พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1647 ตึงเครียดขึ้นมาในฉับพลัน
เรือนแล่นเข้ามาในถ้ำ เข้ามาในชิดฝั่งที่อยู่ข้างใน เหยียนซิวก็หันตัวไปเปิดม่านออก เหมียวอี้เดินก้าวยาวออกมาจากห้องโดยสารเรือ
เฉาเฟิ่งฉือที่ยืนรออยู่บนบันไดริมฝั่งใบหน้าเจือรอยยิ้ม กุมหมัดคารวะมาตั้งแต่ไกลๆ
เหมียวอี้ที่ขึ้นฝั่งมากล่าวกลั้วหัวเราะ “จะกล้ารบกวนให้ผู้จัดการเฉามาต้อนรับด้วยตัวเองได้ยังไง” ดวงตากำลังมองประเมินศีรษะจดเท้า ไม่เหมือนกับตอนที่พบผู้หญิงคนนี้ในเมื่อก่อน ครั้งก่อนตอนอยู่อารามหลันเย่เขาก็ตัดสินได้แล้ว ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเซี่ยโห้วหลงเฉิง คำตอบที่คลุมเครือของนางในตอนนั้นก็เป็นหลักฐานได้เช่นกัน
เฉาเฟิ่งฉือเองก็รู้ว่าเขารู้ถึงตัวตนของนางแล้ว นางยิ้มพร้อมบอกว่า “ถึงยังไงนายท่านหนิวก็เป็นแม่ทัพภาคตลาดผี เจ้าถิ่นมาเยือนแล้ว เฟิ่งฉือจะต้อนรับไม่ดีได้ยังไง” นางยื่นมือเชิญให้เข้าไปด้านใน
“ให้เกียรติกันเกินไปแล้ว!” เหมียวอี้พูดเย้ยตัวเอง ใครเป็นเจ้าถิ่นของตลาดผี ยังจะต้องเถียงกันอีกหรอ? ไม่จำเป็นต้องพัวพันกับประเด็นนี้ เขามองไปรอบๆ แล้วพูดอีกว่า “ทำไมไม่เห็นคุณชายชีเลยล่ะ”
เฉาเฟิ่งฉือที่เดินอยู่ข้างกายส่ายหน้าพูดหยอก “รู้อยู่แล้วว่านายท่านหนิวรู้สึกว่าเฟิ่งฉือมีระดับไม่สูงพอที่จะมาต้อนรับ แต่ก็ช่วยไม่ได้ค่ะ คุณชายชีมีธุระ ทำได้เพียงลำบากนายท่านหนิวหน่อยแล้ว”
“สมกับเป็นพี่น้องกัน คุยกับพี่ชายเจ้าก็รู้สึกสนุกแบบนี้เหมือนกัน” เหมียวอี้พูดเรื่อยเปื่อยไปอย่างนั้น
ทว่าประโยคนี้ก็กระทบจนทำให้เฉาเฟิ่งฉือใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้รีบก้าวเดินตามไป ตอนนี้เงียบแล้ว
เหมียวอี้ที่เหล่สายตาสังเกตแอบยิ้ม สงสัยจะมองไม่ผิด เป็นน้องสาวของเซี่ยโห้วหลงเฉิงจริงๆ ด้วย
พอขึ้นไปบนตึกแล้วเข้าไปข้างในอีกครั้ง เหยียนซิวก็ถูกกักตัวไว้ตรงทางผ่าน การที่ให้เขาเข้ามาถึงในนี้ได้ ก็นับว่าไว้หน้าเหมียวอี้แล้ว เหมียวอี้ก็บอกให้เขารออยู่ตรงนี้เช่นกัน
“เถ้าแก่เฉา!”
