พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 314
“เจ้าเอง สหายเต๋ามั่ว?” หลัวเตี๋ยจวินขนตาสั่นแผ่วเบา เผยให้เห็นสายตาประหลาดใจ จากนั้นหันมองรอบด้าน กลับยิ่งดูคิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้น
“ที่นี่ที่ไหน?” หลัวเตี๋ยจวินถอนสายตากลับมา มองไปที่มั่วชิงเฉิน
“ที่นี่…คือก้นทะเลสาบ เพราะมีมุกกันน้ำ ดังนั้นจึงมีที่ให้ตั้งหลักอยู่ได้” น้ำเสียงสงบเรียบของมั่วชิงเฉินทำให้หลัวเตี๋ยจวินสงบลงบ้าง
นิ่งเงียบครู่หนึ่ง
“สหายเต๋ามั่ว (หลัว) เจ้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไร?” ทั้งสองคนเอ่ยปากพร้อมกัน
มั่วชิงเฉินชะงัก แล้วเม้มปากยิ้ม สีหน้าหยิ่งทะนงของหลัวเตี๋ยจวินก็ละมุนลงมาก
มั่วชิงเฉินจึงเล่าเรื่องที่มาถึงที่นี่ได้อย่างไรคร่าวๆ จากนั้นมองไปที่หลัวเตี๋ยจวิน
หลัวเตี๋ยจวินกลับงงงันเล็กน้อยว่า “ข้าก็รู้ไม่แน่ชัด วันนั้นถูกอินทรียักษ์ปีกทองไล่ฆ่า เดิมทีอสูรปีศาจนั่นจะไล่มาทันอยู่แล้ว จู่ๆ มันกลับหันหลังจากไป เปลี่ยนแมงมุมไฟพิษมาไล่แทน ความเร็วของแมงมุมไฟพิษช้ากว่าอินทรียักษ์ปีกทองมาก ข้าจึงฉวยโอกาสเสกคาถาลับหนีออกมาหลายร้อยลี้ ทว่าใครจะรู้เพิ่งร่อนลง ที่ตรงนั้นก็แผ่นดินสะเทือนภูเขาเลื่อนลั่น ฟ้าถล่มแผ่นดินยุบ กระแสอากาศรุนแรงสายหนึ่งดูดข้าเข้าไป”
มั่วชิงเฉินฟังแล้วคิดอะไรขึ้นได้ แผ่นดินสะเทือนภูเขาเลื่อนลั่น? หรือว่า…หลัวเตี๋ยจวินหนีออกไปหลายร้อยลี้ แล้วร่อนลงตรงที่ตนปาระเบิดสะท้านฟ้าพอดี? หากเป็นเช่นนี้ นางก็ช่างดวงไม่ดีจริงๆ
หลัวเตี๋ยจวินพูดต่อไปว่า “ข้าตื่นมา พบว่าตนเองนอนอยู่ในทุ่งหิมะ เพราะเสกคาถาลับร่างกายอ่อนเพลียยากจะขยับเขยื้อนได้ ในเวลานั้นเอง สาวน้อยสองคนเดินมา ข้ารู้สึกผิดปกติรางๆ คิดจะหลบ กลับจู่ๆ ก็มีลมหอมพัดเข้ามา หลังจากนั้นอีกก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้นแล้ว…”
มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปากว่า “ไม่รู้ยังจะดีกว่าสักหน่อย”
“สหายเต๋ามั่ว หมายความว่าเช่นไร?” หลัวเตี๋ยจวินประหลาดใจ
มั่วชิงเฉินถึงเล่าเรื่องที่เห็นสาวน้อยสองคนนี้แบกนางมาโยนลงในทะเลสาบอย่างไร และปรึกษากันว่าจะล้างให้สะอาดแล้วกินเสีย
สีหน้าหลัวเตี๋ยจวินดูไม่ดี ผ่านไปเนิ่นนานถึงว่า “ขอบคุณสหายเต๋ามั่วที่ช่วยชีวิต”
มั่วชิงเฉินส่ายหน้าว่า “เรารบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาสามปี พูดพวกนี้ไปไย ที่สำคัญในยามนี้คือต่อจากนี้ควรทำเช่นไร สาวน้อยสองคนนั้น คืออสูรปีศาจขั้นห้า!”
