พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - บทที่ 204 (ตอนพิเศษ ตอนที่ 22)
หลังจากเลือกชุดเสร็จ ก็ใช้เวลาแต่งตัวไม่นานเท่าไรนัก อย่างไรเสียเจ้าของร้านก็เป็นผู้ชาย และเนื่องจากไม่มีอาเรียอยู่จึงไม่ต้องสวมหน้ากากอีกต่อไป
เช็ดตัวอย่างลวกๆ พร้อมกับสวมชุดนั้นโดยใช้เวลาไม่นาน จนกระทั่งเจ้าของร้านจัดการเอาชุดออกมาให้ทั้งหมดก็ยังไม่เห็นวี่แววของอาเรีย
‘หรือว่าจะไม่รู้วิธีสวมชุดนะ’
แม้จะเป็นชุดเดรสชิ้นเดียวแต่ก็ไม่ดูเหมือนใส่ไม่เป็น ถึงจะเป็นเด็กเล็กก็ตาม อย่างไรซะก็ได้เห็นอะไรหลายอย่างที่หล่อนไม่เคยทำมาก่อนแล้วนี่นา
โชคดีที่ต่างจากอาซที่เป็นกังวล แม้จะใช้เวลาอยู่พักใหญ่ก็ตามอาเรียก็เปลี่ยนชุดและออกมาจากห้องลองเสื้อได้อย่างเรียบร้อย เพราะเอาแต่นั่งอยู่โซฟาไม่พูดอะไร อาซจึงเบนสายตาไปยังอาเรียที่เพิ่งออกมาจากห้องแต่งตัว
“ใส่แบบนี้…ถูกไหม”
“…….”
ให้ตายสิ
อาซหลังลืมคำพูดตัวเองอีกครั้ง
“ถูกไหมนะ”
อาเรียที่ไม่สบายใจอยู่เล็กน้อยจึงเผยสีหน้าตกใจ ทันใดนั้นอาซก็พยักหน้าให้ราวกับเป็นตุ๊กตา
“พอลองใส่ดูแล้วก็ไม่แย่นะ ดูดีกว่าที่ฉันเลือกให้เมื่อกี้”
อาเรียจับชายกระโปรงหมุนตัวไปมาราวกับชอบใจ ด้วยใบหน้าอมยิ้ม เจ้าของร้านจึงเอ่ยปากพูดแทนอาซที่มองภาพนั้นราวกับเป็นคนโง่
“ถ้าสวมริบบิ้นสีแดงเข้ากับชุดเดรสล่ะก็จะยิ่งสวยมากกว่านี้เลยล่ะครับ”
ในมือของเขามีริบบิ้นสีแดงเตรียมไว้อยู่แล้ว
ดูเหมือนว่าเขาคิดจะติดริบบิ้นกับเดรสนั่นให้อาเรีย ด้วยความตั้งใจที่จะช่วยเหลือให้แขกสวมชุดอย่างสมบูรณ์แบบ
“เดี๋ยวก่อน ฉันทำเอง”
ทว่าอาซกลับไม่มองเช่นนั้น ดูไม่บริสุทธิ์ใจ แม้อาเรียเด็กเกินไปที่จะคิดอย่างนั้น แต่ก็เผลอคิดไปเสียแล้ว
อาซดึงริบบิ้นและลูกไม้ที่อยู่ในมือเจ้าของร้านบูทีคมา เขาไม่เคยติดริบบิ้นหรือลูกไม้ให้ใครเลยจึงไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ก็แค่ดึงมาเท่านั้น
“ฮืม…”
และก็กลับมากังวล
นี่ต้องผูกอย่างไรกันนะ เจ้าของร้านบูทีคจึงได้แต่มองอย่างเวทนาพลางพูดออกมาเบาๆ
“ริบบิ้นนั่นก็แค่ติดกับหมุดที่ชุด ส่วนลูกไม้ก็.. เห็นส่วนหนาตรงนั้นไหมครับ แค่เอาไปติดไว้แบบนี้ก็ได้แล้วครับ เป็นการตกแต่งชุดง่ายๆ ต่อไปคุณจะทำได้สะดวกขึ้นครับ”
แต่ก็ไม่มีคำขอบคุณใดๆ
หลังอธิบายเสร็จอาซนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งราวกับรู้อยู่แล้วแต่แค่ไม่ทำจากนั้นจึงไปยืนอยู่หน้าอาเรีย เพื่อจะติดริบบิ้นให้ ทว่ากลับทำไม่ได้
“ติดด้านบนหน้าอกนะครับ”
รู้แล้ว บอกว่ารู้แล้วไง!
