พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 171
กว่ามิเอลจะตื่นขึ้นมาก็หลังจากที่พระอาทิตย์ตกดินและท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว
เธอลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด หน้าต่างทุกบานถูกปิดเอาไว้ไม่มีแสงเล็ดลอดผ่านเข้ามาแม้แต่น้อย เธอจ้องมองความมืดอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง
‘รู้สึกเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรสักอย่างขึ้นนะ…’
เธอจำอะไรไม่ได้เลยราวกับความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่ทันได้ตั้งตัวนั้นได้หยุดไป เธอจำได้เพียงแค่ว่าหลังจากที่เธอซื้อดอกยี่โถแล้วก็บอกให้อาเรียรู้ถึงเรื่องนั้นอย่างลับๆ เท่านั้น ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นเธอนึกอะไรไม่ออกเลยราวกับมันถูกลบออกไป
เธอลองรื้อความจำในอดีตอยู่สักพักและพยายามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแต่แล้วก็ได้ยินเสียงโซ่ดังอยู่นอกประตู
เป็นเสียงที่ดังเหมือนกับมีใครกำลังเปิดประตูที่ถูกล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนาด้วยโซ่
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…!
มิเอลที่ยังจำเรื่องอะไรไม่ได้และยังไม่พร้อมยอมรับความเป็นจริงจ้องมองไปยังทิศทางที่เสียงดังขึ้นพร้อมกับตัวสั่นไปทั่วร่างเมื่อต้องพบกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้
และ
“ตื่นอยู่แล้วสินะ มัดเธอซะ! ”
ผ่าง ทหารจำนวนมากเปิดประตูเข้ามาและเริ่มมัดร่างกายอันบอบบางของมิเอล
“นี่ นี่มันอะไรกันน่ะ! ”
มิเอลสับสนและตะโกนออกมาแต่ไม่มีใครตอบคำถามของเธอเลย กลับบอกว่าเอะอะเสียงดังและมีแต่จะเพิ่มแรงที่มือมากขึ้นไปเท่านั้น
“ปล่อย บอกให้ปล่อยไง! ”
มิเอลทำอะไรไม่ถูก เธอลืมว่าตัวเองถูกลดชนชั้นลงแล้วและพูดไม่สุภาพพร้อมทั้งขัดขืน นี่ทำให้ทหารขมวดคิ้วออกมาและตะคอกใส่มิเอล
“หนวกหูชะมัด! เป็นนักโทษยังกล้าดีอีกหรือ!“
ถึงจะเป็นแค่นักโทษ แต่ฉันก็ออกมาจากคุกตามขั้นตอนที่ถูกต้องนะ ทำไมถึงได้ทำตัวหยาบคายขนาดนี้กัน!
แม้ว่าความทรงจำของวันจะหายไปแต่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น มิเอลจึงไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดเธอถึงต้องถูกมัดเช่นนี้
“พี่ เรียกพี่อาเรียให้ฉัน! ฉันบอกว่าให้เรียกพี่อาเรียมาไง! ”
ฉะนั้นแล้วเธอจึงอยากเรียกอาเรียให้มาหาเพื่อบอกให้รู้ถึงสถานการณ์ที่ไม่ยุติธรรมต่อตัวเธอแบบนี้ แต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นมีเพียงการยิ้มเย้ยหยันและสายตาเยือกเย็นเท่านั้น
“ยังมีหน้าเรียกหาคุณอาเรียอีกหรือ! ”
“…มะ หมายถึงอะไรกัน”
“ไม่สำเหนียกเลยสินะ”
“หน้าด้านหน้าทนเสียจริง”