“อะไรนะ?” หลัวเตี๋ยจวินอึ้งไป “อสูรปีศาจขั้นห้าเหตุใดถึงจำแลงกายได้?”
มั่วชิงเฉินเม้มปากว่า “โลกนี้กว้างใหญ่มีเรื่องประหลาดมากมาย อสูรปีศาจยิ่งมีนับพันนับหมื่นชนิด อย่างไรเสียก็ต้องมีบ้างที่จำแลงกายล่วงหน้าได้”
หลัวเตี๋ยจวินพยักหน้าว่า “ก็จริง เท่าที่ข้ารู้ อสูรปีศาจที่จำแลงกายล่วงหน้าได้ที่เห็นบ่อยที่สุดก็คือประเภทปักษาและเผ่าจิ้งจอก สหายเต๋ามั่วเห็นว่าพวกนางเหมือนอะไร?”
มั่วชิงเฉินส่ายหน้าว่า “ในเวลาเช่นนั้นจะสำรวจอย่างละเอียดได้อย่างไรกัน ทว่าดูจากรูปลักษณ์ภายนอกการพูดจา ก็เหมือนปีศาจจิ้งจอกที่เล่าลือกันทีเดียว…”
“คิกๆ…” หลัวเตี๋ยจวินที่เย็นชาเสมอมาไม่คิดว่าจะหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา
มั่วชิงเฉินชะงัก สองคนสู้ร่วมกันมานานถึงเพียงนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่เห็นนางหัวเราะเช่นนี้ อีกทั้งยังอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้อีก ดูจากการนี้แล้ว ตนไม่ได้ดูผิด หญิงผู้นี้เป็นคนมั่นใจใจกว้างจริงๆ ไม่กระวนกระวายใจ สูญเสียการควบคุมเพราะตกอยู่ในอันตราย
“ปีศาจจิ้งจอก? สหายเต๋ามั่ว เจ้าพูดเช่นนี้กลับเหมือนคำพูดที่หญิงสาวทางโลกใช้ด่าหญิงที่ยั่วยวนสามีตนเองเลยนะ” หลัวเตี๋ยจวินยังคงยิ้มไม่หุบ
บรรยากาศที่อึดอัดมาตลอดดูเหมือนผ่อนคลายขึ้น มั่วชิงเฉินรื่นปากพูดว่า “สหายเต๋าหลัวพูดเช่นนี้ หรือว่าเคยใช้ชีวิตในโลกธรรมดามาก่อน?”
นางรู้ว่าตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรหรือศิษย์ของสำนักบางที่แทบจะไม่เคยไปโลกธรรมดามาก่อน ถึงได้ถามเช่นนี้
หลัวเตี๋ยจวินกลับเปลี่ยนสีหน้าในพริบตา เสียงเย็นจนเหมือนน้ำแข็งว่า “สหายเต๋ามั่วถามมากเกินไปแล้ว!”
มั่วชิงเฉินหุบยิ้ม แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “สหายเต๋าหลัวพูดได้ถูกต้อง”
พูดจบไม่ส่งเสียงอีก หลับตาพักสายตาขึ้นมา
ผ่านไปพักใหญ่ ถึงได้ยินเสียงอ้ำๆ อึ้งๆ ของหลัวเตี๋ยจวินลอยมาว่า “สหายเต๋ามั่ว…มุก…มุกกันน้ำของเจ้าอยู่ในทะเลสาบได้นานเพียงใด?”
มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น เหลือบเห็นหูที่แดงก่ำของหลัวเตี๋ยจวิน รู้ว่าด้วยนิสัยของนาง สามารถทำเช่นนี้ได้ก็คือการขอโทษทางอ้อมแล้ว นึกถึงว่าทั้งสองคนตกระกำลำบากมาอยู่ที่นี่วันหลังยังต้องสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ เกื้อหนุนกันและกัน จึงไม่ถือสาอีก มือประคองมุกสีฟ้าอ่อนที่ห้อยอยู่ที่เอวว่า “มุกกันน้ำนี้ได้มาจากอสูรทะเลขั้นห้า สามารถหลบอยู่ในน้ำได้หนึ่งเดือน”
ในที่สุดหลัวเตี๋ยจวินก็บรรเทาความกระอักกระอ่วนได้เล็กน้อย ขมวดคิ้วว่า “เวลาหนึ่งเดือนไม่สั้น น่าจะทำให้สาวน้อยสองคนนั้นเลิกคิดได้ ทว่าอย่างไรเสียก็ไม่ใช่แผนระยะยาว”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “ถูกต้อง สองสามวันนี้ที่เจ้าสลบไสลอยู่ข้าก็คิดไว้แล้ว อย่างไรเราก็ต้องออกไป สำรวจเสียหน่อยว่าที่นี่สถานการณ์เป็นเช่นไรกันแน่ อยู่ในทะเลสาบนี่ตลอดเวลา ก็คือนั่งรอความตาย ยันต์ซ่อนวิญญาณของข้าใช้ไปหมดแล้ว”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ออกไปเถอะ” หลัวเตี๋ยจวินลุกขึ้นยืน
“สหายเต๋าหลัว ลับมีดไม่ทำให้เสียเวลาตัดฟืน[1]เจ้าพักฟื้นอีกสองสามวันดีกว่า รอฟื้นฟูโดยสมบูรณ์แล้ว เราก็ออกไปพร้อมกัน” มั่วชิงเฉินไม่ขยับเขยื้อน
หลัวเตี๋ยจวินคิดๆ ก็มีเหตุผล ทั้งสองคนจึงอยู่ก้นทะเลสาบเช่นนี้อีกหลายวัน
มั่วชิงเฉินเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงสีขาว เห็นหลัวเตี๋ยจวินยังคงใส่ชุดสีเทาควัน จึงขมวดคิ้วว่า “สหายเต๋าหลัว หากเจ้ามีเสื้อผ้าสีขาว ก็เปลี่ยนเสียเถอะ”
หลัวเตี๋ยจวินชะงักเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินชี้ข้างนอกว่า “สถานที่นี้ปกคลุมด้วยสีเงินไปทั่ว มีแต่ทุ่งหิมะ ใส่สีอื่นสะดุดตาเกินไป”
หลัวเตี๋ยจวินกระจ่างขึ้นมาในทันใด กลับเผยสีหน้าลำบากใจว่า “ข้ามีเพียงเสื้อผ้าสีนี้เท่านั้น”
มั่วชิงเฉินกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ แม้นางใส่เสื้อผ้าสีเขียวมานานแรมปี ก็เพียงเพราะชุดสำนักเป็นสีนี้เท่านั้น ชินเสียแล้ว กลับไม่ได้หมายความว่าต้องใส่เพียงสีบางสีเท่านั้น
คนที่ใส่เสื้อผ้าเพียงสีเดียว ในบางแง่แล้วพูดได้ว่าเป็นคนดื้อรั้น
แน่นอนมั่วชิงเฉินไม่มีเจตนาละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น จึงหยิบชุดกระโปรงสีขาวออกมาชุดหนึ่งว่า “สหายเต๋าหลัว เจ้าและข้ารูปร่างคล้ายกัน ก็ถูไถเปลี่ยนไปก่อนเถอะ”
ไม่ได้พูดเกรงใจว่าหากไม่รังเกียจอะไรเทือกนั้น สถานการณ์ตรงหน้า จำเป็นต้องเปลี่ยน!