ที่ทำแบบนั้นไปตอนนี้ไม่ใช่เพราะไม่รู้ แต่เพราะตำแหน่งมันก็ดูไม่เหมาะสักเท่าไร เขาเขินอาย ทำไมต้องเป็นบริเวณหน้าอกด้วย
ถึงจะยังเป็นเด็กแต่เธอก็เป็นผู้หญิง เป็นเพศตรงข้าม และยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่เมื่อกี้เธอยังดูสวยมาก เพราะฉะนั้นเขาจึงเขินและอับอายจนไม่กล้าติดริบบิ้นเหนือหน้าอก
แต่จะฝากให้เจ้าของร้านมาทำก็ไม่ได้ อย่างไรเสียก็ต้องติดอยู่ดี
“…….”
มือของอาซที่จับริบบิ้นค่อยๆ เคลื่อนไหว ด้วยความเร็วที่เชื่องช้ามาก เพราะอย่างนั้นทั้งอาเรียและเจ้าของบูทีคต่างสังเกตเห็นมือที่สั่นอยู่ของเขา
แค่ติดริบบิ้นเท่านั้นเอง เนื่องจากเป็นฉากที่ตลกมากจริงๆ เจ้าของบูทีคจึงกลั้นหัวเราะในท่าทางเก้ๆ กังๆ ของอาซ ส่วนอาเรียก็เอนหน้าหันมาถาม
“เจ็บตรงไหนเหรอ เธอติดสุราหรือเปล่า”
เป็นคำถามที่ไม่คาดคิด
อาซขมวดคิ้วแน่น
“ติดสุรางั้นเหรอ”
“แม่ฉันบอกมาอย่างนี้น่ะ คนที่ดื่มสุรามากจนติดสุรา มือเขาจะสั่นเทา เหมือนอาซเลย”
ก็จริงที่เขามือสั่นอยู่นั่นจึงเป็นคำตอบที่ไม่มีช่องเว้นว่างให้เขาได้โต้แย้ง
เจ้าของร้านบูทีคยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ดวงตาของอาซเริ่มล่อกแล่กไปมา
“มันก็… คือว่า…”
“ติดสุรางั้นเหรอ”
“เปล่าสักหน่อย! ฉันไม่ดื่มสุรา อายุฉันตอนนี้กี่ปีเอง… ยัง 10 ปีเองนะ นั่นก็ ก็แค่… เป็นโรคประจำตัวน่ะ”
“โรคประจำตัว”
ไม่สิ ทำไมถึงพูดแก้ตัวแบบนี้ไปนะ
อาซรู้สึกเสียใจพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ สถานการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ
“ใช่ โรคประจำตัว…”
“โรคประจำตัวคืออะไรเหรอ”
“โรคที่มีติดตัวตั้งแต่เกิด”
“เพราะอย่างนั้นเลยมือสั่นเหรอ ไม่ใช่เพราะว่าติดสุราสินะ”
“…ใช่”
ก็ได้ ปล่อยไปอย่างนั้นก็แล้วกัน อาซพูดราวกับยอมแพ้
ทันใดนั้นอาเรียก็เผยสีหน้าที่ดูเป็นห่วงขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นจะไม่หายเหรอ”
“…คงงั้นมั้ง”
ความกังวลของอาเรียยิ่งเพิ่มมากขึ้น
อาซจึงเบนสายตาลงจ้องหน้าอาเรีย ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกอับอายขายหน้าอยู่เลย แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ความรู้สึกพวกนั้นได้หายวับไปเสียแล้ว
แม้จะละอายใจตัวเองที่พูดโกหกไปโดยไม่ตั้งใจ แต่แค่บอกเหตุผลออกไปตามตรงก็เท่านั้น ไว้ค่อยให้อาเรียโตขึ้นอีกหน่อยค่อยบอก ว่าที่เขามือสั่นไม่ใช่เพราะโรคประจำตัว แต่เพราะมีเหตุผลอื่น ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้บอกหรือเปล่า
“แต่ฉันสามารถผูกริบบิ้นให้ได้นะ”
อาซที่แน่วแน่จะติดริบบิ้นจึงแอบขยับมือเล็กน้อยอีกครั้งโดยไม่ให้อาเรียเห็น
ครั้งนี้ถึงจะสั่นอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่งงเหมือนเมื่อครู่แล้ว เพราะดันไปติดริบบิ้นเหนือหน้าอกนิดหน่อย
ถึงจะใช้เวลาสักพักแต่ก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพียงแค่มากกว่ามือที่สั่นรัวนั้นก็ยังมีใบหน้าที่แดงก่ำขึ้น
“มือ”
“อืม”