ในห้องเดี่ยวสำหรับรับรองแขก เหมียวอี้ที่ถูกพาเข้ามาได้เจอเฉาหม่านแล้ว ทั้งสองไม่ได้เจอกันเป็นครั้งแรก เหมียวอี้กลุมหมักคารวะทักทาย
เฉาหม่านที่นั่งต้มน้ำชาอยู่ข้างเตายิ้มบางๆ เขาไม่ได้ลุกขึ้นมา เพียงยื่นมือเชิญให้นั่งเท่านั้น ดูเหมือนเสียมารยาท แต่บนอาณาเขตนี้อีกฝ่ายมีสิทธิ์ที่จะทำแบบนี้เช่นกัน สามารถเจียดเวลามาพบได้ ก็นับไว้หน้าแม่ทัพภาคตลาดผีแต่ในนามอย่างเหมียวอี้มากแล้ว
เมื่อเชิญให้เหมียวอี้นั่งลงแล้ว เฉาเฟิ่งฉือก็เดินอ้อมไปยืนอยู่ข้างหลังเฉาหม่าน
กลิ่นหอมของน้ำชาโชยมา เฉาหม่านรินน้ำชาให้แขกด้วยตัวเอง สีหน้าผ่อนคลายเป็นกันเอง
หลังจากแขกและเจ้าบ้านดื่มน้ำชากัน และทักทายกันตามมารยาทแล้ว เหมียวอี้ก็เป็นฝ่ายถามก่อนว่า “ไม่ทราบว่าเถ้าแก่เฉาเรียกข้ามาเพราะมีอะไรจะกำชับ?”
“ไม่ถือว่ากำชับหรอก” เฉาหม่านที่ยกถ้วยน้ำชามาจ่อปากส่ายหน้ายิ้ม หลังจากจิบน้ำชาแล้ววางถ้วยลง ก็ตอบว่า “ยินดีกับแม่ทัพภาคด้วยจริงๆ”
เหมียวถามกลั้วหัวเราะ “มีเรื่องดีๆ อะไรหรือ?”
เฉาหม่านก็ไม่อ้อมค้อมกับเขาแล้วเช่นกัน บอกตรงๆ เลยว่า “ช่วงนี้ตึกศาลาสัตยพรตสืบหาที่อยู่ของโจรกบฏกลุ่มหนึ่งได้ หากนายท่านหนิวได้จับกุมโจรกบฏพวกนี้ คาดว่าการได้เลื่อนกลับสู่ตำแหน่งเดิมคงอยู่ไม่ไกลแล้ว ค่าย่อมต้องแสดงความยินดี”
เหมียวอี้ก็ยังนึกว่ามีเรื่องอะไรถึงต้องให้เขามาด้วยตัวเอง ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง ก่อนหน้านี้ตระกูลโค่วก็เคยบอกเรื่องนี้กับเขาแล้ว
แต่เขากลับไม่รู้ว่าเรื่องนี้ทำให้ตึกศาลาสัตยพรตลำบากแล้ว จู่ๆ ประมุขชิงก็ให้อภัยโทษทั้งใต้หล้า ทำให้เรื่องราวหักมุมไปมากมาย ทำเอาตึกศาลาสัตยพรตที่นั่งรอตกปลาอย่างสงบมาตลอดต้องกลุ้มใจ ทำไมพอเรื่องราวไปเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อทีไร ก็จะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายที่ทำให้รับมือไม่ทันทุกทีไป เรื่องของเจียงอีอีก่อนหน้านี้ก็เหนือความคาดหมาย ตอนนี้ก็เกิดเหตุไม่คาดคิดกับกลุ่มผู้ต้องสงสัยอีก
“รบกวนแล้ว” เหมียวอี้พยักหน้า ทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ จึงไม่ต้องพูดอะไรมาก เป็นแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เรื่องบางเรื่องเถ้าแก่เฉาส่งคนมาบอกให้ทราบก็พอแล้ว นี่ต้องรบกวนให้เถ้าแก่เฉามาเจอข้าเอง คาดว่าคงมีอย่างอื่นจะกำชับใช่มั้ย?”
