พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 333
มั่วชิงเฉินออกมาจากโถงใหญ่ที่ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งอยู่ มุมปากอมยิ้ม คลำๆ ข้อมือ
ที่โส่วเต๋อเจินจวินเรียกนางไป ไม่ต่างจากที่คาดเดาเท่าไร ก่อนอื่นคือสั่งสอนให้กำลังใจรอบหนึ่ง ต่อจากนั้นก็มอบสมบัติวิเศษให้ชิ้นหนึ่ง มีชื่อว่าแหวกฟ้า
ชื่อของสมบัติวิเศษแม้ฟังโอหัง ทว่าไม่ว่ามั่วชิงเฉินจนดูอย่างไร ก็คล้ายกับก้อนอิฐที่นางใช้อย่างคล่องมือชิ้นนั้นมาก
ที่โส่วเต๋อเจินจวินมอบของวิเศษก็เพื่อตอบแทนเรื่องโอสถอายุวัฒนะ เรื่องนี้ไม่แปลก ทว่าหรือว่าท่านยังอุตส่าห์ไปทำความเข้าใจ คิดว่าตนชอบก้อนอิฐหรืออย่างไร?
เมื่อคิดว่ามีความเป็นไปได้ มั่วชิงเฉินก็อดยิ้มไม่ได้
ค่อยๆ ร่อนลงที่เขาป่าไผ่ ที่วิ่งมาก่อนไม่ใช่เหลียงเฉินเหม่ยจิ่ง หากแต่เป็นอีกาไฟและอสูรเขาเดียว
ยามที่นางเตรียมตัวก่อแก่นปราณก็ปล่อยพวกมันออกจากถุงอสูรวิญญาณ ไม่ยอมผูกมัดพวกมัน หลังจากก่อแก่นปราณสำเร็จก็รีบไปกราบคารวะเจินจวินทุกท่าน ไม่ทันได้พูดอะไรมากกับเจ้าสองตัวนี้
เห็นเขาน้อยส่ายหัวอันเทอะทะจะพุ่งเข้ามาในอ้อมกอด มั่วชิงเฉินยังไม่ได้พูดอะไร อีกาไฟไม่ยอมก่อนแล้ว ใช้ตัวกลมดิกเบียดเขาน้อยไปข้างๆ ร้องแกว๊กๆ ว่า “เฮ้ย เจ้าตัวมาทีหลัง รู้หรือไม่ว่าอะไรเรียกว่าลำดับก่อนหลัง?”
เขาน้อยถูกอีกาไฟพูดจนชะงัก ขาหน้าแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ มองดูอีกาไฟพุ่งเข้าอ้อมกอดมั่วชิงเฉินต่อหน้าต่อตา ยังถูแล้วถูอีกอย่างอวดเบ่ง
มั่วชิงเฉินหน้าดำทันที กดเสียงต่ำว่า “อู๋เย่ว์ เจ้ามีนิสัยเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”
อีกาไฟออกจากอ้อมกอดมั่วชิงเฉินอย่างไม่ยินยอม บนร่อนลงบนไหล่นาง บ่นพึมพำว่า “นี่เรียกว่าชิงลงมือก่อนได้เปรียบ เข้าใจหรือไม่ ไม่มีนิสัยเช่นนี้ก็ต้องฝึกให้มี จะปล่อยให้ผู้อื่นได้เปรียบไม่ได้”
มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปากแรงๆ ทีหนึ่ง นางว่าแล้ว ต่อให้อีกาตัวนี้กลายเป็นอสูรปีศาจชั้นสูง ก็ยังนิสัยเช่นนี้
“เจ้านาย!” เขาน้อยกะพริบตาโตรื้นน้ำตา เรียกเสียงเหมือนเด็ก ท่าทางน่าน้อยใจนั่นต่อให้ใครก็ทนดูไม่ได้
เสียงมั่วชิงเฉินอ่อนลงว่า “เขาน้อยเด็กดี มานี่เร็ว”
เขาน้อยเผยสีหน้าดีใจทันที แล้วพุ่งเข้าอ้อมกอดมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินรีบเอี้ยวตัวหลบ ลูบหัวเทอะทะของเขาน้อย ในใจแอบว่าแม้เจ้าเป็นอสูรปีศาจ ทว่าชายหญิงก็มิอาจใกล้ชิดกันเช่นกันรู้หรือไม่
ไม่ใช่สิ ต่อให้เป็นหญิงก็มุดเข้าอ้อมอกไม่ได้นี่นา
อีกาไฟเห็นดังนั้น ฮึเสียงหนึ่งอย่างได้ใจ
เขาน้อยฟังดังนั้น ในตาเอ่อเต็มไปด้วยน้ำตาทันที เรียกเจ้านายเสียงหนึ่งอย่างน้อยใจ
มั่วชิงเฉินถลึงตาใส่อีกาไฟเป็นการเตือนว่า “อู๋เย่ว์ ห้ามรังแกคนอื่น”
อีกาไฟไม่กล้ายอกย้อน แอบแสยะปากใส่เขาน้อย
เขาน้อยกลับไม่สนใจ แลบลิ้นเลียมือของมั่วชิงเฉินอย่างสนินสนม
เวลานี้ถึงเห็นเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งวิ่งเข้ามา
“คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว” สาวใช้สองคนคารวะด้วยความปลาบปลื้มทีหนึ่ง ในใจกลับกำลังคิดว่าความเร็วของอสูรวิญญาณขั้นห้าช่างน่าตกใจจริงๆ พอคุณหนูกลับมาก็เบียดพวกนางไปไว้ข้างๆ แล้ว
มั่วชิงเฉินพยักหน้าแผ่วเบา กวาดมองปราดหนึ่งว่า “สหายเต๋าหลัวล่ะ?”
