พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - ตอนที่ 82
พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย – บทที่ 82
ที่นั่งของอาเรียอยู่ฝั่งตรงข้ามกับมิเอลพอดี ซึ่งอยู่ใกล้กับกึ่งกลางของโต๊ะ หากเธอเงยหน้าขึ้นมาก็จะเห็นหน้าของมิเอลได้อย่างพอดิบพอดี
หลังจากที่อาเรียนั่งลงเธอก็พบกับจุดสังเกตหนึ่งอย่างจากการแนะนำตัวตามลำดับของผู้หญิงเหล่านั้น
‘ทุกคนเป็นภรรยาของตระกูลที่ฉันให้เงินลงทุนทั้งนั้นเลยนี่นา’
สิ่งที่อาเรียสังเกตได้ก็คือพวกเธอเป็นภรรยาของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากเงินลงทุนของอาเรียนั่นเอง เพราะนักธุรกิจเหล่านั้นต่างได้รับเงินลงทุนจากอาเรียหลังจากที่พวกเขาแนะนำซ้ำแล้วซ้ำเล่า และความสัมพันธ์ของพวกเขาก็แน่นแฟ้นเป็นอย่างมาก
ตามที่แอนดรูว์ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อพวกเขา ได้บอกกับอาเรียไว้ว่าพวกเขามักจะจัดงานประชุมขึ้นเป็นประจำ โดยเชิญเฉพาะผู้ที่ได้รับเงินลงทุนจากอาเรียเท่านั้น
แน่นอนว่านั่นไม่ใช่งานประชุมที่จัดขึ้นมาด้วยความสมัครใจ แต่มันเริ่มมาจากข้อเสนอของอาเรียที่เห็นสมควรจะให้ทำแบบนั้น เป็นความสัมพันธ์ที่เริ่มมาจากความหวังว่านักธุรกิจอายุน้อยที่ได้รับเงินจากนักลงทุน A จะมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อกันและกัน
‘แต่ภรรยาของพวกเขากลับมารวมตัวกันอยู่แบบนี้เนี่ยนะ’
อาเรียรู้สึกว่าตนเองเริ่มจะเข้าใจถึงแผนการของมิเอลเข้าแล้ว เพราะพวกเขาถือเป็นคลื่นลูกใหม่ที่มีอำนาจขึ้นมาจากเงินทุน มิเอลจึงตั้งใจจะดึงพวกเขาไปอยู่ฝ่ายตัวเองเป็นแน่
เนื่องจากปัจจุบันนี้มีตระกูลขุนนางจากฝ่ายขุนนางชั้นสูงล้มละลายลงไปเรื่อยๆ จึงทำให้พวกเขาที่กำลังสะสมความมั่งคั่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะเป็นเพียงขุนนางชั้นล่างหรือไม่ก็สามัญชนทั่วไป ดูไม่เหมาะกับระดับขุนนางชั้นสูงก็ตาม เพราะสิ่งที่ฝ่ายขุนนางต้องการจากพวกเขามีแค่เรื่องเงินทุน
‘แต่ท้ายที่สุดแล้วมันจะเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ น่ะหรือ ในเมื่อนักลงทุน A ผู้ที่พวกเขาต่างจงรักภักดีด้วยก็คือตัวฉันเอง’
คนที่ทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาเป็นที่เลื่องลือได้รับความสนใจจากทั้งราชอาณาจักรไปขณะหนึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอาเรียนั่นเอง พวกเขาต่างแสดงความซื่อสัตย์ออกมาโดยการส่งจดหมายนับไม่ถ้วนให้กับอาเรียผู้ที่พวกเขาไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้ง ทั้งยังเนื้อความในจดหมายที่น่าประทับใจนั่นอีก ถึงกับบอกว่าหากได้พบกัน จะก้มลงคุกเข่าจูบแทบเท้ากันเลยทีเดียว
หลังจากที่แต่ละคนแนะนำตัวเสร็จ บทสนทนาที่ถูกหยุดไปก็กลับมาเริ่มใหม่อีกครั้ง อาเรียจึงเงี่ยหูฟังพลางจิบชาด้วยท่าทางสง่างาม