เฉาหม่านยิ้มบางๆ “ตระกูลโค่วเรียกได้ว่าออกแรงสนับสนุนแม่ทัพภาคไม่น้อยเลยนะ ได้ยินว่าสะเทือนไปถึงราชินีสวรรค์จนต้องเปลี่ยนคนในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีชุดใหม่หมด จะว่าไปแล้วตาแก่พวกนั้นก็นับว่าได้อาศัยยบารมีของแม่ทัพภาค มาเฝ้าอยู่ในแหล่งที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันหลายปีโดยไร้คนหนุนหลัง ตอนนี้ในที่สุดก็ได้หลุดพ้นแล้ว ลับหลังอาจจะรู้สึกขอบคุณนายท่านหนิวมากก็ได้”
ในจุดนี้เหมียวอี้ก็ยอมรับเช่นกัน ในมือราชินีสวรรค์ควบคุมไว้เพียงตลาดเท่านั้น หลังจากกำลังพลตลาดผีถูกถอนออกไป ราชินีสวรรค์ก็ไม่มีอำนาจที่จะจับไปแทรกในท้องถิ่น ทำได้เพียงยัดเข้าไปไว้ที่ตลาดสวรรค์ จู่ๆ กลุ่มคนที่ไม่มีอนาคตก็ดวงดี ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกจับย้ายไปยังตลาดสวรรค์ที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ถ้าไม่เรียกว่าอาศัยบารมีจากเขาแล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะ? ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ แค่ความคิดเพียงชั่วขณะของเบื้องบน ก็สามารถตัดสินชะตากรรมของใครหลายๆ คนได้แล้ว
แต่ก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยากพูดเรื่องนี้ เหมียวอี้ยกน้ำชาขึ้นจ่อตรงปากรอให้เขาพูดต่อไป
เป็นอย่างที่คาดไว้ หลังจากเฉาหม่านเพ่งสังเกตปฏิกิริยาของเขาครู่หนึ่ง ก็พูดต่อว่า “โชคและหายนะมักเกิดขึ้นพร้อมกัน เรื่องดีๆ บางเรื่องก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีจริงๆ ความช่วยเหลือบางอย่างก็อาจจะไม่ใช่การช่วยเหลือจริงๆ นายท่านหนิวคิดว่าเฉาคนนี้พูดถูกหรือไม่”
พวกเขาพูดคุยกันถึงตรงนี้ ทั้งสองไม่ได้พูดคุยลงลึกในประเด็นไหน
หลังจากเฉาเฟิ่งฉือเดินออกไปส่งเหมียวอี้ด้วยตัวเอง ก็เห็นเฉาหม่านยืนอยู่ริมหน้าต่าง พอนางเดินเข้าไปใกล้แล้วมองไปด้านนอกแวบหนึ่ง ก็เห็นเรือของเหมียวอี้ลอยจากไปตามกระแสน้ำพอดี จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านปู่สาม ทำไมไม่เตือนเขาเรื่องจวนแม่ทัพภาคขุดทางใต้ดิน?”
ในดวงตาเฉาหม่านฉายแววล้ำลึก “เรื่องทางใต้ดินนั้นเป็นเรื่องเล็ก สามารถทำลายทิ้งได้ทุกเมื่อ แสร้งทำเป็นไม่รู้ก็พอแล้ว ถือเสียว่าให้เขามีทางหนีทีไล่ในการเอาชีวิตรอดเพิ่ม เพราะเบื้องหลังของเจ้าหนุ่มนี่น่าสนใจ ซ่อนอะไรไว้ลึกมาก! ก่อนหน้านี้จับตาดูหกลัทธิมาตั้งนานแต่ก็ไม่พบอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหนุ่มนี่ถูกส่งตัวมาทำงานที่ตลาดผีเพราะเรื่องธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ครั้งก่อนจนเผยเบาะแสบางอย่างให้เห็น ใครจะคิดล่ะว่าเบื้องหลังเจ้าหนุ่มนี่จะเกี่ยวข้องกับหกลัทธิ ก่อเรื่องที่ตำหนักสวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ยังรอดได้ เกรงว่าเบื้องหลังคงจะใช้คำว่าโชคดีมาอธิบายไม่ได้ แต่พวกเราไม่มีความมั่นใจกับสิ่งเหล่านี้เลยสักนิด ตระกูลเซี่ยโห้วก่อตั้งมาหลายปีขนาดนี้ เคยทำงานช้าขนาดนี้เสียที่ไหนกัน? มาคิดดูย้อนหลังก็ยังกลัวเลย!
