พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - บทที่978 ดาราจันทร์ปรียา
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- บทที่978 ดาราจันทร์ปรียา
บทที่978 ดาราจันทร์ปรียา
ในห้อง รพีพงษ์กำลังเก็บข้าวของ ยังบ่นว่าธัชธรรมกี่คำในใจเป็นครั้งเป็นคราว
เดิมทีเขาคิดว่าธัชธรรมเริ่มลงมือตรวจสอบเรื่องในครั้งนี้ เขาก็สามารถผ่อนคลายไปได้บ้าง รวมทั้งครั้งนี้เขาได้ช่วยจารุวิทย์ ก็ถือได้ว่าชดใช้บุญคุณตอนนั้นแล้ว ไม่แน่เขาก็จะสามารถกลับบ้านไปอยู่กับอารียาและขวัญนลินเป็นระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นไปที่กลุ่มสิงโตเอาหยกโยงจิตทั้งสามชิ้นแล้ว ไปหาอาจารย์
คิดไม่ถึงว่าธัชธรรมจะต้องการให้เขาไปที่ประเทศรัสเซียด้วยกัน
เขาบอกกับธัชธรรมว่าความแข็งแกร่งของตัวเองอ่อนแอเกินไป ไปด้วยมีแต่จะสร้างความลำบาก และไม่สามารถแสดงผลออกมาได้มาก เนื่องจากผู้ลึกลับคนนั้นสามารถฝึกฝนยอดฝีมือแดนดั่งเทพขั้นต้นห้าคนได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ความแข็งแกร่งคงจะไม่อ่อนแออย่างแน่นอน อย่างน้อยรพีพงษ์ก็ไม่สามารถรับมือกับมันได้อย่างแน่นอน
แต่ธัชธรรมบอกว่าบนร่างกายของรพีพงษ์มีค่ายกล พลังของค่ายกลนี้เพียงพอที่จะทำให้รพีพงษ์แสดงผลอย่างมาก เปลี่ยนเป็นคนอื่น ถึงจะกลายเป็นภาระของธัชธรรม
รพีพงษ์ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากรับปากกับธัชธรรม
หลังจากที่ตกลงเรื่องนี้กันแล้ว ธัชธรรมก็บอกว่าตัวเองยังมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการ และให้รพีพงษ์ไปที่ประเทศรัสเซียก่อน ตรวจสอบสถานการณ์
ธัชธรรมจะปรากฏตัวในช่วงเวลาที่สำคัญ ตามที่เขากล่าว นี่เพื่อหลีกเลี่ยงการดึงดูดความสงสัยของผู้ลึกลับคนนั้น
แต่ในมุมมองของรพีพงษ์ ธัชธรรมก็เพียงแค่ใช้เขาเป็นเครื่องมือ ให้เขาไปตรวจสอบจุดประสงค์ที่ผู้ลึกลับคนนั้นจัดงานเลี้ยงให้ชัดเจนก่อน
อย่างไรก็ตามรพีพงษ์ได้เข้าร่วมกลุ่มสิงโตแล้ว คำสั่งของเจ้านายจึงไม่สามารถฝ่าฝืนได้เป็นธรรมดา ทำได้เพียงมาเก็บข้าวของอย่างว่าง่าย ตั้งใจเดินทางไปเมืองหลวงของประเทศรัสเซีย เมืองมอสโก
หลังจากที่เก็บข้าวของเรียบร้อย รพีพงษ์ก็ไปพบจารุวิทย์อีกครั้ง และส่ง มอบวิชาหายใจออกฉบับย่อและแผนการฝึกซ้อมที่เขากำหนดให้กับทหารมังกร
หลังจากอธิบายเรื่องราวทุกอย่างชัดเจน รพีพงษ์บอกลาจารุวิทย์ จากนั้นภายใต้การจัดเตรียมของจารุวิทย์ ออกจากเปร์คิงอย่างลับๆ และมุ่งหน้าไปยังเมืองโตกี้ ไปขึ้นเครื่องบินที่นั่นไปยังประเทศรัสเซีย
สนามบินเมืองโตกี้
รพีพงษ์สะพายกระเป๋าเป้มาถึงอาคารผู้โดยสาร ยังมีเวลาก่อนขึ้นเครื่อง เขาตั้งใจว่าจะหาที่สำหรับนั่งพักผ่อนสักพัก
ทันทีที่เขาเดินมาถึงตรงด้านหน้าที่นั่ง รพีพงษ์ก็ได้ยินเสียงปั่นป่วนวุ่นวายที่ด้านหลังของตัวเอง หันหน้ามองไป คนกลุ่มหนึ่งที่สวมใส่ชุดสูท บอดี้การ์ดที่ร่างสูงกำยำกำลังคุ้มกันร่างที่สง่างามคนหนึ่ง หญิงสาวที่สวมหน้ากากและหมวกทรงเบสบอลเดินมาทางนี้
คนกลุ่มใหญ่เดินตามหลังคนเหล่านี้ ต่างก็ถือโทรศัพท์และถ่ายรูปหญิงสาวคนนั้นที่เดินอยู่ตรงกลาง
หลายคนยังคงเรียกชื่อหญิงสาวคนนั้น
“จันทร์ปรียา! ฉันรักคุณ!”