หลัวเตี๋ยจวินไม่พูดมาก รับเสื้อผ้าแล้วเปลี่ยนทันที ทั้งสองคนถึงแอบขึ้นฝั่งไปเงียบๆ
ขึ้นถึงฝั่ง ทั้งสองคนถึงได้รู้ว่าความหนาวเย็นเสียดกระดูกนั้นเป็นเช่นไรอย่างลึกซึ้ง
ตามหลักแล้วทั้งสองคนต่างมีตบะระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ ไม่สะทกสะท้านต่อความร้อนหนาวมานานแล้ว ทว่าอยู่ที่นี่ พลังวิญญาณทั้งตัวโคจรขึ้นมาเองเพื่อกันหนาว กลับยังอดตัวสั่นไม่ได้
“ที่นี่ ที่นี่หรือว่าจะเป็นดินแดนเหนือสุด?” หลัวเตี๋ยจวินเสียงสั่นไปหมดแล้ว
ริมฝีปากมั่วชิงเฉินก็ซีดจนไม่มีสีเลือดสักนิด การระหกระเหินในหลายปีนี้ แทบจะไม่ได้พักฟื้นดีๆ มาก่อน ร่างกายย่ำแย่มานานแล้ว
ก็เหมือนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ข้างในถูกเจาะกลวงนานแล้ว ต่อให้ดูแล้วสีเขียวชุ่มชื่นกิ่งใบหนาทึบ กลับไม่รู้เมื่อไร อาจเพียงเพราะลมเย็นโชยผ่าน ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นก็ล้มครืนลง
กู้หลีเตือนนางไว้แล้ว มั่วชิงเฉินก็รู้สภาพของตนเอง ทว่าเรื่องแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่อาจทำตามใจตนเองได้ ที่นี่หนาวผิดปกติ กลับก็ได้แต่ฝืนทนไว้
“สหายเต๋าหลัว เราไปด้านนั้นก่อนค่อยว่ากัน ยืนอยู่นี่สะดุดตาเกินไป” มั่วชิงเฉินชี้ป่าที่อยู่ไม่ห่างออกไป
ต้นไม้พวกนั้น ล้วนถูกหิมะปกคลุมจนหมด กลายเป็นต้นไม้หิมะกิ่งก้านน้ำแข็ง ทั้งสองคนล้วนใส่ชุดขาว หลบเข้าไปในนั้นก็ยากจะสังเกตเห็นจริงๆ
ทั้งสองคนเพิ่งหลบเข้าไป ก็รู้สึกได้ว่ามีความเคลื่อนไหว จึงเก็บงำกลิ่นอายรอคอยเงียบๆ แล้วก็เห็นสาวน้อยสองคนเดินมาจากที่ไกลๆ
สองน้อยสองคนนี้ยังแบกของเหมือนเดิม เดินเข้ามาใกล้แล้วถึงดูออกว่าเป็นไก่หิมะขนาดมหึมาตัวหนึ่ง
“จิ่วเย่ว์ ครั้งนี้เราก็ล้างที่ข้างทะเลสาบเถอะ อย่าโยนของที่ล่าได้ลงในทะเลสาบอีกเลย หากหายไปอีกจะทำเช่นไรดี” ชีซีว่า
จิ่วเย่ว์ยกมือขึ้นว่า “ไม่เป็นไร คราวนี้ใช้เชือกห้าสีของเจ้ามัดขาไก่หิมะไว้ ไม่มีทางหายอีกเด็ดขาด”
พูดพลางปล่อยไก่หิมะจมลงในทะเลสาบ ในมือกลับปรากฏกระจกบานเล็กๆ ขึ้นบานหนึ่ง
แสงแดดฤดูหนาวสาดลงบนหน้ากระจก ส่องแสงแวบหนึ่ง
พวกมั่วชิงเฉินสองคนกำลังกลั้นหายใจมอง แล้วก็รู้สึกตาลาย เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “หนีไปไหน!”
แย่แล้ว ถูกพบแล้ว
ทั้งสองคนไม่ทันได้คิดมากว่าไยถึงถูกพบได้ ต่างใช้ฝีมือหาทางหนี
กลับไม่คาดว่าสาวน้อยสองคนเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว จิ่วเย่ว์พลิกกระจกหลิงฮวาในมือ แสงสายหนึ่งครอบลงบนตัวมั่วชิงเฉิน ไหมเกล็ดน้ำแข็งที่เหยียบอยู่มืดมนลงทันที
ชีซีชูมือเปล่าขึ้นเชือกห้าสีเส้นหนึ่งบินออกมา ว่ายไปพันข้อเท้าของหลัวเตี๋ยจวิน ออกแรงดึง หลัวเตี๋ยจวินก็บินข้ามมาทั้งตัว ร่วงลงบนพื้น
พวกมั่วชิงเฉินสองคนไม่ใช่ไม่ระวัง ทว่ายามที่อสูรปีศาจขั้นห้าที่เทียบเท่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองคนตั้งใจวางแผนจัดการผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสองคน พวกนางก็ได้แต่ยอมจำนน
มั่วชิงเฉินและหลัวเตี๋ยจวินสบตากันปราดหนึ่ง สีหน้าซีดเผือดทั้งคู่
จิ่วเย่ว์ตบมือแปะๆ ว่า “พี่ชีซี น้องก็บอกแล้วไง วันนั้นเหตุใดถึงบังเอิญปานนั้น กระตุ้นถูกอากาศวนนั่นเสียได้ ต้องมีอะไรหลบอยู่ก้นทะเลสาบแน่เลย!”
