พันธกานต์ปราณอัคคี - ตอนที่ 461.1
เยี่ยเทียนหยวนกระโดดลงจากห่วงทองทีลุกโชติเป็นเปลวไฟสีแดงม่วง เข้าโอบร่างที่ชุ่มด้วยเลือดของมั่วชิงเฉิน จิตใจหวาดหวั่นอย่างมาก
“ศิษย์น้อง ข้ามาช้าไป” เขาเอาโอสถหิมะไหวที่ใช้รักษาการบาดเจ็บภายในป้อนให้นางกิน วางตัวผู้ที่อยู่ในอ้อมกอดลงเบาๆ แล้วลุกขึ้น มองไปยังภูตหิมะสาวระดับก่อกำเนิดด้วยสายตาอันเยือกเย็นไร้ซึ่งความอบอุ่นแม้แต่น้อย
ใบหน้าเย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง
ภูตหิมะสาวทั้งที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นต้น แต่เมื่อเห็นสายตาของเยี่ยเทียนหยวนก็ก้าวถอยหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกหวาดกลัวอย่างหนึ่งจากสัญชาตญาณเข้าครอบงำใจ
เยี่ยเทียนหยวนถือดาบอัคคีม่วงในมือ ค่อยๆ เดินเข้าประชิดภูตหิมะสาวระดับก่อกำเนิด
……
บนยอดภูเขาศักดิ์สิทธิ์ มีสตรีผู้หนึ่งร่อนลงมาใบหน้าเจือด้วยความเบื่อหน่าย ข้างกายนาง ยังมีหญิงสาวในชุดสีมรกตอีกผู้หนึ่งยืนอยู่
“คารวะท่านเจ้าสำนัก” หญิงสาวในชุดสีหิมะพูดสีหน้าลนลาน ร่างกายหมอบคลานกับพื้นอย่างอ่อนแรง
หญิงสาวในชุดสีหิมะอีกนางนอนอยู่กับพื้น ตาทั้งคู่หลับสนิท ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” มั่วเฉี่ยนหนิงคิ้วขมวดมุ่น กวาดสายตามองไปยังโต้วหวั่นหญิงสาวชุดสีมรกต
โต้วหวั่นกวักมือหนึ่งที คันฉ่องส่องหิมะก็ลอยออกมาจากหญิงสาวในชุดสีหิมะที่กำลังหมอบอยู่กับพื้น หล่นลงกลางมือนาง จากนั้นก็ใช้มือทั้งคู่ประเคนขึ้น “ท่านเจ้าสำนัก เชิญดูเจ้าค่ะ”
มั่วเฉี่ยนหนิงรับคันฉ่องมา แล้วชำเลืองดูปราดหนึ่ง
ในคันฉ่อง ชายหนุ่มในชุดสีครามระดับก่อแก่นปราณขั้นกลางผู้หนึ่งกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับภูตหิมะสาวระดับก่อกำเนิดขั้นต้น บนพื้นหิมะนั้น มีเงาร่างโชกด้วยเลือดนอนอยู่
“ภูตหิมะสาวระดับก่อกำเนิดหรือ จิตสัมผัสคล้ายจะเกิดความเสียหาย” มั่วเฉี่ยนหนิงพึมพำเบาๆ จากนั้นก็มองไปยังโต้วหวั่น “โต้วหวั่น เจ้าว่ามาสิ”
โต้วหวั่นก้มหน้านิ่ง แล้วพูดขึ้นอย่างนอบน้อม “ท่านเจ้าสำนัก ศิษย์ก็หาได้รู้เรื่องราวที่แท้จริงไม่ เพียงแต่วันนี้ศิษย์รีบมาเข้าเวร ก็ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากลูกศิษย์ผู้เฝ้าค่ายกล พอมาถึงก็พบว่าลูกศิษย์ที่เฝ้าค่ายกลบาดเจ็บหนึ่งตายหนึ่ง ชายผู้นั้นก็เข้าไปในค่ายกลแล้ว เรื่องนี้ศิษย์ไม่สามารถจัดการได้ จึงได้บังอาจรบกวนท่านเจ้าสำนัก”
ค่ายกลหมื่นขาดพันถวิล เป็นครั้งแรกที่เมื่อค่ายกลเปิดออก แล้วมีคนฝ่าบุกตามเข้าไปอีก
ชายผู้นั้นช่างบังอาจยิ่งนัก ไม่เพียงแต่กล้าย่ำเข้าสู่เกาะเซียนราชันย์พำนัก ยังกล้าสังหารศิษย์ของสำนักซู่ซินบุกเข้าไปในค่ายกลหมื่นขาดพันถวิล เขาคิดว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปได้อย่างนั้นหรือ
มั่วเฉี่ยนหนิงคลึงหน้าผากตามความเคยชิน แล้วมองไปยังศิษย์ที่เฝ้าค่ายกล
