเช็ดเลือดที่มุมปากของตัวเองแล้วกัดฟันพูดว่า : “รีบลุกขึ้นเร็วเข้า เมื่อกี้นี้เขาเพิ่งจะระเบิดพลังที่มีอานุภาพแข็งแกร่งออกมา ตอนนี้พละกำลังในตัวของเขาอ่อนลงไปมากเพราะการระเบิดกระบวนท่าเมื่อกี้ เวลาในตอนนี้มีค่าจะช้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นถ้ายาหมดฤทธิ์ พวกเราก็ไม่มีวิธีจัดการเขาได้แล้วจริงๆ!”
พวกของชเยศทั้งสามคนล้วนแต่อดกลั้นต่อความเจ็บปวดในตัวแล้วลุกขึ้นจากพื้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อมองไปที่รพีพงษ์ที่อยู่ตรงหน้า ในใจของพวกเขารู้สึกได้ถึงความสิ้นหวัง
ทั้งสี่คนไม่มีความลังเลอีกต่อไปต่างเข้าไปล้อมรอบรพีพงษ์ไว้อีกครั้ง
รพีพงษ์ได้ปล่อยพลังในตัวออกมาพร้อมกระบวนท่าเมื่อกี้นี้แล้วจะต้องอ่อนแอลงอย่างแน่นอน แต่ทว่านั่นเป็นเพียงคำพูดที่สัมพันธ์กันเท่านั้น รพีพงษ์ในตอนนี้ยังคงไม่ใช่สิ่งที่พวกของบดีศวรทั้งสี่คนจะร่วมกันรับมือได้
การต่อสู้บนสังเวียนได้ยกระดับเพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อสักครู่นี้ เพียงแต่ว่าจากที่เมื่อสักครู่นี้จบลงที่การไล่ต้อนรพีพงษ์มาโดยตลอด ได้กลายเป็นรพีพงษ์ไล่ทุบตีพวกของบดีศวรทั้งสี่คน
ผู้ชมทั้งหมดได้มองดูการต่อสู้บนสังเวียน ความกระตือรือร้นของแต่ละคนได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เสียงเชียร์และเสียงตะโกนโห่ร้องได้ดังขึ้นตามมาไม่หยุด
“เวทัส ฉันรู้สึกว่าดูเหมือนศิษย์พี่รพีพงษ์จะเก่งกว่าอาจารย์แล้วนะ” ดำเกิงมองไปที่รพีพงษ์บนสังเวียนแล้วพึมพำกับตัวเอง
เวทัสเพ่งสมาธิแล้วพูดว่า : “สิ่งนี้มันพูดยาก นายเคยเห็นอาจารย์แสดงฝีมือแล้วงั้นเหรอ?”
ดำเกิงส่ายหัวแล้วพูดว่า : “ยังไม่เคย แต่ว่าที่ตอนนี้ศิษย์พี่รพีพงษ์เผชิญหน้าอยู่คือปรมาจารย์ในระดับยอดฝีมือสี่คนเลยนะ ยิ่งไปกว่านั้นปรมาจารย์ยอดฝีมือทั้งสี่ยังกินยาด้วย การเตรียมตัวออกรบอย่างนี้นับว่าแข็งแกร่งที่สุดในแดนปรมาจารย์แล้วใช่หรือเปล่า? ถึงแม้อาจารย์จะมาแล้ว น่ากลัวว่าไม่แน่อาจจะจัดการไม่ได้ก็ได้ใช่ไหมล่ะ?”
“ไม่แน่หรอก นายเริ่มต้นช้าเลยไม่รู้ความสำเร็จในอดีตที่ผ่านมาของอาจารย์ ตอนนั้นฉันเห็นอาจารย์ใช้พลังของตัวเองคนเดียวต่อสู้กับปรมาจารย์ยอดฝีมือหกคน ยิ่งไปกว่านั้นในการต่อสู้นั่น อาจารย์ชนะโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย นายคิดว่าอาจารย์เก่งหรือว่าเป็นรพีพงษ์ที่เก่งกันล่ะ?”
หลังจากที่ดำเกิงได้ยินดวงตาก็เบิกกว้างทันที คิดไม่ถึงเลยว่าในอดีตอาจารย์จะกลับกลายเป็นคนน่ากลัวและโหดเหี้ยมขนาดนี้
ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆอย่างนั้นก็ไม่แน่แล้วว่ารพีพงษ์จะแข็งแกร่งกว่าอาจารย์
“ฉันเคยได้ยินอาจราย์พูดว่า แดนปรมาจารย์ไม่ใช่ปลายทางของการบู๊ ข้างบนแดนปรมาจารย์ก็ยังมีดินแดนที่เหนือกว่า ส่วนอาจารย์จะถึงดินแดนนั้นหรือไม่ก็ไม่มีทางรู้ได้” เวทัสกล่าวพึมพำ
ดำเกิงไม่ทันที่จะได้ถามเวทัสว่าดินแดนที่อยู่เหนือแดนปรมาจารย์คืออะไร เพราะว่าในเวลานี้การต่อสู้บนเวทีได้สิ้นสุดลงแล้ว ผู้ชมทุกคนในสนามต่างนิ่งเงียบ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่อยากส่งเสียง แต่เป็นเพราะพลังที่แผ่กระจายออกมาจากตัวรพีพงษ์น่ากลัวเกินไป บีบบังคับให้พวกเขาไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆออกมาได้ เพียงแค่มองดูรพีพงษ์ที่ดูราวกับว่ามีพายุไซโคลนปรากฏออกมาอยู่รอบตัวเขา แล้วพลังของเขาก็ไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง
“ตอนนนี้ ผมจะจบการต่อสู้ของเกมนี้ด้วยการโจมตีที่รุนแรงที่สุดเท่าที่ผมทำได้ในปัจจุบัน คุณจะรอดจากกระบวนท่านี้ของผมหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความโชคดีของพวกคุณแล้ว!”
รพีพงษ์ตะโกนเสียงดัง จากนั้นการเคลื่อนไหวของเขาเปลี่ยนไป ทันใดนั้นเขาก็กระแทกฝ่ามือออกไปทางด้านหน้า
“ฝ่ามือธันเดอร์!”
บนท้องฟ้าของโรงยิมมีเสียงฟ้าร้องที่แผ่วเบาดังขึ้นราวกับเป็นภาพลวงตา และดูเหมือนว่าทุกคนในสนามจะได้ยินมัน
และหลังจากที่รพีพงษ์ผลักฝ่ามือออกไปข้างหน้า ฝ่ามือไม่ปรากฏชัดเจนมากนัก แต่ก็อยู่ในที่ขั้นที่ดวงตาสามารถมองเห็นเงาซ้อนกันของฝ่ามือแล้วปรากฏตรงหน้าของพวกบดีศวรสี่คน ถึงแม้ว่าฝ่ามือของรพีพงษ์จะไม่ได้กระแทกร่างของพวกเขาทั้งสี่คน แต่พวกเขาทั้งสี่ปลิวออกนอกเวทีไปเหมือนเส้นโค้งของพาราโบลา