“สหายเต๋าหลัวอยู่ในห้องเจ้าค่ะ น่าจะกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่” เหลียงเฉินเอ่ย
มั่วชิงเฉินได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า แล้วหยิบตั่งหินตัวหนึ่งนั่งลงตามสบายว่า “เหลียงเฉินเหม่ยจิ่ง พวกเจ้ามานี่ นั่ง”
สาวใช้สองคนสบตากันปราดหนึ่ง แล้วนั่งลงบนตั่งหินข้างๆ อย่างว่าง่าย
มั่วชิงเฉินเอ่ยปากเนิบๆ ว่า “หลายปีมานี้ข้าไม่ค่อยอยู่ในสำนัก พวกเจ้าดูแลเขาป่าไผ่ ลำบากแล้วจริงๆ”
“คุณหนู นี่เป็นเรื่องในความรับผิดชอบของพวกบ่าว บ่าวไม่กล้ารับเจ้าค่ะ” ทั้งสองคนลุกขึ้นยืนพร้อมกัน
“นั่งลง” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว
สาวใช้ที่ฟูมฟักจากตระกูลนักบำเพ็ญเพียรตั้งแต่เด็กเพื่อรับใช้นักบำเพ็ญเพียรโดยเฉพาะ แนวคิดความเหลื่อมล้ำทางฐานะไม่ใช่จะแก้ได้ในชั่วข้ามคืนจริงๆ
มั่วชิงเฉินพลิกมือปรากฏของสองสิ่งขึ้น ชิ้นหนึ่งคืออาวุธเวทหน้าตาเหมือนก้อนอิฐ ชิ้นหนึ่งคือกี่หยก
“เหลียงเฉิน เจ้าเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแล้ว ควรมีอาวุธเวทที่พอใช้ได้สักสองสามอย่างแล้ว ก้อนอิฐชิ้นนี้แม้ไม่ใช่อาวุธเวทชั้นยอด ทว่าก่อนถึงระดับสร้างรากฐานระยะปลายก็เพียงพอแล้ว”
เหลียงเฉินสีหน้าปลาบปลื้ม รับมาอย่างดีใจว่า “เหลียงเฉินขอบคุณคุณหนูที่มอบของให้เจ้าค่ะ”
สายตาไม่ออกห่างจากอาวุธเวทก้อนอิฐแล้ว ใช้มือลูบคลำไม่หยุด แอบคิดว่านี่เป็นอาวุธเวทก้อนอิฐที่ชื่อเสียงระบือไปทั่วเหยากวงของคุณหนูเชียวนะ ไม่คิดว่าคุณหนูจะมอบให้ตน ช่างดีกับตนเหลือเกิน
นึกถึงตรงนี้ซาบซึ้งอย่างสุดซึ้งว่า “คุณหนู เหลียงเฉินต้องเพียรพยายาม ให้ความน่าเกรงขามของก้อนนี้นี้เลื่องลือไปไกลต่อไปแน่นอน!”