“จันทร์ปรียา! คุณคือเทพธิดาของฉัน!”
เมื่อเห็นการปะทะกันนี้ ต่อให้ปกติรพีพงษ์ไม่ค่อยให้ความสนใจกับวงการบันเทิงมากนัก เขาก็เดาได้ว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นดารา
ในเวลานี้ผู้คนที่อยู่ไม่ไกลจากรพีพงษ์ก็มองไปที่นั่นเช่นกัน มีคนได้ยินชื่อของคนเหล่านั้นที่ติดตามตะโกนเรียกชื่อ ต่างก็แสดงท่าทางประหลาดใจออกมา
“คือจันทร์ปรียา ที่โด่งดังมาก หล่อนแสดงในละครโทรทัศน์หลายเรื่องเรตติ้งพุ่งกระฉูด”
“ว้าว คิดไม่ถึงว่าฉันจะได้พบกับดาราที่นี่ จันทร์ปรียาเป็นนักแสดงหญิงที่ฮอตที่สุดในตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะสวยเท่านั้น เสียงก็ไพเราะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือร่างปีศาจนั้น ค่อนข้างเซ็กซี่มาก”
“สมควรแล้วที่เป็นดารา แม้ว่าจะสวมใส่หน้ากาก ปิดบังใบหน้าไว้ แต่รัศมีรูปร่างดูไปแล้วก็ทำให้คนรู้ว่านี่เป็นเทพธิดา”
……
รพีพงษ์ไม่ได้สนใจดารานักแสดงเหล่านี้ ดังนั้นหลังจากเหลือบมองแวบเดียว ก็หันกลับมานั่งลงตรงที่นั่ง
แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่คาดคิดก็คือ ดาราที่ชื่อจันทร์ปรียา อยู่ภายใต้การนำของบอดี้การ์ด ได้เดิมมาในทิศทางของเขา
บอดี้การ์ดที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดเหลือบมองไปทางรพีพงษ์แวบหนึ่ง จากนั้นเดินไปอย่างรวดเร็ว เอ่ยปากพูดกับรพีพงษ์ว่า: “เฮ้ นายหลีกไป พี่ปรียาของพวกเราจะพักผ่อนที่นี่สักพัก นายสละที่นั่งนี้ออกมา ไปหาที่นั่งที่อื่นเถอะ”
จันทร์ปรียาก็เดินมาถึงด้านหลังของเขา แววตาเย็นชาเหลือบมองไปที่รพีพงษ์แวบหนึ่ง เผยให้ความรังเกียจออกมา
รพีพงษ์เงยหน้าขึ้นมาเหลือบมองไปที่บอดี้การ์ดและจันทร์ปรียาแวบหนึ่ง รู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย เอ่ยปากถามว่า: “ที่นั่งนี้เป็นที่สาธารณะ ใครมาก่อนคนนั้นนั่งก่อน ทำไมฉันต้องเสียสละออกมาด้วย? ทำไมตัวของพวกนายไม่ไปหาที่นั่งเอาเอง?”
สีหน้าของบอดี้การ์ดคนนั้นก็ดูดุร้ายเขม็งตามองไปที่รพีพงษ์ ตะโกนว่า: “นายไม่รู้เหรอว่าพี่ปรียาเป็นใคร? ถ้านายรู้จัก ก็รีบลุกออกจากที่นั่งเดี๋ยวนี้ ที่นั่งตำแหน่งนี้อยู่ใกล้กับประตูตรวจตั๋วมากที่สุด หรือว่านายทนได้ที่จะเห็นพี่ปรียาของพวกเราเดินมากขนาดนั้นเหรอ?”
