พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - ตอนที่ 74
บทที่ 74
Ink Stone_Romance
อาเรียที่กลับเข้ามาในห้อง ถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางนั่งลงบนโซฟา นาฬิกาทรายที่วางลงบนเข่านั้นช่างหนักเสียจริง
‘หากไม่ใช่เพราะนาฬิกาทรายนั่น เสียงที่ได้ยินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนดัชเชสจะออกจากสวนไปก็คงเป็นเสียงหัวเราะเยาะสินะ’
เสียงของไอซิสที่นินทาว่าหล่อนมีต้นกำเนิดเป็นคนธรรมดาจึงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับชายังวนอยู่ในหัว มิเอลที่อยู่ข้างๆก็ดูระริกระรี้ พลิกนาฬิกาไปตอนที่พวกหล่อนพูดซ้ำไปมา มือที่เย็นเฉียบสั่นจนต้องซ่อนใต้โต๊ะ
ใช้นาฬิกาทรายแล้วแสร้งทำเป็นเหนื่อยในขณะที่ขยี้ตาอยู่ก็สั่งให้สาวใช้รินชา นอนตัวแข็งแบบนั้นทั้งคืนแน่นอนว่าวันถัดไปมาต้องลำบากแน่ ไม่นานเบอร์รีก็นำชามะลิมาให้ดื่ม ทำให้เธอคลายความกังวลไปบ้าง
“ดัชเชสแห่งเฟรดเดอริกอย่างนั้นเหรอ…”
หรือเป็นเพราะข่าวลือที่ไปยุ่งกับออสการ์กันนะ สายตาหล่อนในตอนแรกที่เต็มไปด้วยความร้ายกาจทำให้เธอรู้สึกประหม่ามาก
คิดว่าคงไม่มีอะไรให้จับผิดได้จึงล้มตัวนอนลองบนเตียงอย่างโล่งอก เมื่อหลับตาลงก็เข้าสู่โลกนิทราทันที
* * *
จากนั้นไม่นานทุกคนต่างดิ้นรนทุกข์ทรมานจากการขาดน้ำตาล อาเรียจึงเมตตาแบ่งปันให้
สถานที่ที่เธอยื่นมือไปช่วยเหลือก็คือคาเฟ่ ‘ฟลาวเวอร์เมาท์เทน’ ที่เหล่าชนชั้นสูงไปทานกันบ่อยๆ บางครั้งอาเรียก็พาแอนนี่และเจสซี่ไปคาเฟ่นั้นด้วยเหมือนกัน
ดูเหมือนว่าเพราะวัตถุดิบหลายๆอย่างที่ทำให้ดูน่าทานและอร่อยจะได้รับผลกระทบมากอยู่ อาเรียส่งแอนดรูว์ไปร้านนั้น พร้อมกับสั่งการให้พูดเป็นนัยๆกับเจ้าของว่าสามารถขายน้ำตาลให้ได้
[เห็นความต้องการจากเจ้าของร้านฟลาวเวอร์เมาท์เทนแล้ว กำลังจะเพิ่มราคาขึ้นเป็นสิบเท่า]
อาเรียอ่านจดหมายที่ได้รับมาจากแอนนี่พลางยกยิ้มอย่างพอใจ
เริ่มจากสิบเท่า ร้านฟลาวเวอร์เมาท์เทนเป็นสถานที่ที่ชนชั้นสูงนิยมไปกันส่วนใหญ่ อีกไม่นานข่าวลือก็จะแพร่หลาย
และจะมีคำถามว่าไปหาน้ำตาลมาจากที่ไหนราวกับแสงส่องสว่างเล็กๆในเงามืดเช่นนี้ พวกเขาจะทำทุกวิถีทางอย่างบ้าคลั่งเพื่อจะหาน้ำตาลมาให้ได้ แม้ว่าจะเพิ่มราคาขึ้นเป็น 20เท่าก็ตามน่ะสิ
ตามที่อาเรียคาดการณ์ไว้หลังจากฟลาวเวอร์เมาท์เทนรับน้ำตาลไปข่าวลือก็แพร่ไปทั่วทุกแห่ง ฟลาวเวอร์เมาท์เทนที่เคยได้รับความสนใจจากการพักผ่อนหย่อนใจ กลับเต็มไปด้วยเหล่าชนชั้นสูงตามมาอย่างไม่ขาดสาย น้ำตาลที่ส่งขายไปก็ทำกำไรได้ดีทำให้อาเรียเพลิดเพลินกับมัน
“มาจากไหนกันนะ!”
