พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่938 หนังสือโบราณ
บทที่938 หนังสือโบราณ
ในห้องสมุดของตระกูลตรีศาสตร์ รพีพงษ์กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือ บนโต๊ะวางหนังสือที่ค่อนข้างโบราณเอาไว้หลายเล่ม กระดาษเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สันปกเป็นม้วน แต่เห็นเนื้อหาด้านในชัดเจนไม่มีปัญหาอะไร
รพีพงษ์นั่งดูหนังสืออยู่ที่นี่มาหลายชั่วโมง สีบนท้องฟ้าได้มืดมิดลง แสงไฟส่องสว่าง แสดงถึงการมาถึงของค่ำคืน
ขณะนี้ธีรนุชและนลินีสองพี่น้องกำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากห้องสมุด กำลังพูดกันอย่างเบาๆ ไม่กล้าพูดเสียงดังมากนัก กลัวจะกระทบการอ่านหนังสือของรพีพงษ์ แต่ดูออกว่าทั้งสองพี่น้องพูดคุยกันอย่างมีความสุข
แม้ก่อนหน้านี้รพีพงษ์ใช้พลังจิตวิญญาณเทพทำให้พวกเธอบาดเจ็บ แต่เพื่อสามารถที่จะรับใช้รพีพงษ์ได้ทุกเวลา ทั้งสองคนจึงอดทน ตั้งแต่เล็กพวกเธอทั้งสอนได้ผ่านการฝึกฝนจิตใจ การควบคุมจิตใจจึงดีกว่าคนทั่วไป ยืนหยัดมาสักระยะแล้วก็ยังไม่มีปัญหาใดๆ
ตอนนี้ธีรนุชกำลัง เล่าเรื่องบางอย่างของรพีพงษ์ให้กับนลินีที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดอะไรขึ้นบ้างแล้ว
นลินีค่อนข้างตั้งใจฟัง ในขณะเดียวกันก็ได้ตะลึงกับสิ่งที่รพีพงษ์ทำมา เธอไม่เคยคิดมาก่อน ว่ามีคนใช้พลังของตัวเอง ต่อกรกับห้าตระกูลใหญ่วงการบู๊ แม้กระทั่งผู้นำตระกูลกิติมหาคุณที่เป็นระดับน่าเคารพของโลกวิชาเวทย์ก็ฆ่ามาแล้ว
นี่สำหรับวัยรุ่นที่อายุยังไม่ถึงสามสิบปี เป็นเรื่องที่สามารถโอ้อวดได้ตลอดชีวิต
บวกกับวันนี้ที่รพีพงษ์ใช้ความสามารถของตัวเองกำจัดจิตวิญญาณเทพของบรรพบุรุษที่อยู่มาห้าร้อยปีของตระกูลตรีศาสตร์ได้ ชัยโรจน์อยู่ในจิตวิญญาณของนลินีมานานขนาดนี้ ฝีมือของเขาน่ากลัวขนาดไหนนลินีรู้ดี
ดังนั้นตอนนี้นลินีเลื่อมใสในรพีพงษ์อย่างเต็มที่ เธอไม่เคยเห็นผู้ชายที่เก่งกาจขนาดนี้มาก่อนเลย
ตอนที่เธอพูดกับรพีพงษ์ว่าจะแต่งงานกับรพีพงษ์ เป็นเพราะรู้สึกซาบซึ้งอย่างสุดซึ้ง แต่ตอนนี้เธอชอบรพีพงษ์เข้าให้แล้วล่ะ
แต่เสียดายที่รพีพงษ์แต่งงานแล้ว ความคิดทั้งหมดของเธอ ก็ทำได้เพียงเก็บมันไว้เท่านั้น
“เฮ้อ คนที่เก่งกาจขนาดนี้ ถ้ายังไม่แต่งงานคงดีนะ ต่อให้มีแฟนก็ยังโอเค ตอนนี้แม้แต่ความหวังเล็กน้อยก็ไม่เหลือ” นลินีอุทานออกมา
ธีรนุชรีบปิดปากหัวเราะ แล้วกล่าว “พี่ เริ่มบ้าผู้ชายอีกแล้วนะ”
“ชิ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าแกคิดอะไรอยู่นะ ความคิดแกก็น่าจะคล้ายๆของฉันนะ โชคดีที่เขาแต่งงานแล้ว มิเช่นนั้น เราสองพี่น้องก็ต้องเป็นศัตรูกันไปแล้วสิ?” นลินีกล่าว