ทันทีที่ติดลูกไม้บนแขนเสื้อชุดของอาเรีย จากชุดเดรสที่ดูเรียบๆ ไม่สะดุดตาอะไรกลับกลายเป็นชุดที่ดูหรูหราขึ้น ดูเหมือนว่าอาเรียจะพอใจจนมัวแต่มองชุดตัวเองอยู่อย่างนั้น
“เป็นไง พอติดริบบิ้นกับลูกไม้แล้วดูดียิ่งกว่าชุดที่เธอเลือกเมื่อกี้เลยใช่ไหมล่ะ”
“ไม่นะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ แต่ชุดเมื่อกี้ดูสวยกว่า”
เก็บซ่อนสีหน้าและมือที่สั่นทั้งยังถามด้วยทำท่าทางเรียบเฉย แต่คำตอบที่ได้กลับไม่เห็นด้วย*
เฮอะ อาซกลั้นหัวเราะ ดูเหมือนว่าเพราะตอนนี้ยังเด็กอยู่เธอจึงพูดแบบนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะยังพูดแบบนั้นได้หรือเปล่านะ
“อีก 10 ปีให้หลังจะยังตอบแบบนั้นอยู่หรือเปล่านะ สงสัยซะแล้วสิ”
“หืม หมายความว่าอะไรเหรอ”
“ไม่มีอะไรน่ะ”
อาซลูบผมอาเรียเบาๆ พร้อมกับมุมปากที่ยกยิ้มขึ้น
* * *
อาซและอาเรียที่จัดการตัวเองจนสะอาดทั้งยังเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อย จากนั้นจึงออกไปตามริมถนน
แม้จะสวมใส่เสื้อผ้าที่ซื้อจากร้านเก่าๆ แต่ก็ยังมีรัศมีออกมาอย่างโดดเด่น
แม้อายุจะน้อยแต่ดูจากภายนอกแล้ว ก็ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่ควรอยู่แถวนี้ หลังจากที่ออกมาจากบูทีคคนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นต่างจับตามองอยู่ตลอด
เข้าทางมาผิดหรือเปล่านะ
คงไม่ใช่ว่าหลังจากพูดอะไรผิดไปแล้วจะโดนล้างแค้นทีหลังหรอกนะ
หากเป็นไปได้ก็พยายามไม่หันไปมองแล้วเดินผ่านไปเงียบๆ ดีกว่า
คนที่เดินผ่านแถวนั้นคิดเช่นเดียวกันจึงเดินไปอย่างเงียบๆ ยังมีสายตาราวกับสงสัยว่าทำไมถึงออกมาจากร้านบูทีคเก่าๆ นั่นด้วย
คนหนึ่งก็เป็นมกุฎราชกุมาร ที่ไม่เหมาะกับที่แบบนี้ตามความคิดของคนพวกนั้น ส่วนอีกคนที่เหลือก็เป็นลูกสาวของโสเภณีที่โดนดุด่าสารพัด
อาเรียที่ไม่สนใจว่าจะทำอะไรจึงหันไปถามอาซ
“จะไปที่ไหนเหรอ”
“ตอนนี้ต้องหาอะไรทานแล้วสิ ตอนแรกก็ตั้งใจว่าออกมาหาอะไรทานแต่สภาพดูไม่ได้เลยต้องซื้อเสื้อผ้า”
ท้องของอาเรียส่งเสียงดังโครกครากราวกับตอบ เป็นการตอบรับที่เหมือนกับรอจังหวะมานานแล้ว
“ฉันก็เหมือนกัน ส่วนเธอก็น่าจะหิวด้วย”
“ฉันหรือ”
“ใช่ เธอไง เสียงดังจากในท้องร้องขออาหารอยู่นี่นา”
“แต่ว่าเงิน…”
ไม่มีนะ
อาเรียที่ตั้งใจจะพูดอย่างนั้นกลับเบิกตาโตขึ้น หรือว่า.. หรือจะซื้ออาหารให้ด้วยเหมือนกับที่ซื้อเสื้อผ้าให้อย่างนั้นเหรอ เธอตั้งความหวังไว้
แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่ก็เป็นใบหน้าที่น่ารักมากจริงๆ เป็นสีหน้าที่แม้เธอจะขอให้ซื้ออาหารรสเลิศทั้งจากบนเขาหรือจากทะเลก็จะหามาให้อย่างเต็มที่
อาซยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางลูบศีรษะอาเรีย
“ทานคนเดียวไม่อร่อยน่ะ ถ้าไม่ถืออะไรอยากจะให้มาทานด้วยกัน”
ไม่จำเป็นต้องรอคำตอบด้วยซ้ำ เพราะอาเรียต้องอดอยากเนื่องจากทานขนมปังไม่ได้นี่นา กลัวว่าอาซจะกลับคำพูดอาเรียจึงรีบพยักหน้าจนคอแทบหลุด
“รู้จักที่อร่อยๆ ไหม”
“อื้ม! ถึงจะไม่เคยกินแต่รู้นะ! เดินผ่านทุกครั้งก็มีกลิ่นน่าอร่อยลอยมาจนน้ำลายไหลตลอดเลย!”