“ถ้ายังมีเหลืออยู่ขายให้ฉันบ้างสิ!”
เนื่องจากมีการสำรวจคนและรถม้าที่เข้ามายังเมืองหลวง จึงไม่สามารถนำน้ำตาลเข้ามาได้เว้นแต่จะเป็นจำนวนที่น้อยมาก
ในตอนแรกมันเป็นวัตถุดิบที่หายากนอกจากขุนนางแล้วชาวบ้านอื่นๆก็ไม่สามารถหาได้ ปัญหาจึงเป็นการหยุดผูกขาดทางการค้า หากไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นคงจะไม่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นแบบนี้
เจ้าของร้านฟลาวเวอร์เมาท์เทนตอบเหล่าขุนนางที่ลืมแม้กระทั่งเกียรติของตัวเองด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
“ขอโทษด้วยนะครับ พวกเราก็บังเอิญหามาได้จึงตอบให้ไม่ได้จริงๆครับ”
เขาประสบความสำเร็จด้วยคาเฟ่เป็นตระกูลชนชั้นสูงขั้นต่ำ ก่อนหน้านี้เป็นแค่พ่อค้า แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นขุนนางก็ตามตอนนี้ไม่มีทางที่ราชอาณาจักรจะนำน้ำตาลเข้ามาได้
ยิ่งไปกว่าจนกว่าแอนดรูว์จะเข้าไปเยี่ยมอีกครั้งก็ยังเหลือเวลาอีก ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะส่งน้ำตาลมาให้อีกปริมาณเท่าไรการบุ่มบ่ามแบ่งปันน้ำตาลเป็นเรื่องที่โง่เขลา เขาโค้งขอโทษคนที่เข้ามาเพื่อจะขอซื้อน้ำตาลอยู่แทบทุกวัน
แอนดรูว์ที่ขายน้ำตาลให้เมื่อกลับไปยังร้านฟลาวเวอร์เมาท์เทนอีกครั้งก็แทบจะไม่มีที่ให้เหยียบ และทำตามที่อาเรียได้สั่งไว้คราวที่แล้วว่าจะไม่ขายน้ำตาลให้หากไม่ขึ้นราคาเป็นสองเท่า
“มันไม่แพงเกินไปเหรอคะ เกือบจะเป็น 20 เท่าของราคาเดิมด้วยซ้ำ…”
น้ำตาลที่ราคาแพงอยู่แล้ว กลับแพงขึ้นอีก 20 เท่าทำให้เจ้าของร้านหน้าซีดเผือด
“ถ้าอย่างนั้นผมให้เงื่อนไขอย่างหนึ่ง หากขึ้นราคาได้เท่าไรก็จะส่งน้ำตาลให้ในปริมาณที่มากเท่านั้น หลังจากนั้นท่านจะเอาไปทำอะไรก็ตามสบายเลยครับ”
คำพูดนั้นหมายถึง ซื้อไปในราคา 20 เท่าแล้วจะเอาไปขายต่อในราคาเท่าไรก็แล้วแต่ แต่มีข้อกำหนดว่าจะไม่เปิดเผยที่ที่รับมา
ทว่าในระหว่างที่เจ้าของร้านกังวลราคา 20เท่า แอนดรูว์ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างไม่แยแส
“หากท่านไม่ยินดี กระผมก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากจะเอาไปขายให้คนอื่น”
“ดะ เดี๋ยวก่อนครับ รอสักครู่นะครับ!”