แม้แต่ทหารที่มัดตัวมิเอลอย่างเงียบๆ ก็ยังร่วมกับดูถูกดูแคลนมิเอล ท่าทางพวกเขาจะสะสมความรู้สึกแย่ๆ ที่มีต่อมิเอลซึ่งตั้งใจจะฆ่าอาเรียที่คอยเมตตามิเอลไม่รู้ตั้งกี่หน
“ทำเรื่องแบบนั้นไว้แล้วยังจะเรียกหาคุณอาเรียอีกอย่างงั้นหรือ”
“ถึงจะเคยเห็นนักโทษมานักต่อนักแล้วก็เถอะ แต่เพิ่งจะเคยเห็นคนที่โง่เง่าได้ขนาดนี้เป็นครั้งแรกเลยนะนี่”
“ลุกขึ้นมา”
ทำเรื่องแบบนั้นงั้นหรือ
ในขณะที่ร่างกายลุกขึ้นด้วยแรงบังคับ ในหัวของมิเอลก็มีฉากหนึ่งของความทรงจำผุดขึ้นมา
เป็นตอนที่เธอจัดเตรียมเวลาน้ำชาและได้ใส่อะไรบางอย่างลงในแก้วชา หลังจากนั้นอาเรียนั่งอยู่ข้างหน้าแก้วชาที่ใส่ยาพิษ
“…อย่า อย่าบอกนะว่าพี่อาเรียตายแล้ว เป็นอย่างนั้นรึเปล่า”
หากไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว จะมีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะต้องมาทำเช่นนี้กับตนเล่า! หลังจากที่มิเอลถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นไหว ไม่รู้ว่าพวกทหารที่เข้ามาในห้องของมิเอลตีความเช่นไร พวกเขาถึงได้อึ้งหมดคำจะพูด
“เสียใจด้วยนะ แต่คุณอาเรียยังปลอดภัยดีต่างไปจากสิ่งที่เธอหวังไว้”
มิเอลทำหน้าไม่เข้าใจในคำตอบที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยัน ในเมื่อเขาบอกว่าพี่อาเรียปลอดภัยดีแล้วทำไมกัน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึง…ทำไมถึงต้องมัดฉันด้วยล่ะ…ถ้าพี่อาเรียยังปลอดภัยดีอยู่แล้วทำไมต้องทำแบบนี้ล่ะ! ”
“…เหอะ”
เหล่าทหารพูดไม่ออกอีกครั้งและอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นมิเอลแสดงท่าทีหงุดหงิดออกมา นั่นเป็นเพราะพวกเขาตีความจากคำถามของมิเอลว่าเธอกำลังสื่อว่า ‘มันเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมาแต่คนที่ตายไม่ใช่พี่อาเรียเสียหน่อยทำไมถึงต้องมัดฉันด้วยเล่า’ นั่นเอง
ทั้งๆ ที่พี่ชายของตัวเองคือคนที่ต้องมารับเคราะห์นั้นไปแท้ๆ
“อย่างที่คิดเลยนะ ช่างสมกับเป็นคำถามของคนที่ผลักพ่อตัวเองตกบันไดจริงๆ ”
“…หมายความว่าอย่างไรน่ะ ทำไมอยู่ๆ ถึงพูดเรื่องพ่อออกมากันเล่า”
“หยุดคุยกันแล้วก็นำตัวไปได้แล้ว และอย่าสร้างความวุ่นวายขึ้นในคฤหาสน์อีก”
แม้จะถามออกไปเพราะไม่รู้ถึงสาเหตุแต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นคือสัมผัสมืออันหยาบกระด้าง
หลังจากรัดเชือกที่มัดตัวมิเอลอย่างสุดแรงแล้ว ร่างกายอันบอบบางของมิเอลก็ถูกลากออกไปอย่างง่ายดาย
“กรี๊ด! ”
เธอเกือบจะล้มคว่ำลงเพราะแรงกระชากที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ทหารที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เดาะลิ้นไม่พอใจและช่วยจับตัวเธอขึ้นมาเพื่อไม่ให้ล้ม
“รีบเดินซะ และอย่าสร้างปัญหาให้กับคุณอาเรียอีก”