ธีรนุชที่ถูกพูดโดนใจก็ก้มหน้าเขินอาย ไม่พูดกับพี่สาวอีก
ในห้อง รพีพงษ์เอาหนังสือโบราณเล่มนั้นวางลง แล้วถอนหายใจยาวๆ ใช้เวลามาทั้งบ่าย สุดท้ายเขาก็อ่านหนังสือโบราณของตระกูลตรีศาสตร์จบเสียที
ในนั้นมีการอธิบายจิตวิญญาณเทพอย่างละเอียด หลังจากที่ดูจบแล้ว รพีพงษ์ได้เข้าใจสภาพของตัวเองในตอนนี้เป็นอย่างมาก
ดวงจิตที่อยู่ในหัวของเขา แน่นอนแล้วว่าเป็นจิตวิญญาณเทพ และรพีพงษ์ได้รู้ว่า เรื่องจิตวิญญาณเทพโดยกำเนิดนี้เป็นเรื่องที่หมื่นปีก็ไม่ค่อยได้เห็น ดังนั้นหลังจากที่สูดไม้เทพแดงเข้าไปแล้วนั้น จึงได้เห็นจิตวิญญาณเทพของตัวเองตื่นภวังค์
ถ้าไม่ใช่จิตวิญญาณเทพโดยกำเนิด ต่อให้รพีพงษ์เกิดมาก็เริ่มฝึกฝนจิตวิญญาณเทพ ก็ไม่มีทางที่จะอายุยี่สิบกว่าปี แล้วจะสำเร็จตื่นภวังค์จิตวิญญาณเทพได้
แม้ธีรนุชจะห่างจากตื่นภวังค์จิตวิญญาณเทพอีกแค่ขั้นเดียว แต่ขั้นนี้ อาจจะต้องใช้ชีวิตเธอทั้งตลอดชีวิตกว่าจะสำเร็จก็เป็นได้
ก็เพราะอ่านหนังสือโบราณของตระกูลตรีศาสตร์ รพีพงษ์จึงได้รู้ว่าครั้งนั้นที่สูดไม้เทพแดงไปนั้นมากมายขนาดไหน ครั้งนั้นถ้าไม่ใช่เพราะโชคดี ต่อให้มีร้อยชีวิต ก็ไม่พอให้รพีพงษ์มีชีวิตได้
ถ้าทำใหม่อีกครั้ง รพีพงษ์ไม่มีทางบีบให้จิตวิญญาณเทพตื่นภวังค์อย่างแน่นอน
ในหนังสือโบราณไม่ค่อยเขียนเกี่ยวกับจิตวิญญาณเทพโดยกำเนิดมากนัก เพราะผู้ที่มีจิตวิญญาณเทพโดยกำเนิดต่อให้อยู่ในยุคของชัยโรจน์ก็ทำได้น้อยมาก เปอร์เซ็นต์ที่จิตวิญญาณโดยกำเนิดจะเกิดขึ้นได้นั้น น้อยยิ่งกว่าการถูกล็อตเตอร์รี่หลายร้อยเท่า ดังนั้นชัยโรจน์ก็ไม่มีทางเสียแรงอธิบายเกี่ยวกับจิตวิญญาณเทพโดยกำเนิดมากมายขนาดนั้น
ที่เหลือในหนังสือโบราณเขียนไว้ว่า จะทำอย่างไรให้ฝึกฝนจิตวิญญาณเทพได้ อีกทั้งการเตรียมพร้อมเพื่อตื่นภวังค์จิตวิญญาณเทพ ถึงแม้เรื่องพวกนี้ไม่มีประโยชน์ใดๆต่อรพีพงษ์ แต่จากสิ่งเหล่านี้ รพีพงษ์ก็ได้เข้าใจเกี่ยวกับจิตวิญญาณเทพขั้นพื้นฐานบางส่วน
ตัวอย่างเช่นความสามารถที่รพีพงษ์ปล่อยพลังจิตวิญญาณเทพออกมากเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์รอบๆ ชื่อว่าพลังจิต เมื่อปล่อยพลังจิต ไม่ว่าสิ่งไหนก็ไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาไปได้
ขอบเขตที่พลังจิตครอบคลุมกับความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณเทพมีความสัมพันธ์กัน เหมือนกับตอนที่รพีพงษ์เพิ่งตื่นจากภวังค์จิติวญญาณเทพ รับรู้เพียงรัศมีระยะห้าเมตรเท่านั้น แต่เมื่อดูดพลังจิตวิญญาณเทพของชัยโรจน์เข้าไปแล้วนั้น ได้ไปถึงระยะร้อยเมตร