แม้บอกว่าจะขายน้ำตาลในเงื่อนไขเดิมแต่คนที่จะซื้อก็ยังมีมากโข หากเจ้าของร้านฟลาวเวอร์เมาท์เทนพลาดโอกาสนี้อาจจะต้องไปยืนต่อแถวที่จัตุรัสก็เป็นได้
และไม่สนใจว่าหลังจากนั้นจะเอาไปใช้ที่ไหนอย่างแน่นอน แค่นำไปใช้อย่างรู้ทางก็จะสามารถทำเงินได้อย่างมหาศาล
เพราะเจ้าของร้านจับปลายแขนเสื้อแอนดรูว์จนยืด เขาจึงนั่งลงอีกครั้ง เสื้อผ้าสะอาดสะอ้านที่ได้รับการสนับสนุนจากอาเรียเต็มไปด้วยรอยย่น เมื่อเขาปัดเบาๆด้วยหลังมือ ก็กลับมาสู้สภาพเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
“…เอ่อ ไม่รู้ว่าท่านมีอยู่เท่าไรแต่ว่ากว่าจะหาเงินทุนได้จำนวนหนึ่งใช้เวลาอยู่พักใหญ่เลย”
“ถ้าอย่างนั้นจะแบ่งให้สองครั้ง ราคาก็แบ่งรับสองครั้งด้วย ระหว่างนั้นก็รับจองไปด้วยแล้วก็รวมเงินทุนเลยดีไหมครับ”
เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้เขาจึงตอบตามที่อาเรียสั่ง ส่วนเจ้าของก็คิดว่าโชคดีอะไรขนาดนี้พลางโค้งขอบคุณจนคอแทบจะหลุดจากบ่า
“เพราะว่ามันมีปริมาณน้อย หากรับจากกระผมไปแม้จะนำไปขายต่อขึ้นราคาอีกเป็นเท่าตัวก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ”
คำพูดของแอนดรูว์เป็นความจริง เนื่องจากความอดอยากน้ำตาลทรายทำให้ผู้อยู่รอดมีค่าใช้จ่ายมากไม่ว่าจะมีค่าใช้จ่ายเท่าไรก็ตาม
เจ้าของร้านฟลาวเวอร์เมาท์เทนนำคำของแอนดรูว์ไปบอกกับลูกค้าที่มาติดต่อซื้อว่าหากซื้อในปริมาณน้อยๆเขาจึงจะขาย ทันใดนั้นน้ำตาลในคลังก็หมดภายในเวลาอันรวดเร็ว
แน่นอนว่ามีคำนินทาด่าทองด้วยเช่นกัน
“ไม่แพงเกินไปเหรอ! แทบจะเป็น 30เท่าของราคาปกติแล้ว!”
“ขอโทษครับ ผมก็อยากจะขายให้ในราคาถูกเหมือนกัน แต่พอดีว่าราคาของที่เข้ามาแต่แรกเป็นอย่างนั้นครับ …เพราะน้ำตาลหายากมาเลยไม่รู้จะทำอย่างไรครับ”
แม้บอกว่าจะขายราคา 30 เท่าจริงๆแต่คนที่จะซื้อก็ต่อคิวเข้าแถวอย่างดี ประหยัดเงินที่จะเอาไปซื้อของฟุ่มเฟือยมาซื้อน้ำตาลแทน เพราะสำหรับตระกูลชั้นสูงที่คุ้นชินกับรสหวาน วันที่ไม่มีน้ำตาลนั้นไม่ต่างอะไรกับนรก
ใช้เวลาไม่นานคลังก็แทบจะไม่เหลือ อาเรียเห็นเช่นนั้นจึงหัวเราะออกมา เบอร์รีที่คอยรินชาให้ขุนนางชั้นสูงตกใจปนกับหวาดกลัว เจสซี่และแอนนี่หันหน้าเข้าหากันพลางหัวเราะ
“เลดี้ จะเอาเงินนั้นไปทำอะไรเหรอคะ หรือว่าจะเอาไปฝากทั้งอย่างนั้นเลยเหรอคะ”
“…เปล่าหรอก ฉันไม่ได้คิดจะเอาไปฝาก”
เงินที่หามาได้อยากจะเอาไปลงทุนอีกครั้ง ลงทุนและรวบรวมคนรอบข้างขยายอำนาจแบบนั้นไปเรื่อยๆ หากจะต่อกรกับมิเอลที่มีดัชเชสถือหางให้อยู่ก็ต้องทำแบบนั้น หากไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอนว่าคนที่ถูกบั่นคอก็คือเธออย่างไรล่ะ
