พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่869 นายสู้ฉันไม่ได้
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่869 นายสู้ฉันไม่ได้
บทที่869 นายสู้ฉันไม่ได้
นิรภัฏมองดูพรยศที่กระโดดออกมาจากบ่อน้ำเย็นด้วยใบหน้าเขียว คาดไม่ถึงว่าลูกศิษย์ที่ตัวเองภาคภูมิใจขนาดนี้ กลับพ่ายแพ้ให้กับลูกศิษย์ที่ธัชธรรมพามา
นี่เป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง
พรยศมองไปที่นิรภัฏด้วยสีหน้ารู้สึกผิด และเอ่ยปากว่า: “ศิษย์ไร้ความสามารถ ทำให้อาจารย์อับอาย”
นิรภัฏส่งเสียงเย็นชา ไม่ได้สนใจพรยศ แววตาก็ตกอยู่ที่บนตัวรพีพงษ์ที่ยังคงยืนหยัดอยู่ในบ่อน้ำเย็น
เมื่อณีรนุชเห็นพรยศออกมาจากบ่อน้ำเย็น ใบหน้าที่สวยเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เอ่ยปากว่า: “ศิษย์พี่ทำไมพี่ออกมาแล้ว พี่รีบกลับเข้าไปเดี๋ยวนี้ พี่พ่ายแพ้แบบนี้แล้ว ฉันก็ไม่มีทางที่จะได้สั่งสอนผู้ชายคนนี้”
พรยศมองไปณีรนุชอย่างพูดไม่ออก หนึ่งชั่วโมงครึ่ง ถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้ว ถ้าหากยังยืนหยัดต่อไป รากฐานก็จะได้รับบาดเจ็บจริงๆ เพื่อความชนะชั่วครั้งชั่วคราว ทำลายรากฐานทั้งชีวิตนี้ของตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องที่ไม่คุ้ม
แต่แม้ว่าเขาจะออกมาก่อนรพีพงษ์ ในใจเขาก็ยังคงคิดว่าที่รพีพงษ์สามารถอยู่ได้นานขนาดนี้ เป็นเพราะสมรรถภาพทางกายพิเศษ หรือว่ามีวิธีบ้างหลีกเลี่ยงความหนาวเย็นได้ ไม่มีทางที่จะอาศัยความแข็งแกร่งของตัวเองต้านทานไว้ได้
ธัชธรรมยิ้มและลุกขึ้น มองไปที่นิรภัฏแล้วพูดว่า: “ดูเหมือนว่าลูกศิษย์ของฉันจะแข็งแกร่งกว่า เพื่อนเก่า ออมมือให้จริงๆ”
นิรภัฏหันหน้ามองไปที่ธัชธรรม ในแววตามาพร้อมกับความไม่พอใจอย่างเห็นได้ ส่งเสียงเย็นชาว่า: “เขาสามารถอยู่ในบ่อน้ำเย็นนี้ได้นานขนาดนี้ เป็นเพราะนายเอาของอะไรที่ต้านทานความเย็นให้เขาใช่มั้ย?”
ธัชธรรมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมา แล้วพูดว่า: “นี่คือนายกำลังปรักปรำฉันอยู่จริงๆ การประลองนี้นายเป็นคนพูดออกมาอย่างกะทันหันเอง การประลองของนายฉันจะรู้ล่วงหน้าได้อย่างไร ยังให้ของที่ต้านทานความเย็นกับเขาอีก”
“ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่พวกเขาทั้งสองคนเข้าสู่ในบ่อน้ำเย็น ทั้งคู่ต่างก็ถอดเสื้อผ้าออก นายเห็นได้อย่างชัดเจน ต่อให้ฉันอยากจะให้ของต้านทานความเย็นกับเขาก็คงจะไม่จำเป็นต้องใช้”
นิรภัฏหรี่ตาลง สิ่งที่ธัชธรรมนั้นถูกต้องจริงๆ เมื่อดูจากสถานการณ์นี้แล้ว รพีพงษ์ไม่มีทางที่จะเอาของอะไรมาโกงได้จริงๆ
เพียงแต่เขาไม่ยอมเชื่อว่าจะมีคนที่สามารถสู้กับลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจที่สุดได้ ที่สำคัญคนคนนี้ยังเป็นลูกศิษย์ของธัชธรรม สิ่งนี้ทำให้ข้างในใจของเขาไม่พอใจมาก ดังนั้นจึงอยากที่จะอธิบายด้วยไม่ค่อยเต็มใจ
ณีรนุชมองไปที่รพีพงษ์ที่ยังคงอยู่ในบ่อน้ำเย็นโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ และเริ่มกระทืบเท้าด้วยความกังวล