“ท่านปู่สาม ท่านหมายความว่า?” เฉาเฟิ่งฉือสงสัย
เฉาหม่านหรี่ตาตอบอย่างช้าๆ “จุดข้อต่อสำคัญเพียงจุดเดียวในตอนนี้อยู่บนตัวเขา เบาแสเบาบางมาก พอเกิดเรื่องกับเจ้าหนุ่มนี่เมื่อไร โอกาสที่เราจะสาวไปถึงเบื้องหลังเขาก็จะตัดขาดไปโดยสิ้นเชิง เบื้องหลังของเจ้าหนุ่มนั่นระมัดระวังตัวสูงมาก ดูจากการที่ข้าเฝ้าสังเกตหกลัทธิมาหลายปีแต่ยังไม่พบอะไรก็รู้แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้แหวกหญ้าจนงูตื่น ถึงแม้ความร่วมมือระหว่างเรากับตระกูลโค่วจะจบลงแล้ว แต่ลับหลังก็ยังปล่อยให้เขาเป็นอะไรไปไม่ได้ ตอนที่เฒ่าชียังไม่กลับมาจากลาดตระเวนตลาดมืด เจ้าก็จับตาดูไว้มากๆ หน่อย”
เฉาเฟิ่งฉือเข้าใจบ้างแล้ว พยักหน้าตอบว่า “เฟิ่งฉือเข้าใจแล้ว”
“เฟิ่งฉือ ได้ยินว่าตอนอยู่อารามหลันเย่ เจ้ากับหนิวโหย่วเต๋อใกล้ชิดกันมากนะ!” จู่ๆ เฉาหม่านก็ยกมือจับขอบหน้าต่างพร้อมเอ่ยถาม
เฉาเฟิ่งฉือแอบตกใจ นึกไม่ถึงว่าแค่คุยกันนิดหน่อยที่อารามหลันเย่ก็ทำให้ท่านปู่สามรู้เรื่องแล้ว นางพยายามตอบอย่างไม่หวาดหวั่นว่า “ก็ไม่ถือว่าใกล้ชิดกันหรอกค่ะ เป็นคนฝั่งตลาดผีเหมือนกัน เลยคุยกันมาหน่อยก็เท่านั้นเอง”
“เช่นนั้นก็ดี!” เฉาหม่านหันตัวมา แล้วมองนางพร้อมยิ้มเรียบๆ “ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่นหรอก ได้ยินว่าเขาเป็นสหายคนเดียวตอนที่หลงเฉิงยังมีชีวิตอยู่ ข้ากังวลว่าเจ้าจะคิดมากไป ก็เลยอยากจะเตือนเจ้าสักหน่อย เบื้องหลังเขาล้ำลึกขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเข้าหาหลงเฉิงเพราะมีเจตนาแอบแฝงก็ได้ เกรงว่าอาจจะไม่ใช่สหายที่แท้จริง เจ้าอย่าใช้ความรู้สึกทำงานเด็ดขาด! ถึงแม้เจ้าจะเป็นสตรี แต่ในเมื่อตระกูลเลือกเจ้ามาไว้ทางนี้แล้ว ก็แสดงว่าตระกูลคาดหวังกับเจ้า!”