ลูกศิษย์ที่เฝ้าค่ายกลเข้าใจความหมายของมั่วเฉี่ยนหนิง จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เรียนท่านเจ้าสำนัก ข้าและศิษย์น้องได้รับคำสั่งให้เปิดค่ายกลเพื่อให้แม่นางแซ่มั่วผู้นั้นเข้าไป ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ ชายในชุดสีครามผู้นั้นก็ปรากฏตัวขึ้น บังคับให้พวกข้าเปิดค่ายกล พวกข้าไม่ปฏิบัติตาม เขาจึงสังหารศิษย์น้อง ศิษย์จนปัญญา จึงได้แต่เปิดค่ายกลแล้วแอบส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือเงียบๆ”
“เช่นนั้น ภูตหิมะสาวด่านที่สามเล่า ไยจึงอยู่ในระดับก่อกำเนิดได้” มั่วเฉี่ยนหนิงถาม
“นี่…ศิษย์ไม่รู้เจ้าค่ะ” ลูกศิษย์ที่เฝ้าค่ายกลน้ำเสียงสั่นเครือ
มั่วเฉี่ยนหนิงเดือดดาลขึ้นมา นางสะบัดแขนเสื้อ “ไม่รู้หรือ เจ้าเป็นลูกศิษย์ที่เฝ้าค่ายกล เกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นกลับไม่รู้ เจ้ารู้โทษหรือเปล่า”
ไม่แปลกที่นางจะโกรธเกรี้ยว หลายปีที่ผ่านมา มีเจ้าสำนักมาแล้วก็หลายรุ่น แต่พอมาถึงยุคของนางกลับมีบุรุษฝ่าฝืนกฎย่ำกรายเข้ามายังราชันย์พำนัก
ต่อให้สังหารบุรุษผู้นั้นในภายหลัง แต่กฎก็ถูกละเมิดไปแล้ว จากนี้ไปนางจะยังมีหน้าพบบรรพบุรุษอีกหรือ
บุรุษในชุดสีครามปรากฏขึ้นฉับพลันแล้วบุกฝ่าค่ายกล แสดงว่าต้องรู้ถึงอันตรายต่อชีวิตของหญิงสาวผู้นั้น และอันตรายต่อชีวิตของหญิงสาวผู้นั้น ก็คือภูตหิมะสาวระดับก่อกำเนิดซึ่งอยู่เหนือระดับการบำเพ็ญของนาง
ค่ายกลหมื่นขาดพันถวิล เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เช่นนี้แล้ว เหตุที่ทำให้เกิดเรื่อง ต้องเป็นเพราะมีใครทำอะไรกับค่ายกลแน่
คิดได้ดังนั้น มั่วเฉี่ยนหนิงก็ถามขึ้น “ช่วงนี้มีผู้ใดมายังภูเขาศักดิ์สิทธิ์บ้าง”
ลูกศิษย์ที่เฝ้าค่ายกลร่างกายสั่งเทิ้มไม่หยุด ลังเลไม่ยอมพูด
“พูด!” มั่วเฉี่ยนหนิงตะคอก
“เป็น…เป็นอาจารย์อาเซวียเจ้าค่ะ…” ลูกศิษย์ที่เฝ้าค่ายกลพูดเสียงเอื่อย
“นางมาตั้งแต่เมื่อใด” มั่วเฉี่ยนหนิงน้ำเสียงสงบลง
ลูกศิษย์ที่เฝ้าค่ายกลน้ำเสียงหวาดหวั่น “มา…มาสองครั้งเจ้าค่ะ เมื่อวานหนึ่งครั้ง วันนี้หลังจากที่แม่นางมั่วเข้าไปในค่ายกลได้ไม่นานอีกหนึ่งครั้ง”
มั่วเฉี่ยนหนิงปรบมือขึ้นทันที
บนพื้นหิมะอันว่างเปล่า ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหญิงสาวสองนางปรากฏขึ้น คุกเข่าอยู่กับพื้น แล้วพูดขึ้นพร้อมกัน “ท่านเจ้าสำนักมีอะไรรับสั่งหรือเจ้าคะ”
“ไปนำตัวเซวียเสี่ยวเสี่ยวมา”
“เจ้าค่ะ” ทันทีที่เสียงของหญิงสาวทั้งสองเงียบลง ตัวคนก็หายวับ
“ท่านเจ้าสำนักเจ้าคะ ท่านคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับน้องเซวียหรือเจ้าคะ” โต้วหวั่นแอบยินดีอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับทำทีเป็นกังวล
มั่วเฉี่ยนหนิงชำเลืองมองนางปราดหนึ่งด้วยแววตาเย็นชา น้ำเสียงไม่แสดงความรู้สึกโกรธหรือยินดีออกมา “แล้วเจ้าว่าเช่นใด”