“ไอ้หมอนี่คงจะไม่ใช่ว่าตายอยู่ด้านในไปแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นทำไมถึงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เขาไม่มีสมองจริงๆ เพื่อชนะแล้วชีวิตของตัวเองก็ไม่เอาแล้ว ฉันว่าการประลองครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นโมฆะเถอะ”ณีรนุชเอ่ยปาก
เมื่อรพีพงษ์ได้ยินคำพูดของณีรนุช ลืมตาขึ้นอีกครั้ง แล้วกระโดดออกมาจากบ่อน้ำเย็น
ตอนนี้เขาถือได้ว่าชนะพรยศแล้ว แม้ว่าเขายังสามารถที่จะอยู่ในบ่อน้ำเย็นต่อไปได้อีกนาน แต่ก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
บ่อน้ำเย็นนี้สำหรับแดนครึ่งเทพอย่างรพีพงษ์แล้ว ไม่ได้มีผลกระทบที่มาก อยู่ต่อไปก็มีแต่จะเสียเวลา
“ฉันยังมีชีวิตอยู่อย่างสบายดี เธอไม่สามารถทำให้การประลองนี้เป็นโมฆะได้เพียงเพราะเขาพ่ายแพ้แล้วเธอจะได้รับบทลงโทษ ทำแบบนี้ ไม่มีจิตวิญญาณของยอดฝีมือศิลปะการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย”รพีพงษ์จ้องมองไปที่ณีรนุชแวบหนึ่ง
ณีรนุชมองไปที่รพีพงษ์อย่างทำอะไรไม่ได้ กัดฟันพูดว่า: “ตอนนั้นฉันก็คิดว่านายตายไปแล้ว คาดไม่ถึงว่านายยังมีชีวิตรอดอยู่ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นโมฆะแล้ว ฉันณีรนุชเป็นคนที่ยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้เลยเหรอ?”
รพีพงษ์ยิ้มเล็กน้อย: “ถ้าอย่างนั้นก็ดี”
พรยศมองไปที่รพีพงษ์ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ หลังจากที่ออกมาจากบ่อน้ำเย็น สีหน้าของเขาก็ดีขึ้นมาไม่น้อย ความแข็งแกร่งในร่างกายของเขาก็ฟื้นฟู่กลับคืนมา มองดูท่าทางของรพีพงษ์ที่คิดว่าตัวเองชนะ ในใจของพรยศก็ไม่พอใจมาก
เขาก้าวเดินไปข้างหน้า เอ่ยปากว่า: “นายสามารถอยู่ในบ่อน้ำเย็นได้นานขนาดนี้ ทำให้คนนับถือจริงๆ แต่ฉันคิดว่าสิ่งนี้ไม่สามารถแสดงถึงความแข็งแกร่งของแต่ละคนได้ บางทีร่างกายของตัวนายเองอาจจะทนต่อความหนาวเย็นได้ ดังนั้นฉันอยากจะต่อสู้กับนาย ไม่รู้ว่านายจะยอมรับคำท้านี้ของฉันมั้ย?”
หลังจากที่ณีรนุชได้ยินคำพูดของพรยศ ก็กลอกตาไปมา ก็รีบพูดตามอย่างรวดเร็วว่า: “ใช่ๆ ศิษย์พี่พรยศพูดถูก เพียงแค่ประลองกันใครทนความหนาวได้ก็บอกอะไรไม่ได้ สิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับสมรรถภาพทางร่างกายของแต่ละคนมาก ถ้าจะประลองก็ประลองการต่อสู้ มีเพียงต่อสู้กันอย่างแท้จริง ถึงจะรู้ว่าใครกันแน่ที่แข็งแกร่งกว่ากัน”
เมื่อธัชธรรมและรพีพงษ์ทั้งสองคนได้ยินคำพูดของพวกเขาทั้งสอง ต่างก็รู้ว่าพวกเขาพ่ายแพ้แล้วไม่พอใจ ธัชธรรมไม่ได้พูดอะไร ในใจของเขารู้ดีว่า ถ้าหากประลองการต่อสู้ พรยศก็จะไม่มีโอกาสชนะ
ในใจของนิรภัฏก็ไม่อยากให้ลูกศิษย์ของตัวเองพ่ายแพ้ไปแบบนี้ ก็ต้องเอาคืนมาหนึ่งรอบถึงจะได้ ต่อให้การเดิมพันประลองบ่อน้ำเย็นยังไม่นับ เขาก็ไม่อยากเห็นใบหน้าแก่ๆที่ภาคภูมิใจของธัชธรรม
ดังนั้นเขาจึงส่งสายตาที่ยืนยันให้พรยศ ให้เขาท้าทายรพีพงษ์ ตัวเองกลับไม่พูดอะไร
เมื่อพรยศได้คำยืนยันจากนิรภัฏ ในใจก็มีความมั่นใจ มองไปที่รพีพงษ์อีกครั้ง เอ่ยปากถาม: “ทำไมไม่พูดล่ะ หรือว่านายกลัวเหรอ?”