“ฉัน ฉันทำอะไรเล่า ฉันถามว่าฉันทำอะไร…! ”
ท่าทางไร้ยางอายไม่มีที่สิ้นสุดนั้นทำให้เหล่าทหารปฏิบัติต่อเธอด้วยความหยาบคายยิ่งขึ้น และนั่นทำให้มิเอลหวาดกลัวขึ้นมา จนเสียงต่อต้านของมิเอลค่อยๆ เบาลง
“ให้ฉันได้พบกับพี่อาเรียเถอะ…! ได้โปรด…ขอร้องละ…! ”
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่หยุดร้องขอให้ได้พบกับอาเรีย นั่นเป็นเพราะเธอคิดว่าหากอาเรียออกตัวช่วยเธอเหมือนกับตอนที่เธอถูกแอนนี่แกล้งแล้วละก็ จะต้องแก้ไขสถานการณ์แปลกๆ นี้ได้นั่นเอง
“ถึงเธอจะไม่ขอร้องแบบนั้น คุณอาเรียก็ออกมาพบเธออยู่ดี”
“…ช่างมีเมตตาอะไรมากมายอย่างนี้ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมยังออกมาพบกับคนแบบนี้ได้อีก”
อาเรียกำลังรอมิเอลอยู่ที่ห้องโถงตามที่ทหารกล่าว แถมยังมีคารินอยู่ด้วยโดยที่เธอไม่คาดคิดมาก่อนเลย
และข้างๆ คารินก็มีผู้ชายที่เคยเห็นหน้าอยู่สองสามครั้งอยู่ด้วย
และเขาก็คือโคลอีพ่อแท้ๆ ของอาเรียนั่นเอง
อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งจะได้ข่าวในภายหลัง คารินที่อยู่ในอ้อมแขนของโคลอีจึงถลึงตาจ้องมิเอล
“พี่ พี่อาเรีย! ท่านแม่…! ”
หลังจากที่มิเอลซึ่งถูกลากออกไปได้หันไปเรียกอาเรียและคาริน คารินก็กลั้นหายใจราวกับไม่อยากจะเชื่อและตอบออกมาว่า
“แม่งั้นหรือ! ยังมีหน้ามาเรียกฉันว่าแม่อีกรึไง! ทำไมถึงได้…!”
เสียงที่พรั่งพรูออกมาทำให้มิเอลสะดุ้งจนห่อไหล่เล็กลง
แม้ว่าตอนนี้คารินจะไม่มีศักดิ์เป็นแม่แล้วก็ตาม แต่จำเป็นต้องแสดงท่าทางหยาบคายขนาดนั้นเชียวหรือ และโคลอีที่โอบไหล่คารินอยู่ก็ถลึงตาขาวแสดงความเกลียดชังมาที่มิเอล
และข้างๆ พวกเขามีเพียงอาเรียคนเดียวเท่านั้นที่ทำหน้าสงสารมิเอลอยู่ มิเอลจึงเรียกชื่ออาเรียขึ้นมาอีกครั้ง
“พี่ พี่คะ! พี่อาเรีย! ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่เลยค่ะ! ช่วยน้องด้วยนะคะ! ”
เมื่อเห็นมิเอลแสดงท่าทีที่ไม่คาดคิดออกมา อาเรียก็ขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อยโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
สีหน้าของอาเรียกำลังสับสน เพราะแทนที่มิเอลจะดิ้นพล่านและอาละวาดออกมาว่ากล้าดียังไงมาหลอกฉันแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้ร้องขอความช่วยเหลือจากตัวเธอกัน
“ผิดพลาดงั้นเหรอ”
“มะ ไม่รู้ค่ะ! น้องจำได้รางๆ เท่านั้นค่ะ แต่อย่างไรก็ตามคนที่นั่งอยู่หน้าน้ำชานั่นก็คือพี่อาเรีย แต่พี่อาเรียก็ปกติดีนี่คะ! “
“น้องบอกว่าจำได้รางๆ เท่านั้นหรือ”
“ฮึก…ค่ะ…! ใช่ค่ะ! “
“น้องหมายถึงน้องจำเรื่องที่ตัวเองทำไม่ได้เลยสักเรื่องหรือ”
มิเอลพยักหน้าอย่างแรงพร้อมน้ำตาไหลพราก เมื่อเห็นเช่นนั้นอาเรียก็ยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองพร้อมกับเบิกตาโพลง ดูเหมือนมิเอลจะไม่ได้โกหกจริงๆ