“ดูเหมือนทุกครั้งที่ได้พบกัน ก็มักจะคุยกันแต่เรื่องของนักลงทุนนะคะ ไม่ว่าจะอย่างไรบุญคุณที่ได้รับก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ในโลกนี้คงจะมีแต่ท่านผู้นั้นเพียงคนเดียวที่ยอมลงทุนโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ เพียงแค่พิจารณาจากแผนธุรกิจเท่านั้น”
“ใช่แล้วละค่ะ หากว่าท่านผู้นั้นไม่ยอมให้เงินทุนแล้วละก็ ธุรกิจของสามีดิฉันอาจจะล้มละลายไปแล้วก็ได้ค่ะ ช่างประจวบเหมาะที่ตอนนั้นท่านยอมรับในความสามารถและลงทุนให้ค่ะ สามีของดิฉันเองก็กลุ้มใจอยู่นานเลยค่ะ”
“ดิฉันก็เหมือนกันค่ะ หากว่าไม่รับเงินทุนแล้วละก็ คงต้องขายคฤหาสน์ทิ้งไปเสียแล้ว ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้”
“ตายจริง ทางนี้ก็เหมือนกันค่ะ ตอนนั้นดิฉันก็ขายเพชรพลอยทั้งหมดที่เคยมีเพื่อนำเงินไปสมทบในธุรกิจของสามีค่ะ”
พวกเธอต่างพากันยกย่องชื่นชมนักลงทุนอย่างไม่ขาดปาก ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ที่พูดก็เป็นเรื่องที่ได้รับเงินทุนมาทันเวลา และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อตัวธุรกิจได้
การที่อาเรียได้เห็นเหล่าคุณหญิงที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกในวันนี้พูดยกย่องเกี่ยวกับตัวเธอแล้ว ก็ทำให้รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ทั้งที่เคยได้รับแต่คำด่าทอซึ่งๆ หน้ามามากมาย แต่ตอนนี้กลับได้คำชื่นชมเสียอย่างนั้น เธอรู้สึกเสียวท้องอยู่ตรงไหนสักแห่งท่ามกลางความรู้สึกอันท่วมท้น จนควบคุมสีหน้าได้ยากเลยทีเดียว
ดังนั้นอาเรียจึงแสร้งใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากและหุบรอยยิ้มลง คงเป็นเพราะต้องมาเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่ปกติ เธอมักจะได้รับมันผ่านตัวอักษรมาโดยตลอด
จากนั้นมิเอลที่ยิ้มและฟังบทสนทนามาโดยตลอดก็ถามขึ้นมา
“ดิฉันเองก็อยากจะพบกับนักลงทุนผู้นั้นสักครั้งค่ะ ว่าแต่ตอนนี้เพชรพลอยพวกนั้นเป็นอย่างไรคะ ได้คืนมาไหมคะ”
“ไม่ค่ะ ดิฉันไม่คิดจะเอามันคืนมาแล้วค่ะ พูดให้ถูกก็คือมันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาเพชรพลอยถูกๆ แบบนั้นกลับคืนมาแล้วค่ะ”
บารอนเนสคนนั้นตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ สภาพการเงินของครอบครัวเธอสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน นั่นหมายความเธอไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับเพชรพลอยราคาถูกที่ตนเสียไปเลย
“ถ้าอย่างนั้นก็โล่งอกไปทีค่ะ”
“อีกอย่างตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะต้องมาใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยแบบนั้นหรอกค่ะ ในตอนนี้ดิฉันกำลังคิดที่จะทุ่มเทพลังทั้งหมดช่วยกิจการของสามีจนกว่ากิจการจะมีความมั่นคงค่ะ”