มองดูสีหน้ามุ่งมั่นของเหลียงเฉิน มั่วชิงเฉินฝืนทนไม่ให้มุมปากกระตุกแล้วหันไปหาเหม่ยจิ่งว่า “เหม่ยจิ่ง กี่หยกนี่ข้าใช้ยามสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ คุณภาพดีกว่าก้อนอิฐที่ให้เหลียงเฉินไปมาก แม้ยามนี้เจ้ายังใช้ไม่ได้ รอหลังจากสร้างรากฐานก็ได้ใช้แล้ว ต่อให้สำแดงอานุภาพทั้งหมดไม่ได้ ก็ไม่ด้อยแน่นอน”
พูดถึงตรงนี้กวาดมองเหลียงเฉินปราดหนึ่งว่า “เหลียงเฉินเจ้าก็อย่าว่าข้าว่าลำเอียงเลยนะ อาวุธเวทที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ระดับชั้น หากแต่เป็นความเหมาะสม”
เหลียงเฉินใบหน้าเบิกบาน เอ่ยอย่างร่าเริงว่า “คุณหนูวางใจเถอะเจ้าค่ะ เหตุผลข้อนี้เหลียงเฉินเข้าใจ”
มั่วชิงเฉินยิ้มเบาๆ นางก็ชอบนิสัยเปิดเผยเช่นนี้ของเหลียงเฉินนี่แหละ
เหม่ยจิ่งกลับก้มหน้าลงว่า “คุณหนู ขอให้ท่านเก็บกี่หยกกลับเจ้าค่ะ เหม่ยจิ่งคุณสมบัติโง่เขลา จนถึงบัดนี้ก็ไม่อาจสร้างรากฐานได้ ต่อให้มีสักวันสร้างรากฐานแล้ว อาวุธเวทที่ดีเช่นนี้ ก็ไม่ควรให้บ่าวใช้…”
“เหม่ยจิ่ง คุณหนูให้ เจ้าก็รับไว้สิ!” เหลียงเฉินส่งสายตาให้นาง
มั่วชิงเฉินคิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อยว่า “เหม่ยจิ่ง เช่นนั้นเจ้าลองพูดดู อาวุธเวทนี้ควรให้ใครใช้?”
“ควรให้…” เหม่ยจิ่งจนด้วยคำพูดไปชั่วขณะ
มั่วชิงเฉินสีหน้าสงบว่า “บัดนี้ข้าเข้าระดับก่อแก่นทอง อาวุธเวทที่ใช้ในระดับสร้างรากฐานล้วนไม่ได้ใช้แล้ว หนึ่งข้าไม่มีศิษย์ สองไม่มีลูกหลาน ไม่ให้พวกเจ้า หรือว่าจะให้อู๋เย่ว์และเขาน้อยหรือ?”
“คุณหนู…” เหม่ยจิ่งก้มหน้าต่ำลงอีก เผยให้เห็นคอระหงขาวสะอาด
สายตามั่วชิงเฉินตกลงตรงนั้น เสียงนิ่งเรียบมากว่า “คุณสมบัติโง่เขลา? เหม่ยจิ่ง เจ้าและเหลียงเฉินเป็นพี่น้องฝาแฝด มีสามรากวิญญาณทั้งคู่ กระทั่งรากวิญญาณของเจ้าเทียบกับเหลียงเฉินแล้วยังดีกว่าเล็กน้อย หากเพราะคุณสมบัติ ไยเหลียงเฉินถึงสร้างรากฐานแล้ว?”
หลายปีมานี้เพราะมักไม่อยู่ในสำนัก มั่วชิงเฉินหาน้อยที่จะพูดกับสาวใช้สองคนมากเช่นนี้ อีกทั้งยังจริงจังถึงเพียงนี้ด้วย
เหม่ยจิ่งอ้าปากแล้วอ้าปากอีก จนด้วยคำพูด ตากลับชื้นเล็กน้อยแล้ว จึงรีบหลุบตาลง
มั่วชิงเฉินวางกี่หยกไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบเรือเล็กขนาดเท่าฝ่ามือลำหนึ่งออกมายื่นให้เหลียงเฉินว่า “เหลียงเฉิน เรือเมฆานี้ความเร็วในการบินใช้ได้ เจ้าก็รับไว้เถอะนะ พวกเจ้าพี่น้องมักอยู่ด้วยกัน ใช้ด้วยกันไปก่อน”
เหลียงเฉินรีบรับมาเก็บขึ้น เห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าเคร่งเครียดจึงไม่กล้าเอ่ยปาก
มั่วชิงเฉินเบือนสายตาไปที่เหม่ยจิ่งอีกว่า “เหม่ยจิ่ง คุณชายสิบเจ็ดตระกูลหวัง เจ้าคิดว่าเป็นเช่นไร?”