สีหน้าของรพีพงษ์ก็เย็นชาขึ้นมาทันที เขาไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนี้ดาราเหล่านี้เอาหน้ามาจากไหน เพื่อที่จะเดินน้อยลงไม่กี่ก้าว ก็จะขับไล่คนอื่น
หรือว่าดาราก็จะเหนือกว่าคนอื่นเหรอ?
“ขอโทษด้วย หล่อนเดินมากไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน อยากนั่งก็ไปหาด้วยตัวเอง อย่ามารบกวนฉัน”รพีพงษ์พูดอย่างเย็นชา
บอดี้การ์ดเต็มไปด้วยความโกรธ และรีบเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อของรพีพงษ์ทันที
ในขณะนี้จันทร์ปรียาที่ยืนอยู่ข้างหลังเอ่ยปากพูดว่า: “ช่างเถอะ ตรงนั้นยังมีที่นั่ง พวกเราไปตรงนั้นก็พอแล้ว อย่าได้ถือสาเขา”
บอดี้การ์ดถึงได้เก็บมือของตัวเองกลับไป
เขาเขม็งตาใส่รพีพงษ์ เอ่ยปากพูดว่า: “ก็คือพี่ปรียาของพวกเราใจกว้าง ไม่อย่างนั้น วันนี้ฉันไม่มีทางปล่อยนายไปแน่!”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังเดินไปทางที่นั่งอีกด้าน
จันทร์ปรียาก็เหลือบมองไปที่รพีพงษ์แวบหนึ่ง ในแววตามาพร้อมกับความรังเกียจและดูถูก จากนั้นก็หันหลังออกจากที่นี่
รพีพงษ์ก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ และรีบลืมเรื่องนี้ไว้เบื้องหลัง
ถ้าจะพูดตามตรง บอดี้การ์ดคนนั้นควรจะขอบคุณที่รพีพงษ์ใจกว้าง ถ้าหารพีพงษ์ถือสาจริงๆ ไม่สนว่าเขาจะเป็นบอดี้การ์ดของดาราหรือไม่ ก็จะได้รู้สึกถึงพลังอำนาจของหมัดเหล็กแห่งความยุติธรรมแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อถึงเวลาขึ้นเครื่อง รพีพงษ์ก็ถือตั๋วและขึ้นเครื่องบิน มาถึงตำแหน่งที่นั่งของตัวเองนั่งลงมา
หลังจากนั้นไม่นาน รพีพงษ์ก็เห็นจันทร์ปรียาดาราคนนั้นก็ขึ้นเครื่องบิน บังเอิญพอดี กลับยังนั่งอยู่ข้างๆเขา
เมื่อตอนที่จันทร์ปรียาเห็นรพีพงษ์ ก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็นั่งลงมาด้านข้างๆของรพีพงษ์อย่างขยะแขยงเล็กน้อย
“ซวยจริงๆ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะตั๋วชั้นเฟิสต์คลาสขายหมดแล้ว ฉันจะขึ้นชั้นประหยัดราคาถูกนี้ได้อย่างไร ดูเหมือนว่าจะทำได้เพียงอดทนเท่านั้น”จันทร์ปรียาพึมพำ
บนใบหน้าของรพีพงษ์ก็ปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ คิดในใจดาราคนนี้ดูไปแล้วอายุไม่มาก แต่เรื่องมาก
แต่เขาก็ขี้เกียจที่จะสนใจคนแบบนี้ หันหน้าไปทันที ตั้งใจที่จะหลับตาและพักผ่อน
ในขณะนี้ บอดี้การ์ดคนนั้นที่ติดตามจันทร์ปรียามาโดยตลอดมาถึงที่ข้างๆตำแหน่งนี้ของรพีพงษ์ จากนั้นก็เอื้อมมือไปแตะรพีพงษ์
รพีพงษ์หันหน้ามองไป บอดี้การ์ดคนนั้นพูดอย่างรำคาญว่า: “นายเปลี่ยนที่นั่งกับฉัน ฉันจะนั่งที่นี่ นายไปนั่งหลังด้านหลัง