…ทำไมถึงรู้สึกสนุกที่จะได้แก้แค้นจนถึงวินาทีสุดท้ายได้ขนาดนี้กันนะ
หากถูกสอบสวนในสภาพนั้น จะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมมากขนาดไหนกันนะ และหากว่าความทรงจำกลับคืนมาในระหว่างนั้นละก็ เธออาจจะช็อกจนเป็นบ้าไปเลยก็ได้ เพราะทุกอย่างถูกยืนยันแล้วว่าเป็นฝีมือของมิเอลที่ตั้งใจจะฆ่าอาเรีย
โดยที่ไม่รู้เลยว่าฉันคือผู้สมรู้ร่วมคิด
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่สนุกเอาเสียเลยเมื่อเห็นมิเอลทำหน้าไม่สลดแบบนั้น อาเรียคิดว่ามิเอลควรจะรู้เรื่องการตายของเคน เธอตีหน้าเศร้าและค่อยๆ พูดออกมาอย่างระมัดระวัง
“ถ้าอย่างนั้น…น้องก็ไม่รู้เรื่องที่พี่เคนเสียแล้วอย่างนั้นหรือ…”
และแน่นอนว่าเมื่อได้ยินเรื่องนั้นเข้ามิเอลก็ตกใจตัวแข็งทื่อจนลืมหายใจ ท่าทางของเธอกำลังถามว่านั่นหมายความว่าอย่างไรกันแน่
จากนั้นอาเรียก็อธิบายว่าเคนตายได้อย่างไรด้วยตัวเธอเอง
“…ก็พี่เคนน่ะ…ดื่มชาที่น้องวางยาพิษเข้าไป…! จากนั้นก็อาเจียนเป็นเลือด…แล้วก็…! ”
แล้วอาเรียก็เอาหน้าซุกมือราวกับว่าไม่สามารถพูดต่อไปได้อีก ส่วนมิเอลก็พูดตะกุกตะกักออกราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“นั่น นั่นมันหมายความว่ายังไงกันคะ…ทำไมถึงบอกว่าพี่เคนดื่มชานั่นกันล่ะคะ…! ก็พี่เคนน่ะไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องมาที่นี่ตั้งแต่แรกนี่คะ!”
เสียงตะโกนของมิเอลทำให้เหล่าทหารทำหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก เธอไม่ปฏิเสธเรื่องวางยาพิษในน้ำชา แต่กลับค่อยๆ สารภาพออกมาเองเรื่อยๆ แบบนี้เลยงั้นหรือ ไม่จำเป็นที่จะต้องสืบสวนต่อไปอีกแล้ว
“เพราะว่านั่นมันเป็นเวลาพักดื่มน้ำชาที่น้องเป็นคนเตรียมครั้งแรกยังไงล่ะ…! เพราะอย่างนั้นพี่ได้เรียกพี่เคนมาร่วมด้วย แต่เพราะพี่เคนดื่มชาที่เคยวางในที่ของพี่มาก่อน…! ”
หลังจากที่พูดมาถึงตรงนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนึกถึงภาพเคนอาเจียนออกมาเป็นเลือดแล้วตายไปหรืออย่างไร สีหน้าของมิเอลถึงได้ดูเหมือนคนใจสลายลงในชั่วพริบตา
แม้จะไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าการที่เธอสูญเสียความทรงจำไปนั้นเป็นเพราะได้รับการกระทบกระเทือนทางร่างกายหรือเป็นเพราะสลบไปเลยจำอะไรไม่ได้ชั่วคราวกันแน่ แต่ทุกครั้งที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นความทรงจำของมิเอลจะกลับมาเป็นบางส่วน
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้…! ”
ถึงจะไม่ยอมรับแต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ในเมื่อเคนจากโลกนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