“ท่านปู่สาม เข้าเข้าใจแล้วค่ะ” เฉาเฟิ่งฉือพยักหน้า
แดนอเวจี ดาวอู๋เลี่ยง ดวงจันทร์สว่างกลางท้องฟ้า แต่หยางชิ่งกลับข่มตานอนลำบาก จึงเดินมายืนริมหน้าผาเงียบๆ
ใต้หน้าผามีคลื่นซัดกระทบฝั่ง หยางชิ่งที่ยืนอยู่บนหน้าผาเงยหน้ามองแสงจันทร์ ใช้เวลาสั้นๆ ไม่ถึงปี ไม่น่าเชื่อว่าสีหน้าของเขาจะดูแห้งเฉาซีดเซียวลงไปบ้างแล้ว แต่สายตาพี่มองท้องฟ้ายามราตรียังคงเป็นประกาย ลึกล้ำและมีชีวิตชีวา ตอนนี้เขากำลังขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่ากำลังครึ่งคิดอะไรบางอย่าง
ชิงจวี๋เดินรอบหน้ามาทางข้างหลัง นำผ้าคลุมบ่าสีดำผืนหนึ่งมาคลุมบ่าให้เขาเบาๆ เมื่อเห็นหยางชิ่งที่กำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งมีผมขาวแซมตรงจอนผม ชิงจวี๋ก็อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าเม้มปาก สีหน้าของนางดูค่อนข้างปวดร้าวระทม มีเพียงนางที่รู้ชัดเจนที่สุดว่าหลังจากมาที่แดนอเวจีแล้ว หยางชิ่งมีสภาพเป็นอย่างไร มีเพียงนางที่รู้ดีที่สุดว่าในหลายปีมานี้หยางชิ่งสิ้นเปลืองพลังความคิดไปมากขนาดไหนเพื่อรับมือกับคนแก่พวกนี้ เป็นอย่างที่หยางชิ่งบอกกับเหมียวอี้จริงๆ ‘ข้าน้อยจะทุ่มเทสติปัญญาความสามารถตราบจนชีวิตหาไม่!’
ตรงจุดที่ไม่ไกล หลังจากจ้าวเฟยกับอูเมิ่งหลันจ้องมองเงาร่างของหยางชิ่งที่ซูบผอมลงไปเยอะครู่หนึ่ง ทั้งคู่ก็สบตากันแวบหนึ่งอย่างรู้ใจ แล้วก็ใส่หน้าถอนหายใจเบาๆ
ถึงแม้พวกเขาจะไม่ใช่สาวใช้ประจำตัวของหยางชิ่งเหมือนชิงจวี๋ ไม่ได้รู้อะไรเยอะเหมือนชิงจวี๋ แต่บางสิ่งบางอย่างก็เห็นอยู่ในสายตาแล้ว
ทั้งสองที่ติดตามอยู่ข้างกายหยางชิ่งเห็นกับตาว่าหยางชิ่งต่อสู้กับพวกคนแก่ของหกลัทธิอย่างไร ดึงตัวลูกน้องเก่าของห้าปราชญ์ที่พี่ภพเล็กมาเป็นพวก ยุแหย่จนหกลัทธิวุ่นวายเป็นไก่บินสุนัขกระโดด แล้วก็ออกหน้ามาทำให้เรื่องสงบ จากนั้นก็ยุแยงให้วุ่นวายอีก แล้วก็ทำให้สงบต่อไปอีก สร้างความขัดแย้งครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ปลอบใจครั้งแล้วครั้งเล่า
บางทีคนที่ดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆ อาจจะเห็นอะไรชัดเจนกว่า ทั้งสองรู้สึกว่าห้าปราชญ์ถูกหยางชิ่งผลักให้ไปอยู่หน้าเวทีโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว แต่หยางชิ่งกลับเหมือนจะกลายเป็นตัวละครที่คอยสร้างสันติ ค่อยๆ กลายเป็นตัวละครสำคัญที่ขาดไม่ได้เพื่อไม่ให้ทั้งสองฝ่ายกันแตกคอกัน ยังไม่ต้องพูดถึงบารมีความน่าเชื่อถือที่กำลังเพิ่มขึ้นทีละนิด อย่างน้อยก็ไม่มีใครกล้ามองข้ามหัวหัวหน้าผู้ช่วยท่านนี้แล้ว ในฐานะที่พวกเขาคอยวิ่งเต้นทำงานอยู่ข้างกายหยางชิ่ง ทั้งสองได้เห็นวิธีการต่างๆ นานาของหยางชิ่งเองกับตา ทำให้รู้สึกตกตะลึงนิดหน่อย แต่สิ่งที่หยางชิ่งทุ่มเทอยู่เบื้องหลังกลับเป็นการโหมทำงานหนักไม่มีที่สิ้นสุด ตอนนี้ในมือของหยางชิ่งยังไม่ได้ฝึกเลี้ยงใครที่สามารถเอาไว้ช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องนี้ได้