ชีซียิ้มหวานว่า “น้องช่างคาดการณ์แม่นดังเทพจริงๆ เราจะจัดการสองคนนี้เช่นไรดี?”
ตารูปผลซิ่งของจิ่วเย่ว์เป็นประกายว่า “จัดการเช่นไร ก็ล้างให้สะอาดพร้อมไก่หิมะตัวนี้ แล้วกินน่ะสิ”
“กินหมดเลย? เกรงว่าจะกินไม่ลงกระมัง นี่ถ้าไม่สดแล้วรสชาติก็เสียแล้ว” ชีซีลังเลเล็กน้อย
พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง ในใจเกิดความหวังขึ้นสายหนึ่ง
จิ่วเย่ว์สาดน้ำเย็นมาอ่างหนึ่งว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เก็บไก่หิมะตัวนี้ไว้ก่อนเถอะ มนุษย์เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก รีบกินเข้าไปจะได้วางใจ”
มั่วชิงเฉินเกือบด่ามารดา วุ่นวายมาครึ่งค่อนวันพวกนางยังดวงดีสู้ไก่หิมะตัวหนึ่งไม่ได้!
“เช่นนั้นได้ ฟังเจ้าก็แล้วกัน” ชีซีพูดพลางก้มตัวลง ใช้เชือกห้าสีมัดมั่วชิงเฉินและหลัวเตี๋ยจวินไว้ด้วยกัน “มัดแน่นหน่อย จะได้ไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิดอีก”
พวกมั่วชิงเฉินสองคนสิ้นหวังหมดแล้ว อสูรปีศาจสองตัวนี้คิดได้รอบคอบจริงๆ!
“พวกเจ้า…” มั่วชิงเฉินเพิ่งอ้าปาก ก็เห็นแสงสีขาวบินมาก้อนหนึ่ง ซัดเข้าปาก
จิ่วเย่ว์หัวเราะว่า “แหะๆ ข้าไม่อยากฟังพวกเจ้าพูดหรอกนะ ท่านย่าข้าเคยพูดไว้ว่า มนุษย์อย่างพวกเจ้าเจ้าเล่ห์นักแล สามารถอะไรนะ?” พูดพลางมองไปที่ชีซี
“ชักแม่น้ำทั้งห้า” ชีซีเอ่ยว่า
“ใช่ ใช่ ชักแม่น้ำทั้งห้านั่นแหละ” จิ่วเย่ว์สองตาเป็นประกาย มองสีหน้าซีดเผือดของผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์สองคนอย่างพอใจ จากนั้นยื่นเท้าออก ถีบสองคนลงน้ำไป
พวกมั่วชิงเฉินสองคนยังไม่ได้ส่งเสียงสักแอะ ก็ตกลงไปในทะเลสาบใหม่แล้ว
กลิ่นอายอันแข็งแกร่งสายหนึ่งเข้ามาใกล้
มั่วชิงเฉินที่ดิ้นรนอยู่ในน้ำได้ยินรางๆ สาวน้อยสองคนเอ่ยพร้อมกัน ว่า “คุณหนู”
“นี่พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่?” เสียงนิ่งเรียบกระจ่างใส ไม่เปื้อนโลกีย์แม้แต่น้อยดังขึ้น
ต่อให้เป็นมั่วชิงเฉินที่ทุลักทุเลเหลือจะกล่าวได้ยินเสียงเช่นนี้ ก็ดุจดั่งดื่มชาเย็นในวันฤดูร้อน ซาบซ่านเข้าไปถึงหัวใจ
——
[1] ลับมีดไม่ทำให้เสียเวลาตัดฟืน เป็นการเปรียบเทียบว่า การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนทำการใดๆ จะทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น