เหม่ยจิ่งหน้าซีดเผือดทันที เงยหน้ามองไปที่มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินหันไปทางเหลียงเฉินแล้วว่า “เหลียงเฉิน เจ้าว่าล่ะ?”
เหลียงเฉินเดิมก็เป็นคนนิสัยตรงๆ อยู่แล้ว ได้ยินดังนั้นกลับลืมไปแล้วว่ามั่วชิงเฉินดูเหมือนโกรธอยู่ หลุดปากออกมาว่า “เจ้าสารเลวนั่นก็คือกากเดนมนุษย์!”
พูดจบถึงมองไปที่มั่วชิงเฉินด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ
มั่วชิงเฉินหัวเราะเบาๆ ว่า “เหม่ยจิ่ง เจ้าได้ยินหรือไม่ เหลียงเฉินพูดได้ไม่ผิด เจ้าสารเลวนั่นก็คือกากเดนมนุษย์ เช่นนั้นเจ้าล่ะ เจ้าคิดเช่นไร?”
เหม่ยจิ่งในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตาไหลลงมา กลับพยายามกลั้นไว้ กัดริมฝีปากว่า “เขา…เขาไม่ใช่แม้กระทั่งกากเดนมนุษย์ เป็นเดรัจฉานชัดๆ!”
มั่วชิงเฉินสะบัดแขนเสื้อยืนขึ้นว่า “เหม่ยจิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ เพื่อเดรัจฉานคนหนึ่งแล้ว เจ้ากลับหยุดอยู่บนหนทางแห่งเซียนนี้ไม่ก้าวหน้า คุ้มกันหรือ?”
เหม่ยจิ่งนิ่งอึ้ง
มั่วชิงเฉินสีหน้าจริงจังว่า “เหม่ยจิ่ง เหลียงเฉิน พวกเจ้าสองคนจงจำไว้ ไม่ว่าใคร เรื่องอะไร อ่อนโยนหรือทำร้ายพวกเจ้า ยินดีหรือว่าหวาดหวั่น ล้วนไม่ควรเป็นเหตุผลให้พวกเจ้าลังเลบนหนทางแห่งเซียน!”
พูดถึงตรงนี้สายตามองไปที่ป่าไผ่ที่พลิ้วไหวกลางลม ดูเหมือนพูดให้ตนเองฟังว่า “สี่ฤดูผลัดเปลี่ยน ดาราเคลื่อนย้าย สรรพสิ่งไม่แน่นอน ใจคนยากหยั่ง มีเพียงทางสวรรค์เป็นนิรันดร์”
พูดจบขยับนิ้วมือ ขวดหยกใบหนึ่งค่อยๆ บินไปหาเหม่ยจิ่ง “ในนี้คือโอสถสร้างรากฐานเม็ดหนึ่ง หากคิดดีแล้วก็กินลงไป หากคิดไม่ได้ตลอด ก็อย่าสิ้นเปลืองเลย วันนี้คำพูดพวกนี้ ต่อไปข้าจะไม่พูดอีก ทาง พวกเจ้าต้องเดินไปเอง”
มั่วชิงเฉินพูดจบก็ย่างเท้ากลับห้อง นั่งลงบนเตียง
นึกถึงคำพูดเมื่อครู่ แล้วส่ายหน้ายิ้ม ตนเพิ่งก่อแก่นปราณ ยังเก็บความรู้สึกไม่มิดจริงๆ นี่น่าจะเป็นขจัดความเท็จรักษาความจริงดังว่ากระมัง นักบำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อแก่นปราณ มักแสดงออกได้ใกล้ตัวตนของตนยิ่งขึ้น
นี่ก็คือสาเหตุที่นักบำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่หลังจากก่อแก่นปราณแล้วคนอื่นรู้สึกว่านิสัยเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ที่จริงไม่ใช่นิสัยของเขาเปลี่ยน หากแต่โยนพันธนาการและโซ่ตรวนในอดีตทิ้งไป เปิดเผยนิสัยที่แท้จริงมากขึ้นต่างหาก
ความอิสระและพลัง เท่าเทียมกันเสมอ พลังยิ่งสูง จึงจะมีชีวิตได้อย่างยิ่งอิสระ
มั่วชิงเฉินหยิบกระจกหลิงฮวา ต่างหูปะการังสีแดงข้างหนึ่ง ก้อนอิฐแหวกฟ้า ไหมเกล็ดน้ำแข็ง และร่มไผ่เหมันต์ออกมา