สรุปก็คือหลังจากหยางชิ่งมาที่แดนอเวจี ก็ทำงานไม่ได้หยุดหย่อนเลย หยางชิ่งที่ทั้งสองเห็นก็คือ ถ้าไม่ได้วิ่งวุ่นทำงานอยู่ระหว่างหกลัทธิ ก็จะครุ่นคิดอะไรบางอย่างไม่หยุด แทบจะไม่เคยเห็นเขาหยุดพักมาก่อนเลย สภาพแบบนี้ต่อให้เป็นนักพรตแต่ก็ทนไม่ไหวอยู่ดี อย่างน้อยพวกเขาสองคนก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว แต่ก็โชคดีที่ยังมีซือคงอู๋เว่ยกับเถาชิงหลี ทั้งสองฝั่งผลัดกันมาคอยฟังคำสั่งหยางชิ่งตลอดเวลา
ตอนนี้จ้าวเฟยกับอูเมิ่งหลันก็นับว่าเข้าใจแล้ว ว่าทำไมเหมียวอี้ถึงให้หยางชิ่งรับหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญ อย่างน้อยในตอนนี้สองสามีภรรยาก็ยอมรับหยางชิ่งจากใจ ความสามารถของหยางชิ่งไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสองคนจะเทียบติด ในขณะที่รู้สึกชื่นชม สิ่งที่ได้เห็นก็ทำให้ทั้งสองทอดถอนใจไม่หยุดเช่นกัน ถ่ายชายรูปร่างกำยำคนหนึ่งค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชายผู้เหี่ยวแห้งแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะแก่ชราลงหลายส่วน เห็นได้ชัดว่านี่คือผลจากการใช้สมองหนักแล้วไม่ได้ฟื้นฟูเป็นเวลานาน ไม่อย่างนั้นนักพรตผู้สง่าผ่าเผยคนหนึ่งคงไม่มีสภาพเป็นอย่างนี้หรอก เงาร่างที่เปลี่ยนเป็นซูบอยู่ริมหน้าผาภายใต้แสงจันทร์นั่นก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ยืนยันแล้ว
เพียงแต่วันนี้ไม่รู้ว่าหยางชิ่งเป็นอะไรไป ปกติเวลาครุ่นคิดวิธีแก้ปัญหา หยางชิ่งก็จะเดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้าน ไม่มีทางเผยตัวอยู่ข้างนอกให้คนเห็น
หารู้ไม่ว่า หยางชิ่งเปลี่ยนจากใช้พลังความคิดที่แดนอเวจีไปใช้พลังความคิดที่ตลาดผีชั่วคราวแล้ว เปลี่ยนไปคิดเรื่องของเหมียวอี้แทน เขาเองก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน เขาเป็นห่วงฝั่งเหมียวอี้มากเกินไป ถ้าเกิดเรื่องอะไรกับเหมียวอี้ขึ้นมา พลังความคิดมากมายที่เขาทุ่มเทกับฝั่งนี้ก็จะสูญเปล่า
ลักษณะการทำงานของเหมียวอี้ทำให้เขาแทบจะเป็นบ้าอยู่บ่อยๆ เขาไม่มีทางบงการเหมียวอี้ได้เลยจริงๆ เพราะเหมียวอี้มักจะไม่เล่นตามกติกาปกติ แต่ครั้งนี้หลังจากเหมียวอี้ขอคำชี้แนะจากเขา สิ่งที่เขาต้องการเป็นอันดับหนึ่งก็คือ ต้องรู้ถึงสถานการณ์ที่ตลาดผี ต้องการให้เหมียวอี้รายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางฝั่งตลาดผีให้เขารู้ตลอดเวลา เพราะการแข่งขันกระดานนี้จะแพ้ไม่ได้จริงๆ