เหมือนกับมีประกายไฟลุกโชนขึ้นมาในดวงตาของเธอ ยามที่เธอบอกว่าจะช่วยกิจการของสามี นั่นถือเป็นความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่หาไม่ได้จากพวกขุนนางชั้นสูงที่เกิดมาเพียบพร้อมหมดทุกอย่าง
เพราะแบบนั้นมิเอลจึงเอียงหน้าสงสัยและถามขึ้น
“อย่างนั้นหรือคะ ถึงอย่างนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสามีไม่ดีกว่าหรือคะ จนถึงตอนนี้มันก็เป็นแบบนั้นนี่คะ ดิฉันคิดว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญมาจัดการให้จะดีกว่านะคะ”
ดูท่ามิเอลจะไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงเหล่าต้องกระตือรือร้นที่จะช่วยธุรกิจของสามีด้วย เธอคงไม่รู้วิธีให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับบรรยากาศตอนนี้เลยสินะ ถึงได้พูดออกมาราวกับจะถามว่าความทุ่มเทอันยิ่งใหญ่นั่นจะมีประโยชน์อะไร
“ไม่หรอกค่ะ เราช่วยกันบุกเบิกกิจการมาจนถึงตอนนี้ เรื่องจ้างผู้เชี่ยวชาญดูเหมือนจะยังไกลตัวไปหน่อยค่ะ”
เธอตอบออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวพอๆ กับแววตาที่ดูลุกโชน แม้ความมั่งคั่งและอำนาจจะมีความแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่เธอก็แสดงความคิดเห็นของตนเองออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา
“ช่วยกันบุกเบิกกิจการอย่างนั้นหรือคะ ฟังดูน่าสนใจจังเลยค่ะ แล้วคุณหญิงช่วยงานด้านใดบ้างคะ”
บารอนเนสสาธยายบทบาทของตัวเธอออกมาอย่างลื่นไหลราวกับว่ารอคอยคำถามนี้ของอาเรียอยู่
“สามีของดิฉันมักจะยุ่งอยู่กับงานภายนอกค่ะ จึงดูแลจัดการงานภายในได้ไม่ละเอียดเท่าไหร่นัก เพราะอย่างนั้นดิฉันจึงเป็นคนรับผิดชอบงานภายในเป็นหลักค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะดูแลเกี่ยวกับวัตถุดิบที่นำเข้ามากับทำบัญชีของร้านน่ะค่ะ ตอนนี้งานยังไม่ยากเท่าไหร่นัก ดิฉันเลยทำด้วยตัวเองได้ค่ะ”
ดูเหมือนเธอจะภูมิใจกับงานที่ตัวเองทำ หากว่าเธอทำงานนั้นด้วยตัวเธอคนเดียวจริงๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก อาเรียที่ตระหนักได้ว่าพวกเขาประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวของพวกเขาเองไม่ใช่เพราะเงินทุนของเธอ ก็ตอบออกมาอย่างประทับใจ
“ต้องดูแลงานหลายอย่างเลยนะคะ หากจะฝากงานให้ผู้อื่นรับผิดชอบก็คงรู้สึกไม่ไว้วางใจเท่าไหร่ สู้ให้คุณหญิงเป็นคนทำเอง คงจะทำให้ท่านบารอนสบายใจและจดจ่ออยู่กับงานได้ดีขึ้นนะคะ”
อาเรียนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่เน้นย้ำว่าเมื่อใดก็ตามที่มอบหมายให้ผู้ใดดูแลเรื่องเงินๆ ทองๆ จะต้องระมัดระวังและใส่ใจเป็นพิเศษ เธอจึงตอบออกมาเช่นนั้น ทำให้บารอนเนสแก้มแดงขึ้นมาเล็กน้อย
“…ขอบคุณนะคะ แน่นอนว่าในวันข้างหน้าหากกิจการรุ่งเรืองมากขึ้น ก็คงจะต้องหาคนมาช่วยดูแลแบบที่เลดี้มิเอลพูดแน่ๆ ค่ะ”