ในอดีตตอนนั้นอาเรียที่ยังเด็กอยู่ค่อยๆ ตกเป็นของเล่นของข้ารับใช้ที่มิเอลส่งมาจึงไม่ได้สนใจโลกภายนอกเท่าไรนัก จำได้แค่ทำคุยโวที่เสียงดังไปก็เท่านั้น แต่เรื่องพวกนั้นก็ทำให้ทั้งราชอาณาจักรระส่ำระสายอยู่ไม่น้อย
ทั้งเรื่องท่าทางดูมีชีวิตชีวาของมกุฎราชกุมารเลื่อนตำแหน่งเลดี้วิสเคานต์ธรรมดา หรือเรื่องวัตถุดิบในอาหารที่ทาน
และยังมีอีกอย่างที่จำได้ หลังจากเกิดเรื่องจลาจลจากสินค้าฟุ่มเฟือยแล้วน้ำตาลและน้ำผึ้งหมดไป ก็นึกขึ้นได้ว่าสินค้าที่ได้รับความนิยมก็คือน้ำหอม
น้ำหอมที่มาจากกลิ่นหอมหวานของดอกไม้ได้รับความนิยมอยู่พักใหญ่ แม้จะทานเพื่อรับรสหวานไม่ได้ แต่กลิ่นที่ส่งออกมาทำให้เหมือนราวกับว่าทานไปแล้ว ดังนั้นจนกว่าน้ำตาลทรายจะนำเข้ามาอีกครั้งจึงเลือกที่จะสูดดมกลิ่นหอมแทน ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอยู่นานโข
‘คนที่ขายคือ…ใครแล้วนะ บารอนเวอร์บูมหรือเปล่านะ’
แม้จะเป็นตระกูลชนชั้นสูงแต่เขาแทบจะไม่มีตัวตน เห็นว่าเป็นธุรกิจของครอบครัว ตอนนี้ขาดเงินทุนจึงไม่สามารถนำเข้าน้ำหอมได้ทันเวลา อีกไม่นานนักธุรกิจคนใหม่ก็จะปรากฏตัวขึ้นเข้ายึดครองการขายไปหมด เธอจำได้ว่าตอนนั้นเพิ่งได้รับความนิยมเป็นครั้งแรกจึงรีบไปซื้อมันมา
‘ต้องลงทุนกับเขาเสียแล้ว’
มาถึงตอนนี้เธอยังอ่อนประสบการณ์ทั้งยังขาดกำลังคนที่จะเริ่มธุรกิจใหม่ ดังนั้นลงทุนไปแล้วรับผลกำไรมาน่าจะเป็นทางที่ดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้นยังให้อาหารด้วยข้อมูลได้เรื่อยๆ เลี้ยงไว้เป็นคนคอยคุมหลังให้ก็ไม่เลว
‘เป็นทางเดียวที่จะเพิ่มอำนาจให้ตัวเองที่ไม่มีอะไรเลย’ ก่อนอื่นเข้าหาบารอนเวอร์บูมดีไหมนะ ต้องไปสืบดูแล้วว่าเขาพอจะใช้ได้หรือไม่
อาเรียจึงเขียนจดหมายให้แอนดรูว์ เนื้อความว่าขอเข้าพบกับบารอนเวอร์บูม แนบในจดหมายนั้นเพิ่มบอกว่ามีความสนใจด้านเครื่องหอมจึงอยากลงทุนด้วย
จากนั้นไม่นานจดหมายตอบกลับเนื้อความว่าขอบคุณสำหรับข้อเสนอทั้งยังต้อนรับอย่างยินดี
สัญญาจึงเกิดขึ้นอย่างราบรื่นภายในเวลาอันรวดเร็ว แม้จะมีเงื่อนไขว่ากำไรสามสิบเปอร์เซ็นต์ต้องให้อาเรียแต่อีกไม่นานน้ำหอมก็จะเริ่มได้รับความนิยมเพื่อการจัดส่งที่เป็นไปอย่างคล่องตัววิสเคานต์เวอร์บูมจึงไม่สามารถปฏิเสธได้
บารอนเวอร์บูมที่ได้รับการลงทุนจึงเพิ่มจำนวนคนงานพร้อมกับขยายกิจการจากคำแนะนำจากอาเรียจึงสามารถผลิตน้ำหอมได้
เพราะฉะนั้นเขาจึงสามารถเตรียมน้ำหอมเพื่อรับมือก่อนความนิยมจะมาถึงได้อย่างทันเวลา เขาส่งจดหมายขอบคุณพร้อมกับของขวัญให้อาเรีย