โต้วหวั่นสะดุ้ง แล้วรีบพูดขึ้นอย่างเคารพ “ศิษย์ไม่กล้าคาดเดาส่งเดชเจ้าค่ะ”
พูดเสร็จก็มองสีหน้าของมั่วเฉี่ยนหนิงทีหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “เพียงแต่การที่ค่ายกลหมื่นขาดพันถวิลเกิดผิดปกติ ยอมเป็นเพราะฝีมือมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด ในเมื่อน้องเซวียมาที่นี่ถึงสองครั้ง ก็ควรต้องถามดู ศิษย์ไม่เข้าใจก็เพียงว่า การสังหารแม่นางมั่วผู้นั้นในค่ายกล ก็หาได้มีผลดีอะไรกับน้องเซวีย”
“หาได้มีผลดีอะไรหรือ” มั่วเฉี่ยนหนิงยิ้มขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
รอยยิ้มนั้นทำให้โต้วหวั่นใจสะดุ้ง นางจู่ๆ ก็รู้สึกหลอน ไม่รู้ว่าคำพูดนั้น หมายถึงเซวียเสี่ยวเสี่ยว หรือว่าตัวนางโต้วหวั่น
ในคันฉ่องส่องหิมะ ชายในชุดสีครามต่อสู้กับภูตหิมะสาวระดับก่อกำเนิดจนไปถึงจุดชี้ขาดแล้ว สายตามั่วเฉี่ยนหนิงจึงถูกดึงดูดโดยไม่รู้ตัว
นางใคร่รู้อย่างมาก ว่าแม่นางน้อยระดับก่อแก่นปราณขั้นกลางผู้นั้นสามารถทำร้ายจิตสัมผัสของภูตหิมะสาวได้อย่างไร และชายระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายผู้นั้นสามารถบีบภูตหิมะสาวมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
…
“โอ๊ย” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น กระบี่ในมือภูตหิมะสาวระดับก่อกำเนิดร่วงลง
เยี่ยเทียนหยวนเม้มริมฝีปากบางๆ แน่น ดาบยาวที่เปลวไฟลุกโชติช่วงนั้นฟันลงบนภูตหิมะสาวอย่างไม่ไยดี
ลมพัดโหมแรงขึ้นมาฉับพลัน หอบเอาเกล็ดหิมะจำนวนไม่ถ้วนลอยขึ้น ก็เห็นแขนเรียวยาวทั้งคู่ของภูตหิมะสาวกางออก เส้นไหมสีเงินที่เอวโบกสะบัดพลิ้ว ร่างหลอมละลายไปพร้อมกับเกล็ดหิมะที่อยู่ทั่วท้องฟ้า
กลางอากาศ ปรากฏในหน้าเลือกนรางของนาง
“บีบให้วิญญาณหิมะปรากฏร่างที่แท้จริงจนได้” มั่วเฉี่ยนหนิงพึมพำ
วิญญาณหิมะเกิดจากดวงวิญญาณแห่งน้ำแข็งหิมะที่อยู่ในค่ายกลหมื่นขาดพันถวิล ไม่มีร่างกายที่แท้จริง แต่มีจิตใจและสติปัญญา นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้จิตสัมผัสได้รับความเสียหาย
“ฮิๆๆ”
“ฮิๆๆ”
ทั่วแผ่นดินและท้องฟ้า เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของวิญญาณหิมะ
เยี่ยเทียนหยวนหลับตาลง เอาดาบอัคคีม่วงวางนอนอยู่ด้านหน้าทรวงอก บนคิ้วโก่งงามนั้นมีหิมะจับตัวอยู่เป็นแถบ
ก้อนหิมะน้ำแข็งแหลมคมหลายก้อนลอยพุ่งมายังเขา
เยี่ยเทียนหยวนหลับตาตลอด แกว่งดาบไปมาจนไร้ช่องแม้ให้ลมผ่าน เปลวเพลิงร้อนระอุปะทะกับน้ำแข็งแหลมคม ให้พวกมันละลาย
ร่างของวิญญาณหิมะปรากฏเลือนรางอยู่บนกลางอากาศ เห็นอยู่รำไรว่านางเท้าเปล่า แล้วหมุนขึ้นอย่างรวดเร็ว
เส้นผมสีเงินพันห่อทั่วตัวแน่นไปตามความเร็ว ค่อยๆ กลายเป็นหมอกขาว จากนั้นก็โปรยปรายลงมาราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้
เข็มน้ำแข็งมากมายราวกับขนวัวนับพันนับหมื่นด้ามส่องประกายเย็นวาบ โจมตีไปยังเยี่ยเทียนหยวนจากทั่วทั้งฟ้า