เหมียวอี้เองก็ได้รับปากเขาไว้แล้ว
หยางเจาชิงรับหน้าที่นำสถานการณ์ของตลาดผีที่กำลังพลจวนแม่ทัพภาครวบรวมได้ไปรายงานต่อให้หยางชิ่งรู้ เหยียนซิวที่ติดตามเหมียวอี้อยู่เป็นปกติก็รายงานสถานการณ์ที่ไม่ชอบมาพากลบางอย่างให้ทางนี้รู้เช่นกัน โชคดีที่ทั้งสองคนมีช่องทางการติดต่อกับชิงจวี๋ มีชิงจวี๋คอยรับข่าวจากหยางเจาชิงและเหยียนซิวตลอดเวลา
เท่านี้ยังไม่พอ หลังจากแน่ใจแล้วว่าเหมียวอี้ดึงดันจะทำอย่างนั้นให้ได้ เขาก็ไปประชุมกับหกลัทธิทันที บอกให้ทุกช่องทางข่าวสารของหกลัทธิทางตลาดผีรายงานเรื่องทั้งหมดของตลาดผีให้ทางนี้รู้ให้ทันเวลา ครั้งนี้เขาบอกถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเหมียวอี้ให้บุคคลระดับสูงของหกลัทธิรู้โดยไม่อ้อมค้อม บอกไว้อย่างชัดเจน ว่าถ้าเกิดเรื่องกับเหมียวอี้เมื่อไร ความพยายามของทุกคนก็จะสูญเปล่า ในภายหลังเลิกคิดไปได้เลยว่าจะมีทรัพยากรส่งเข้ามา แล้วทุกคนก็รอให้กำลังพลเบื้องล่างใช้ทรัพยากรจนหมดแล้วเกิดเรื่องขึ้นได้เลย
เมื่อถูกหยางชิ่งปั่นแบบนี้ หกลัทธิก็เริ่มเครียดแล้วเช่นกัน
แต่จากนั้นหยางชิ่งก็ปลอบใจอีก ต้องการให้หกลัทธิรักษาความเป็นปกติที่ตลาดผีเอาไว้ อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ที่จริงสาเหตุที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะกลัวว่าพวกคนเก่าคนแก่ของหกลัทธิจะต่อหน้าเสแสร้งทำเป็นเชื่อฟัง พอลับหลังกลับต่อต้าน ทำให้รายงานสถานการณ์ทางตลาดผีขึ้นมาไม่ทันก็เท่านั้นเอง ตอนนี้เขาต้องการจะรู้สถานการณ์ต่างๆ ขององตลาดผีจำนวนมาก
ด้วยเหตุนี้ หยางชิ่งจึงย้ายบุคคลระดับสูงกลุ่มหนึ่งของหกลัทธิมารวมกันที่นี่ เพื่อคอยรับข่าวเกี่ยวกับตลาดผีที่แต่ละช่องทางรายงานมา ก่อตั้งเครือข่ายข่าวสารขนาดใหญ่ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุดเพื่อบริการเหมียวอี้คนเดียว
เพิ่งจะจัดการเรื่องนี้เสร็จ หยางชิ่งก็ได้รับข่าวจากเหมียวอี้อีกแล้ว เหมียวอี้เล่ารายละเอียดตอนที่เจอกับเฉาหม่านให้ฟัง
คำเตือนแบบนี้นัยยะแอบแฝงของเฉาหม่าน ที่จริงแล้วมีความหมายบางอย่างต่อเหมียวอี้ แต่คำเตือนประโยคเดียวนี้ก็ได้ทำให้หยางชิ่งเพิ่มความระมัดระวังตัวแล้ว ทำให้สีหน้าตึงเครียดขึ้นมาในฉับพลัน
หลังจากยืนครุ่นคิดอยู่ริมหน้าผานานมาก หยางชิ่งก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ แล้วจู่ๆ ก็ถาม่วา : นายท่าน ตอนอยู่ที่ตลาดผี ท่านเคยติดต่อกับคนของหกลัทธิหรือเปล่า?