“ใช่ค่ะ ทำแบบจะดีกว่านะคะ ถึงแม้ตอนนี้จะยังทำอะไรไม่ได้มาก แต่หน้าที่ของภรรยาก็ต้องเอาใจใส่วงศ์ตระกูลเป็นหลักค่ะ การมอบหมายงานให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลจึงเป็นอะไรที่ได้ผลดีกว่าแน่นอนค่ะ”
เมื่อได้ยินชื่อของตัวเองออกมาจากปากของบารอนเนส มิเอลก็ยิ้มอย่างพออกพอใจ เพราะเธอเป็นผู้หญิงประเภทที่คิดว่าไม่ว่าจะมียศสูงหรือต่ำภรรยาของขุนนางจะต้องทุ่มเทและปกป้องวงศ์ตระกูลเท่านั้น จึงไม่ยอมเปลี่ยนความคิดง่ายๆ
“ไม่นะ พี่ไม่คิดแบบนั้นนะมิเอล ถึงบอกว่าจะจ้างคนในภายหลังก็เถอะ แต่พี่คิดว่าการที่คุณหญิงรับหน้าที่ดูแลตรวจสอบเรื่องพวกนั้นเองคงจะดีกว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องทำให้ความสามารถถูกทิ้งไปอย่างสูญเปล่าเลยนี่นา”
แต่ทว่าอาเรียเองก็ไม่ยอมเปลี่ยนแนวคิดของตัวเองง่ายๆ เช่นกัน
“ที่พี่พูดมาก็ดูมีเหตุผลค่ะ…แต่ถ้าทำอย่างนั้นแล้ว ใครจะเป็นคนดูแลวงศ์ตระกูลล่ะคะ อย่างไรเสียคุณหญิงก็มีหน้าที่ต้องดูแลวงศ์ตระกูล เพื่อให้ท่านบารอนสามารถจดจ่อกับงานภายนอกได้อย่างสบายใจค่ะ”
“หน้าที่ในวงศ์ตระกูลก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญละนะ แต่พี่ไม่ได้บอกว่าคุณหญิงจะต้องยึดติดอยู่กับธุรกิจตลอดเวลานี่นา แค่คอยควบคุมดูแลเผื่อเอาไว้น่ะ คุณหญิงมีความสามารถเพียงพอที่จะทำแบบนั้น”
“อ๋อออ หมายถึงแบบนั้นนี่เอง แต่ในวันข้างหน้าบารอนเนสเองก็ต้องใช้เวลาไปกับการดูแลวงศ์ตระกูลและรักษาสถานะภาพให้มั่นคง แน่นอนว่าจะต้องได้พบปะกับผู้คนมากหน้าหลายตาอยู่บ่อยๆ เช่นเดียวกับวันนี้ค่ะ อย่างนั้นแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลกิจการกันล่ะคะ”
“จำเป็นต้องกล่าวยืนยันถึงเรื่องแบบนั้นกันแล้วหรือ ยังไงตอนนี้คุณหญิงก็ดูแลมันได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว พี่คิดว่าในอนาคตก็คงทำได้อย่างราบรื่นเหมือนกัน”
มิเอลและอาเรียต่างยืนกรานความคิดของตนอย่างไม่ลดละ เหตุผลหลักๆ ก็คือพวกเธอไม่มีทางยอมรับความคิดเห็นของกันและกันได้เป็นอันขาด
แน่นอนว่าทั้งสองคนใช้วิธีพูดที่ฟังดูนุ่มนวล และแสดงสีหน้าออกมาอย่างอ่อนโยน ในสายตาของคนที่ไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเธอ จึงมองว่าพวกเธอเพียงแค่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเพียงเท่านั้น
“ตายจริง ขอบคุณความคิดเห็นของทั้งสองมากเลยนะคะ ในตอนนี้ดิฉันยังอยากช่วยเหลือกิจการอยู่ค่ะ แถมยังรู้สึกภูมิใจด้วยค่ะ หากเวลาผ่านไปและปรับตัวได้ แน่นอนว่าคงไม่มีหน้าที่ให้ดิฉันทำสักเท่าไหร่ จากนั้นก็คงจะตั้งใจฟื้นฟูวงศ์ตระกูลให้ดีขึ้นค่ะ”
สุดท้ายบารอนเนสที่แสนปราดเปรื่องก็จบบทสนทนาหัวข้อนี้ ด้วยการยอมรับในความคิดเห็นของอาเรียและมิเอลทั้งคู่ แต่ดูเหมือนมิเอลจะไม่พอใจในข้อสรุปนั้น เธอถึงได้พูดอะไรที่ไม่มีประโยชน์ออกมา