รพีพงษ์ยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า: “นายเอาชนะฉันไม่ได้”
พรยศเสียงเย็นชาในทันที เอ่ยปากว่า: “ยังไม่ได้ลงมือ นายรู้ได้อย่างไรว่าฉันเอาชนะนายไม่ได้ ฉันว่าก็แค่ข้ออ้างของนายเท่านั้นเอง ไม่อยากต่อสู้ก็ได้ การประลองบ่อน้ำเย็นฉันพ่ายแพ้ฉันก็จะยอมรับ แต่นายอยู่ในใจของฉัน ก็เป็นแค่คนขี้ขลาดตาขาวที่ไม่กล้ารับคำท้าตลอดไปเท่านั้นเอง”
ณีรนุชก็ยิ่งยุยงอยู่ข้างๆว่า: “ถูกต้อง นายก็เป็นแค่คนขี้ขลาดตาขาว!”
รพีพงษ์จนปัญญา จากนั้นก็เอ่ยปากว่า: “ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ละกัน ฉันใช้เพียงท่าทางเดียว ถ้าหากนายสามารถรับมือกับท่วงท่านี้ของฉันได้ ถือว่านายชนะแล้ว ถ้าหากนายรับมือไม่ไหว ก็สามารถยอมพ่ายแพ้ได้ทันที”
เมื่อเห็นรพีพงษ์พูดเช่นนี้ พรยศส่งเสียเย็นชา แล้วพูดว่า: “พูดโอ้อวดอย่างไม่รู้สึกกระดากอายจริงๆ ฉันไม่เชื่อ ท่วงท่าเดียวของนายก็สามารถเอาชนะฉันได้”
หลังจากพูดจบ พลังอานุภาพแดนปรมาจารย์ชั้นสูงสุดบนตัวเขาก็ปะทุแผ่ออกมาทันที มองไปที่รพีพงษ์ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
เมื่อรพีพงษ์เห็นว่าพรยศวันนี้ไม่ได้ต่อสู้รอบนี้ก็จะไม่หยุด ดังนั้นก็ตั้งใจที่จะไม่พูดเรื่องไร้สาระต่อไป
ในเมื่อเขาอยากรู้ว่าตกลงตัวเองพ่ายแพ้อย่างปรักปรำหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นตัวเองก็จะทำให้เขาเข้าใจ ทำไมเขาถึงพ่ายแพ้ได้
หลังจากพูดจบ รพีพงษ์หมุนเวียนเน่ยจิ้งในร่างกาย พลังอันทรงพลังหนึ่งชั้นก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ แสงสีขาวก็พุ่งออกมา จากนั้นเขายกขึ้นมา มองไปทางที่พรยศ ต้องการฟาดฝ่ามือออกไป
หลังจากที่นิรภัฏเห็นฉากนี้ หน้าก็ถอดสี ยังไงเขาก็คาดไม่ถึง ลูกศิษย์คนนี้ของธัชธรรม จะเป็นยอดฝีมือแดนครึ่งดั่งเทพคนหนึ่ง
ไม่แปลกใจที่พรยศจะพ่ายแพ้ให้กับเขา ในเมื่อเป็นแดนครึ่งดั่งเทพ แดนก็สูงกว่าแดนปรมาจารย์ชั้นสูงสุดอย่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ต่อให้พรยศจะใช้ความสามารถทั้งหมดในร่างกาย ก็ไม่สามารถเอาชนะรพีพงษ์ได้
เห็นได้ชัดว่าพรยศไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งนี้ และยังคงกระตือรือร้นที่จะต่อสู้กับรพีพงษ์
นิรภัฏยืนคั่นกลางระหว่างทั้งสองคนทันที เอ่ยปากว่า: “พอได้แล้ว ไม่ต้องต่อสู้แล้ว การประลองถือว่านายชนะ”
พรยศถึงกับงงไปชั่วขณะ ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆนิรภัฏถึงพูดประโยคแบบนี้ ทั้งๆที่เขาและรพีพงษ์ยังไม่ได้เริ่มต่อสู้กันด้วยซ้ำ