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าเขาถามถึงเรื่องนี้ทำไม ตอบไปว่า : ตลาดผีเป็นถิ่นของตึกศาลาสัตยพรต ข้าจะกล้าเจอกับคนของหกลัทธิที่นี่ได้ยังไง
หยางชิ่งคิดไปคิดมาก็เห็นด้วย แต่เขาระมัดระวังตัวจนติดเป็นนิสัยแล้ว เมื่อเจอกับเรื่องประเภทนี้ก็ยังถามเยอะเพื่อให้ปลอดภัยและเชื่อถือได้ : นายท่านแน่ใจจริงเหรอ ว่าไม่เคยคลุกคลีกับคนของหกลัทธิที่ตลาดผีเลย?
เหมียวอี้ : ไม่เคย…
จากนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้อีก พูดเสริมอีกว่า : ตอนเป็นแม่ทัพภาคตลาดผีข้าไม่เคย แต่ก่อนหน้านั้น ตอนที่ตำหนักสวรรค์วางกับดักที่ตลาดผี ข้าพบปัญหานิดหน่อย ก็เลยยืมคนของลัทธิอู๋เลี่ยงให้มาช่วยทำให้ข้าหนีไป ถ้านับเรื่องนี้ด้วยก็ถือว่าเคยติดต่อกัน
หยางชิ่งถามซักไซ้ทันที : นายท่านเล่ารายละเอียดให้ฟังได้มั้ย?
สำหรับเรื่องนี้ เหมียวอี้ไม่ได้ปิดบังอะไร บอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขารู้แล้ว
“นายท่านรอสักครู่!” หลังจากฟังจบ หยางชิ่งก็บอกเขาอย่างนั้น แล้วก็สะบัดเสื้อคลุมเดินไปยังที่อยู่ของจินม่านโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
จินม่านที่กำลังฝึกวิชาย่อมถูกเขารบกวนแล้ว พอทั้งสองพบกันในห้องรับแขก หยางชิ่งก็กุมหมัดคารวะ “ประมุขปราชญ์”
“หัวหน้าผู้ช่วยมีธุระอะไรดึกป่านนี้?” จินม่านแปลกใจ
“ได้ยินราชาปราชญ์บอกมา ว่าในปีนั้นที่ตำหนักสวรรค์วางกับดักที่ตลาดผี ราชาปราชญ์เคยประสบปัญหานิดหน่อย ลัทธิอู๋เลี่ยงเคยส่งคนไปรับเหรอ…” หยางชิ่งถามรวบรัด รีบถามสิ่งที่อยากรู้ออกมาให้ชัดเจน
พูดสั้นกระชับได้ใจความขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลที่จินม่านจะฟังไม่เข้าใจ นางครุ่นคิดสักประเดี๋ยว ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “มีเรื่องแบบนี้จริงๆ ราชาปราชญ์ติดต่อมาหาข้าด้วยตัวเอง ให้ข้าเตรียมคนทางตลาดผีให้ไปช่วยเหลือนายท่าน มีปัญหาอะไรเหรอ?”
“ข้าอยากรู้รายระเอียดว่าช่วยเหลือยังไง สืบได้หรือเปล่า?” หยางชิ่งถาม
“เรื่องที่ผ่านมือเบื้องล่างโดยละเอียด ข้าก็ไม่รู้ชัดแล้ว เกรงว่าต้องถามสักหน่อย” จินม่านตอบอย่างลังเล
หยางชิ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง สั่งคำเดียวว่า “สืบ!”
…………………………