“ได้เลย ถ้าอย่างนั้นก็ไปที่นั่นกัน ช่วยนำทางให้หน่อยนะ”
“อื้ม!
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันได้เลย!” อาเรียจับมืออาซแน่น ราวกับจะบอกว่าตั้งแต่ตอนนี้จะรีบไปแล้วให้เตรียมใจไว้เสียอย่างนั้น
และไม่แปลกใจเลย จากที่อาเรียเดินช้าๆ เพราะเอาใจใส่อาซกลับต่างจากเดิมกลายเป็นก้าวอย่างเร่งรีบ
แน่นอนว่ายังไม่ลืมว่าอาซได้รับบาดเจ็บ คอยหันมามองสีหน้าและฝีเท้าของอาซอยู่เป็นช่วงๆ เพื่อไม่ให้อาซฝืนตัวเองมากเกินไป
‘อยากกินแค่ไหนกันเนี่ย…’
หน้าตาก็ไม่เห็นเป็นอย่างนั้นแต่ดูท่าทางแล้วทำตัวเหมือนหมาน้อยเลย ลูกหมาที่สั่นหางดีใจเวลาที่บอกว่าจะให้ของกิน ดูน่ารักจนอาซไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มมุมปากของตัวเองได้
โชคดีที่อาซไม่ได้บาดเจ็บเท่าไรนัก ได้รับการรักษาแล้วและก็ไม่มีปัญหากับการเดินทำให้ตามอาเรียได้อย่างสบาย
เพราะอาเรียตัวเล็กกว่าอาซมากทำให้ระยะก้าวยิ่งต่างมากขึ้น ถึงจะเจ็บตัวจนเดินอย่างปกติไม่ได้ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสามารถเดินข้างอาเรียได้ด้วยซ้ำ
อาซเดินตามหลังอาเรียไปอีกหน่อยก็สามารถมาถึงจุดหมาย และแล้วเมื่อมาถึงจุดหมายกลับทำให้อาซพูดไม่ออกอีกครั้ง
“…ที่นี่เหรอ”
ในที่สุดอาซก็เปิดปากถามอาเรีย
“อื้ม! เป็นไง ดูน่าอร่อยมาเลยใช่ไหม!”
คิดว่าจะเป็นร้านอาหารที่มีโต๊ะเก้าอี้นั่ง กลับต่างไปจากที่คาดไว้ ที่ที่อาเรียพาอาซมานั้นเป็นเพียงร้านข้างทาง
เป็นร้านข้างทานที่มีเนื้อที่ไม่รู้ว่าเป็นเนื้ออะไรและผักเสียบไม้ ทาด้วยซอสแปลกๆ วางขายอยู่ บางไม้ไหม้เกรียมเนื่องจากปรับระดับไฟไม่ได้
มีกลิ่นแปลกๆ ออกมา… นั่นเป็นของที่สามารถกินได้จริงๆ ไหมนะ ไม่สิ กินแล้วจะไม่ท้องเสียใช่ไหม ดูท่าทางสุขอนามัยจะไม่ดีสักเท่าไร อาซแสดงสีหน้าสงสัยกับลักษณะอาหารที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต
…………………