“ดีแล้วค่ะคุณหญิง ยังมีงานอีกตั้งมากมายที่ต้องทำเพื่อปกครองและดูแลวงศ์ตระกูล และมันก็ถือเป็นเรื่องสำคัญด้วยค่ะ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะคะ ไว้ดิฉันจะค่อยๆ บอกให้ทราบในภายหลังเอง อย่างนั้นแล้วจะเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ดิฉันจะจัดขึ้นในครั้งหน้าด้วยกันไหมคะ”
มิเอลพูดออกมาอย่างอ่อนโยนพร้อมกับทำตาอ่อนหวาน เพราะเธอคือเลดี้ที่จะได้กลายเป็นดัชเชสในภายภาคหน้า ท่าทางของเธอจึงดูน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก
ในเมื่อเธอยื่นมือมาให้แล้ว หากจับมือนั่นไว้แล้วละก็ ในอนาคตทุกอย่างจะต้องราบรื่นอย่างแน่นอน อย่างไรเสียการได้รับแรงสนับสนุนจากท่านเคานต์โรสเซนต์ก็ดีกว่านักลงทุน A มากโข ยิ่งไปกว่านั้น หากได้สนิทสนมกับมิเอลแล้วละก็ คงไม่มีใครหน้าไหนกล้าหัวเราะเยาะบารอนเนสเป็นแน่
แต่ทว่าบารอนเนสกลับค่อยๆ ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ดิฉันขอบคุณที่กรุณาเอ่ยชวนนะคะ แต่ว่าตอนนี้กิจการอยู่ในช่วงขาขึ้น จึงยุ่งยากอยู่นิดหน่อยค่ะ ดิฉันยังจำเป็นต้องเข้าไปช่วยดูแลกิจการอยู่น่ะค่ะ วันนี้เองก็ปลีกเวลามาด้วยค่ะ หากมีโอกาสหน้าดิฉันจะพยายามมาให้ได้เลยนะคะ”
“…อย่างนั้นหรือคะ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้สินะคะ แล้วท่านอื่นล่ะคะ”
การยอมร่วมมือกับมิเอลในที่นี้ ถือเป็นตัวเลือกที่จะนำมาซึ่งความผาสุกในชีวิตของพวกเธออย่างแน่นอน เรียกได้ว่าอาจจะได้รับอะไรสักอย่างที่มีค่ามากกว่าการที่ธุรกิจของสามีประสบความสำเร็จก็เป็นได้
แต่ทว่าทุกคนเอาแต่สังเกตท่าทีของกันและกันเท่านั้น ไม่มีใครบอกว่าจะยอมเข้าร่วมงานเลี้ยงของมิเอลเลย เหตุผลคงเป็นเพราะธุรกิจเพิ่งจะเริ่มมีชื่อเสียงได้ไม่นาน ทุกคนต่างก็สาละวนอยู่กับงาน จึงไม่มีเวลาพอให้มางานเลี้ยงน้ำชาได้หลายวันนัก
“มันไม่เร็วไปหน่อยหรือคะ แค่เลดี้ให้การต้อนรับแบบนี้ก็ถือว่าดีมากเกินไปแล้วละค่ะ”
“ดิฉันเองก็เป็นแค่สามัญชนเท่านั้น ก็เลยรู้สึกเกรงใจที่จะเข้าร่วมค่ะ”
“ไม่ใช่ว่าพวกเราควรทำตัวรู้จักที่ต่ำที่สูงหรอกหรือคะ”
คุณหญิงท่านหนึ่งหัวเราะคิกคักและกล่าวออกมา คงเป็นเพราะเธอคือสามัญชนทั่วไปจึงพูดออกมาได้อย่างไม่กระดากปาก ไม่แน่ว่าพวกเธออาจจะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างกันขึ้นมาแล้วก็ได้ เพราะสังเกตได้จากการที่พวกเธอส่งเสียงหัวเราะให้กันและกันอย่างสนุกสนาน แต่กับมิเอลแล้วไม่สามารถทำแบบนั้นได้อย่างง่ายดาย
ดูเหมือนการที่พวกเธอตอบรับคำเชิญจากบุคคลชนชั้นสูงนั้น ก็เพียงเพราะว่าเกิดสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาเท่านั้น ไม่ได้คิดที่จะสานต่อสายสัมพันธ์หรือต้องการประจบประแจงเพื่อสิ่งใดเลย