ทหารเดาว่าการพูดคุยได้จบลงแล้ว จึงผลักมิเอลไปข้างหน้า และมิเอลก็ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัวในสภาพจิตใจล่องลอย
“พี่ขอโทษที่ครั้งนี้ช่วยอะไรไม่ได้เลยมิเอล…”
อาเรียเช็ดน้ำตาและพูดออกมา และนั่นยิ่งทำให้ความโกรธแค้นของทุกคนที่มีต่อมิเอลเพิ่มมากขึ้น
เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
มีเพียงมิเอลที่คิดว่าเหตุการณ์นี้มันแปลกมากๆ
“มิเอล ฉันอุตส่าห์เชื่อใจเธอ…ทั้งที่ตอนนี้ฉันเชื่อว่าเธอจะไม่ทำเรื่องเลวร้ายอีกแล้วแท้ๆ…! แต่ทำไมเธอถึงได้…”
เมื่อมิเอลถูกทหารผลักให้ออกมาที่ประตูทางเข้า ก็ได้ยินน้ำเสียงแห่งความแค้นใจของเจสซี่ดังขึ้นมา ดูเหมือนเจสซี่จะเชื่ออย่างสนิทใจว่ามิเอลจะสามารถกลับตัวกลับใจได้
เหมือนกับที่เคยหวังในตัวอาเรียเอาไว้ในอดีต
“…! ”
และเนื่องจากมิเอลเอาแต่ร่ายยาวเกี่ยวกับเรื่องที่เธอได้ทำลงไปที่ประตูทางเข้าแล้วและนั่นก็ไม่ต่างไปจากการสารภาพเลย จึงไม่จำเป็นต้องสืบสวนหรือไต่สวนเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงอีก
อีกทั้งพยานและหลักฐานก็มีอยู่อย่างชัดเจนยิ่งทำให้ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพียงแค่ตะคอกใส่มิเอลที่เอาแต่ปฏิเสธอย่างงุนงงก็เป็นอันจบแล้ว
และในระหว่างนั้นเมื่อมิเอลจำทุกอย่างได้ ไม่ว่าเธอจะยืนกรานว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจฆ่าอาเรียและบอกว่าอาเรียเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอย่างไรก็ตาม ก็จะไม่มีใครเชื่อเธอเลยสักคน
ตรงกันข้ามเธออาจจะถูกด่าว่าพูดจาไร้สาระเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ และอาจจะถูกทุบตีอย่างรุนแรงก็เป็นได้
และหลังจากนั้นก็คงจะถูกตัดสินโทษประหารในทันที ไม่สิ บางทีอาจจะได้รับโทษที่ร้ายแรงยิ่งกว่าโทษประหารก็เป็นได้
อาเรียทำหน้าเสียดายที่ไม่ได้เห็นฉากสอบสวนด้วยตาตัวเอง และเรียกเจสซี่ที่ยืนหันหลังให้กับเหล่าสาวใช้ซึ่งกระจายตัวกันออกไปและพากันด่าทอมิเอล
“เจสซี่”
“…คะ เอ่อ ค่ะ เลดี้…”
“มันดึกมากแล้ว แต่ดื่มชาด้วยกันสักแป๊บดีไหม”
“…ชาหรือคะ”
เจสซี่ถามกลับพร้อมด้วยสีหน้าที่มีความรู้สึกผิดแฝงอยู่ ดูเหมือนเธอจะคิดว่าเป็นเพราะเธอช่วยเหลือและปกป้องมิเอล จึงทำให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกอาเรียหลอกใช้
“อืม คงเพราะว้าวุ่นใจน่ะ เลยรู้สึกเหมือนจะนอนไม่หลับยังไงไม่รู้สิ เธอเองก็คงเหมือนกัน”
“…เอ่อ ค่ะ…ดิฉันจะไปเตรียมมาให้เดี๋ยวนี้ค่ะ”
เมื่อได้ยินอาเรียพูดว่าคงจะนอนไม่หลับ สีหน้าของเจสซี่ก็ดูเศร้าหมองเป็นอย่างมาก
และคงเป็นเพราะแบบนั้นเจสซี่จึงเตรียมของว่างด้วยความเงอะงะไม่สมกับเป็นเธอก่อนจะเข้าไปที่ห้องของอาเรีย
“…เลดี้”