นี่ก็คือสมบัติวิเศษทั้งหมดที่ตนสามารถใช้ได้ในระดับก่อแก่นปราณแล้ว
ไหมเกล็ดน้ำแข็งย่อมไม่ต้องพูดถึง ก้อนอิฐที่โส่วเต๋อเจินจวินมอบให้ก้อนนี้และสมบัติวิเศษที่ได้มาจากจิ้งจอกหิมะต้องตั้งใจศึกษาเสียหน่อย
ห่างจากพิธีฉลองก่อแก่นปราณยังมีอีกสี่วัน เวลามีจำกัด มั่วชิงเฉินดูไปดูมาอย่างไรก็ศึกษาวิธีใช้ของก้อนอิฐก่อน
ถึงวันที่สาม หน้าประตูมีความเคลื่อนไหว “สหายเต๋ามั่ว ข้าเข้าไปได้หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินพลิกมือ ก้อนอิฐแปลงเป็นแสงวิญญาณสายหนึ่งเก็บขึ้น แล้วลุกขึ้นเปิดประตูด้วยตนเองว่า “สหายเต๋าหลัว เชิญเข้ามา”
หลัวเตี๋ยจวินเดินเข้ามา มุมปากอมยิ้มเล็กน้อยว่า “สหายเต๋ามั่ว สามวันมานี้ข้าศึกษาวิธีใช้สมบัติวิเศษอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ออกมาพูดกับเจ้า ขออย่าได้ตำหนิ”
“ไม่หรอก หลายวันมานี้ข้าก็ศึกษาอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน นักบำเพ็ญเพียรก่อแก่นปราณแล้ว นี่ก็คือเรื่องเร่งด่วนที่สุดมิใช่หรือ” มั่วชิงเฉินหัวเราะ
ดวงตาที่เย็นชาตลอดมาของหลัวเตี๋ยจวินฉายแววอบอุ่นขึ้นแวบหนึ่ง หยุดครู่หนึ่งถึงว่า “สหายเต๋ามั่ว วันนี้ที่ข้ามา เพื่ออำลาเจ้า”
มั่วชิงเฉินอึ้ง “สหายเต๋าหลัวจะไปแล้วหรือ?”
หลัวเตี๋ยจวินพยักหน้าว่า “บัดนี้ข้าก่อแก่นปราณแล้ว ควรจากไปได้แล้ว”
มั่วชิงเฉินคิดๆ ดูแล้ว มองไปที่หลัวเตี๋ยจวินว่า “สหายเต๋าหลัว ไม่สู้เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ”
“อยู่ที่นี่?”
“อืม เจ้าก็เห็นแล้ว เหยากวงเราไม่ได้ผูกมัดศิษย์สักเท่าไร อยู่ต่อเป็นเช่นไร?” มั่วชิงเฉินถามอย่างเป็นธรรมชาติมาก
หลัวเตี๋ยจวินลังเลครู่หนึ่ง ยังคงส่ายหน้าว่า “ข้ายังคงยินยอมเป็นเช่นบัดนี้มากกว่า”
มั่วชิงเฉินเข้าใจ และก็ไม่ฝืนใจอีกว่า “เช่นนั้นสหายเต๋าหลัวคิดจะไปที่ใด?”
“ยังคงไปทางนิกายเจิ้นโซ่วนั่นรับมือวิกฤตอสูร วิกฤตอสูรดำเนินมานานหลายปีเพียงนี้ การสู้รบยิ่งนานยิ่งรุนแรง เป็นสถานที่ที่ดีในการขัดเกลาคน และก็นับว่าเป็นการออกแรงเพื่อสหายร่วมอุดมการณ์ส่วนหนึ่ง” หลัวเตี๋ยจวินเอ่ย
มั่วชิงเฉินแย้มยิ้ม “เช่นนั้นเราต้องมีโอกาสได้พบกันอีกแน่ รอหลังจากพิธีฉลองก่อแก่นปราณแล้ว ข้าก็จะไปเช่นกัน”
ทั้งสองคนล้วนเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ มองการจากลาเป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อหลัวเตี๋ยจวินตัดสินใจจะไปแล้ว มั่วชิงเฉินจึงส่งนางออกสำนัก มองนางกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งจากไปไกล
พริบตาเดียวผ่านไปอีกวันหนึ่งแล้ว ในที่สุดพิธีฉลองก่อแก่นปราณก็มาถึงแล้ว