มิเอลที่ไม่คิดไม่ฝันว่าตนเองจะถูกปฏิเสธนั้น ถึงกับมุมปากสั่นเล็กน้อยแบบไม่เป็นที่สังเกต
‘อะไรล่ะนั่น งานเลี้ยงที่ตั้งใจจะดึงคนที่มีอิทธิพลใหม่ๆ มาเป็นพรรคพวก กลายเป็นถูกทิ้งอ้างว้างอยู่เพียงคนเดียวเสียได้’
อาเรียมองท่าทางนั้นของมิเอลแล้วยกแก้วชามาแตะที่ปาก ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยน
ถึงได้มีคำว่ารู้เขารู้เราไงเล่า จะเลือกใครมาเป็นพวกก็ควรศึกษาฝ่ายตรงข้ามให้ดีเสียก่อน แม้บรรดาคุณหญิงจะทำท่าทีสนใจและชวนมิเอลพูดด้วยก็ตาม แต่คุณหญิงส่วนใหญ่สนใจคุยแต่เรื่องธุรกิจเท่านั้น คนที่รู้เรื่องนั้นโดยผิวเผินแบบมิเอลจึงถูกแยกออกจากบทสนทนานั้นอย่างทำอะไรไม่ได้
ทั้งที่อยากจะดึงคนมาเป็นพวกแท้ๆ แต่กลับไม่เตรียมข้อมูลเกี่ยวกับฝ่ายตรงข้ามเลย ช่างโง่เง่าเสียจริง
อาเรียคิดเช่นนั้น เธอวางแก้วชาลงก่อนจะพูดว่า
“จะว่าไปแล้ว ดิฉันได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานมานี้ท่านบารอนคลีนได้ทำการนำเข้าเครื่องเทศชนิดใหม่ใช่ไหมคะ”
เพราะอาเรียรู้ดีอยู่แล้วว่าสามีของพวกคุณหญิงทำธุรกิจอะไรกันบ้าง เธอจึงทำตัวกลมกลืนเข้ากับบทสนทนาได้อย่างเป็นธรรมชาติต่างจากมิเอล ดูเหมือนบารอนเนสคลีนจะคิดว่าอาเรียไม่รู้เรื่องนั้น เธอจึงเบิกตาโตและตอบกลับมา
“มีข่าวลือหลุดออกไปแล้วหรือคะนี่ ทั้งที่ยังไม่ได้นำสินค้าออกวางตลาดแท้ๆ…”
“ดิฉันสนใจเป็นการส่วนตัว เลยรู้เรื่องเข้าระหว่างหาข้อมูลน่ะค่ะ ได้ยินว่าราคาถูกแถมยังช่วยให้รสชาติอาหารอร่อยขึ้นด้วย ดิฉันว่าจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนเลยค่ะ”
“เลดี้คิดแบบนั้นดิฉันก็ดีใจค่ะ แต่ดิฉันก็ยังสงสัยอยู่เลยค่ะ ว่ามันจะขายดีหรือเปล่า”
“ไม่เห็นจำเป็นต้องสงสัยเลยค่ะ ไม่มีประเทศไหนจะนิยมเครื่องเทศเท่ากับอาณาจักรนี้แล้วค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น การที่สามัญชนทั่วไปสามารถหาซื้อเครื่องเทศที่เรียกได้ว่าเกือบจะเป็นทรัพย์สินของชนชั้นขุนนางได้ในราคาที่เอื้อมถึงนั้น ก็ยิ่งทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องความล้มเหลวเลยค่ะ”
“…เหมือนกับที่นักลงทุน A พูดไว้เลยค่ะ ท่านผู้นั้นเองก็ให้พูดให้กำลังใจผ่านทางจดหมายแบบนั้นค่ะ”
“เห็นได้ชัดว่านั่นจะต้องเป็นเครื่องเทศที่ทุกคนชื่นชอบอย่างแน่นอนค่ะ”
เพราะเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ในอนาคตอยู่เลย อาเรียจึงให้คำแนะนำและบอกกับคุณหญิงท่านอื่นๆ ว่าธุรกิจของสามีพวกเธอจะเป็นไปได้ด้วยดี เพราะอาเรียรู้ถึงรายละเอียดของธุรกิจเป็นอย่างดีจึงให้คำแนะนำได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งคำแนะนำของเธอมีส่วนที่คล้ายกับสิ่งที่นักลงทุน A เคยพูดไว้ ทำให้คุณหญิงทั้งหลายต่างตั้งใจฟังที่เธอพูด
แล้วกระแสของงานเลี้ยงที่ถูกชักนำโดยมิเอลก็ตกไปเป็นของอาเรียโดยไม่รู้ตัว
…………………………………………….