[ผมขอขอบคุณท่านด้วยใจจริง เป็นเพราะวิสัยทัศน์อันก้าวไกลของท่าน ทำให้สามารถทำกำไรได้ครับ แม้จะเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เพื่อแสดงความขอบคุณแต่หวังว่าท่านจะรับมันไว้]
อาเรียอ่านจดหมายที่แอนนี่นำมาให้พลางยกยิ้มมุมปาก
เมื่อแกะของขวัญที่แนบมาก็พบกับคราแวตที่อยู่ด้านใน ผ้าไหมชั้นเลิศปักแซมด้วยลายคลื่นน้ำช่างงดงามมาก
‘แม้จะคิดไว้แล้วก็ตาม เขาคงจะคิดว่าฉันเป็นผู้ชายสินะ’
คราแวตเป็นผ้าพันคอสำหรับผู้ชายที่ไว้ผูกเพื่อความดูดี ดูเหมือนว่าจะแพงมาก แต่กลับเป็นของที่ไร้ประโยชน์สำหรับอาเรีย
อาเรียเก็บมันไว้ในกล่องพลางเรียกแอนนี่
“ต้องออกไปข้างนอกแล้วล่ะ”
“จริงเหรอคะ ไม่ได้ออกไปข้างนอกนานเลยนะคะเนี่ย! ที่จริงแล้วดิฉันก็เริ่มอยากออกไปเหมือนกันค่ะ”
ไปยังร้านขายน้ำหอมของบารอนเวอร์บูมพร้อมกับแอนนี่ที่แต่งตัวอย่างหรูหรา ดูเหมือนว่าเพราะเงินลงทุนและกำไรของการค้าทำให้ขยายกิจการได้ใหญ่ขนาดนี้
อาเรียเข้าไปข้างในพลางบอกให้องครักษ์ทั้งสองคนรอข้างนอกเพราะเกะกะ เธอบอกให้แอนนี่เลือกกลิ่นที่ชอบทันใดนั้นแอนนี่ก็ตาเป็นประกายพร้อมกับหายตัวไป
อาเรียที่เหลืออยู่ตัวคนเดียวจึงเดินชมภายในร้าน ของตกแต่งภายในที่ดูหรูหรากับน้ำหอมเข้ากันมาก จัดวางของไว้สำหรับผู้หญิงที่ส่วนสูงเล็กกว่าผู้ชายได้หยิบอย่างสะดวก
แบ่งโทนสีได้ดีด้วย บางครั้งจะเห็นคนที่ไม่มีเซนส์เลือกโทนสีมั่วไม่มีมาตรฐาน แต่ที่นี่ไม่เป็นเช่นนั้น เริ่มจากสีอ่อนแล้วค่อยๆไล่ไปจนกระทั่งที่สุดท้ายคือสีเข้มที่สุด แม้คู่สีจะต่างกันแต่ก็มองเพลินดีราวกับเป็นทางช้างเผือกอย่างนั้น
‘อาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้นะครับ’
อาเรียที่ดูเสร็จแล้วจึงไปยังเคาน์เตอร์ พนักงานที่ยืนรอถามอย่างนอบน้อม
“มีอะไรให้กระผมช่วยไหมครับ”
“ฉันอยากพบกับท่านบารอนเวอร์บูมน่ะ”
“…ท่านบารอนเหรอครับ”
พนักงานคนนั้นเบิกตาโต พลางบอกว่าจะตามท่านบารอนให้ด้วยใบหน้าที่งงงวย
พนักงานคนนั้นเพ่งมองการแต่งตัวของอาเรียแล้วบอกให้รอสักครู่จากนั้นจึงหายตัวไป ดูท่าจะเป็นตระกูลชั้นสูงที่ร่ำรวยมากเลย
หลังจากนั้นไม่นานบารอนเวอร์บูมที่ปรากฏตัวพร้อมกับพนักงานเป็นบุตรชายที่ดูหนุ่มมาก ดูเหมือนวัยอายุยี่สิบห้ายี่สิบหกเท่านั้น ถึงจะอย่างนั้นก็ตามเขาที่สวมชุดอย่างสุภาพเรียบร้อยสะอาดสะอ้านทั้งผมที่จัดเข้าทรงอย่างดีทำให้ดูเหมือนนักธุรกิจ
เขาที่พูดคุยกับพนักงานและกำลังเดินลงมาจากชั้นสอง เดินตามที่พนักงานผายมือบอก เมื่อพบกับอาเรียที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ก็อึ้งจนพูดไม่ออก
……………………….