ขณะเดียวกันยอดฝีมือแดนเทพของธัชธรรม ในหนังสือโบราณนี้ ก็มีเขียนไว้ ด้านในเขียนว่าถ้าอยากเป็นแดนเทพ ต้องตื่นภวังค์จิตวิฐฐาณเทพก่อน ตอนนี้รพีพงษ์เพิ่งจะเข้าใจว่าทำไมธัชธรรมถึงได้คิดว่าตนจะเป็นคนที่มีความหวังเป็นแดนเทพมากที่สุด
ในขณะเดียวกันบนหนังสือโบราณนี้ยังมีความรู้ที่มีประโยชน์ต่อรพีพงษ์อีกมากมาย หลังจากที่อ่านหนังสือโบราณเหล่านี้จบแล้ว รพีพงษ์จึงเข้าใจถึงความแปลกประหลาดของจิตวิญญาณของมนุษย์
ก่อนหน้านี้เขาคิดเสมอว่าโลกจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นอ่อนแอมาก ต้องการเนื้อหนังมังสาหุ้มไว้เพื่อความอยู่รอด เพียงแค่ทำให้เนื้อหนังแข็งแรง จิตวิญญาณจึงจะมีสุขภาพดี
แต่หลังจากที่อ่านหนังสือโบราณพวกนี้จบแล้ว รพีพงษ์ได้เข้าใจในจิตวิญญาณของคนๆหนึ่งที่อาจไปถึงระดับที่น่ากลัวได้ แข็งแกร่งอย่างมหาศาล ใช้แค่พลังจิตวิญญาณของตัวเอง ก็สามารถฉีกเนื้อหนังมังสาของคู่ต่อสู้ได้
มียอดฝีมือจิตวิญญาณเทพบางคน สามารถคร่าชีวิตของคนนับแสนในสนามรบได้เพียงชั่วพริบตา โดยการใช้พลังอันน่ากลัวของจิตวิญญาณเทพ
ความสามารถแบบนี้ แม้จะมีเนื้อหนังที่แข็งแรง ก็เทียบไม่ได้
แต่การที่จะเป็นระดับนี้ได้นั้น ยากเอาการอยู่ แล้วต่อให้เป็นยอดฝีมือแดนเทพ ก็ยังคงให้ความสำคัญมากกับพลังของร่างกาย น้อยนักที่จะมีคนเสียเวลาและพลังในการศึกษาค้นคว้าจิตวิญญาณเทพ เพราะนี่ยังไม่มีผลลัพธ์ที่ได้จากการฝึกฝนร่างกายให้เห็น
ตระกูลตรีศาสตร์มอบวิชาฝึกจิตวิญญาณนั้นให้รพีพงษ์ รพีพงษ์ยังไม่ทันได้อ่าน เพราะไม่รีบ ตระกูลตรีศาสตร์ได้นำวิธีการฝึกฝนเล่มนั้นให้รพีพงษ์ รพีพงษ์วางแผนว่ากลับไปแล้ว ค่อยตั้งใจศึกษาค้นคว้า
หลังจากที่วางหนังสือโบราณลงแล้ว รพีพงษ์ก็ยืนขึ้น บิดขี้เกียจ มองไปที่กำแพง การพูดคุยของนลินีสองพี่น้องที่อยู่ด้านนอก ความจริงแล้วเขาใ้ช้พลังจิตได้ยินหมด
ได้ยินเนื้อหาที่สองพี่น้องพูดกัน รพีพงษ์ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวแล้วยิ้มออกมา
เขาเดินไปที่ประตู ในขณะเดียวกันนี้เอง ในสมองเขาก็เกิดความคิดขึ้นมา แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
จากนั้นเขาก็ปล่อยพลังจิตออกมา ทำตามเนื้อหาที่ระบุไว้ในหนังสือโบราณ ใช้วิธีที่พิสดาร ครอบนลินีและธีรนุชสองพี่น้องไว้
จากนั้นเขาผลักประตู เดินไปที่สองพี่น้อง แต่สิ่งที่ประหลาดคือ นลินีสองพี่น้องเหมือนไม่เห็นรพีพงษ์เลย รพีพงษ์เดินผ่านพวกเธอไป พวกเธอทั้งสองก็ยังคงพูดคุยอย่างเขินอายอยู่ เหมือนกับไม่เห็นอะไรผิดแปลกไปอย่างนั้น