เสียงของเจสซี่ที่เรียกอาเรียฟังดูระมัดระวังเป็นอย่างมาก แล้วอาเรียก็บอกให้เจสซี่นั่งลงฝั่งตรงข้ามและยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
“นั่งสิเจสซี่ ดื่มคนเดียวมันเหงาน่ะ นั่งดื่มด้วยกันเถอะ”
“…”
คนอย่างเธอจะมีสิทธิ์อะไรไปนั่งตรงนั้นกันเล่า เพราะความเห็นใจที่ไม่เหมาะสมของเธอ ทำให้เจ้านายตัวเองเกือบตกอยู่ในวิกฤตแห่งความตายเสียแล้ว
“เร็วสิ เดี๋ยวชาก็เย็นหมดหรอก”
ทว่าอาเรียก็ยังไม่ยอมแพ้และเร่งขึ้นมา จนในที่สุดเจสซี่ก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามอาเรีย ทั้งคู่ดื่มชาโดยที่ไม่พูดอะไรออกมาอยู่พักหนึ่ง
“ฉันน่ะไม่คิดว่าการที่เจสซี่เอาใจใส่มิเอลเป็นเรื่องแย่หรอกนะ”
จากนั้นจู่ๆ อาเรียก็เปิดประเด็นขึ้นมา
เจสซี่สะดุ้งตกใจขึ้นมา เธอเบิกตาโตและจ้องไปที่อาเรีย ส่วนอาเรียก็ยังยิ้มอ่อนโยนอยู่เช่นเดิม
“ในโลกนี้น่ะมีผู้คนตั้งมากมายที่เสียใจและสำนึกผิดกับความผิดที่ตัวเองได้ทำลงไปนี่นา”
และแน่นอนว่าคนที่ไม่คิดเช่นนั้นก็มีอยู่ด้วย ยกตัวอย่างเช่น มิเอลและอาเรียที่เคยทำให้เจสซี่เกิดความวุ่นวายและไล่เธอออกไปเมื่อครั้งอดีต
“เพราะอย่างนั้นแหละฉันถึงไม่คิดว่าเธอทำอะไรผิดไป เพียงแต่…”
อาเรียหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะฉิบชาและพูดต่อ
“เพียงแต่เธอควรจะพูดและทำอะไรอย่างรอบคอบกว่านี้อีกหน่อย อย่าเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจให้คนอื่นเห็นจนหมดเปลือก”
“…นั่นหมายความว่าอย่างไรหรือคะ”
“ฉันหมายความว่าหากอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่สามารถเชื่อใจได้อย่างแท้จริงแล้วละก็ จงอย่าเปิดเผยความในใจของเราให้ใครรู้ เช่นนั้นแล้วฝ่ายที่จะต้องเจ็บปวดก็คือตัวเราเองนี่แหละ”
สีหน้าของอาเรียตอนที่พูดเช่นนั้นออกมาดูสงบนิ่งต่างไปจากสีหน้าที่เธอแสดงให้มิเอลเห็นก่อนหน้านี้
ราวกับสีหน้าไหนสีหน้าหนึ่งเป็นเพียงการแสร้งทำ
“ถ้าไม่อย่างนั้นละก็ต้องเจ็บปวดแบบตอนนี้ หรือไม่ก็รู้สึกเสียใจที่ทำให้ใครสักคนต้องเดือดร้อน หากเธอยังคิดจะคงความสัมพันธ์กับฮานส์ต่อไปก็จำเป็นต้องรู้จักวิธีวางตัวแบบนั้นเอาไว้นะ”
ฮานส์กำลังได้ดีในหน้าที่การงาน และหากว่ายังคงแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วละก็ วันที่เจสซี่หญิงผู้เป็นคนรักต้องก้าวเข้าสู่ชนชั้นสังคมก็จะมาถึงในวันหนึ่ง
อาเรียไม่ต้องการให้เจสซี่ต้องเสียสละหรือเจ็บปวดเพื่อคนอื่นอีกต่อไป แม้คนอื่นอาจจะร้ายได้ไม่เท่านางมารแบบอาเรียก็ตาม แต่อย่างน้อยอาเรียก็ไม่อยากให้เจสซี่คิดหรือเชื่ออย่างสุดใจว่าคนอื่นจะสามารถปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นได้
และดูเหมือนเจสซี่เองก็ตระหนักได้จากเรื่องที่เกิดในครั้งนี้ จึงได้แต่ทอดสายตาลงต่ำและกัดริมฝีปาก พยักหน้าอยู่เงียบๆ
…………………………………………..