พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1701 แม่ทัพภาคโดดเดี่ยว
“แลกอาณาเขตเหรอ?” เฉาหม่านที่ยกถ้วยน้ำชางงไปชั่วขณะ “แลกที่อยู่กับวัดพระกษิติครรภ์?” ต่อให้เขาจะฉลาด แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้กำลังจะเล่นลูกไม้ไหน
“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า “เถ้าแก่บอกราชินีสวรรค์ให้สักหน่อย ให้ราชินีสวรรค์คุยกับกับแดนพุทธให้สักหน่อย”
เฉาหม่านเหลือยตาลง “เรื่องแบบนี้พ่อค้าคนหนึ่งอย่างข้าจะไปบอกราชินีสวรรค์ได้ยังไง ท่านไปบอกตระกูลโค่วเอาเองเถอะ”
เหมียวอี้หัวเราะแห้งพลางส่ายหน้า ตระกูลโค่วไม่มีทางทำเรื่องไร้สาระอย่างนี้แน่นอน มิหนำซ้ำตระกูลโค่วก็รู้แล้วว่าตนขุดจวนแม่ทัพภาค จะช่วยเขาวางกับดักวัดพระกษิติครรภ์ได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องที่บ้านคนมีเงินจะทำ “เถ้าแก่ อยู่ต่อหน้าคนเปิดเผยเหตุใดต้องพูดคลุมเครือ ท่านจะติดต่อราชินีสวรรค์ไม่ได้ได้ยังไง? ถ้าพูดเปิดเผยจะไม่สนุกแล้วนะ”
หึ! เฉาหม่านเหลือบมองเขาศีรษะจดเท้า พบว่าช่วงนี้เจ้าหนุ่มนี่มีท่าทีไม่ชอบมาพากลนิดหน่อย ก่อนหน้านี้เวลาเห็นตนยังระมัดระวังตัวมาก อย่างน้อยก็มองออกว่ารู้สึกหวาดกลัว ตอนนี้กลับไม่สนใจอะไรแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีแม่ทัพภาคตลาดผีคนไหนกล้าพูดกับตนอย่างนี้ สงสัยมีความมั่นใจที่จะเผยไพ่แล้วจริงๆ
แต่จะว่าไปแล้ว คำพูดแบบนี้ไม่ต้องเสแสร้งก็นับว่าสบายใจ
เขาเองก็ไม่ได้จะแตกคอกันเพราะเรื่องนี้ เหตุผลน่ะเหรอ เหมียวอี้รู้ว่าเขารู้ แต่เขากลับไม่รู้ว่าเหมียวอี้รู้ว่าเขารู้แล้ว
เฉาหม่านแสยะยิ้ม “ได้ๆ ทำไมต้องเปลี่ยนสถานที่? จวนแม่ทัพภาคตลาดผีสร้างมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่าจะเปลี่ยนที่กับวัดพระกษิติครรภ์ ถ้าไม่บอกเหตุผลมา คาดว่าคงไม่มีใครอยากเกี่ยวข้องเรื่องนี้ บันทึกของนายท่านที่ตลาดสวรรค์ก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมสักเท่าไร ทางที่ดีอย่าก่อเรื่องตลาดผีเลย” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ อย่ามาก่อเรื่องในอาณาเขตของข้า
เหมียวอี้ตอบว่า “จะพูดอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้ามีศัตรูเยอะเกินไป ที่จวนแม่ทัพภาคคึกคักเกินไป อยู่แล้วไม่สงบใจ วัดพระกษิติครรภ์ค่อนข้างลับตาคน”
เฉาหม่านตอบว่า “อีกฝ่ายเป็นคนแดนพุทธ ไม่สอดมือเข้ามายุ่งเรื่องฝั่งตำหนักสวรรค์ แค่อยากจะหลบอยู่อย่างสงบ ท่านเอาอีกฝ่ายมาเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวาย ท่านคิดว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลงเหรอ? มิหนำซ้ำถ้ารบกวนราชินีสวรรค์เพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ท่านคิดว่าเหมาะสมเหรอ?” เขาแสยะยิ้มทีหนึ่ง ทำท่าราวกับบอกว่าให้เหมียวอี้ล้มเลิกความคิดนี้เสีย
“ที่จริงขอเพียงเถ้าแก่คุยให้ทั้งสองฝ่าย ทั้งสองฝ่ายจะต้องไว้หน้าเถ้าแก่แน่นอน” เหมียวอี้กล่าวอย่างเชื่องช้าใจเย็น
“ตึกศาลาสัตยพรตไม่ยุ่งกับเรื่องแบบนี้” เฉาหม่านปฏิเสธลูกเดียว
“ที่สำคัญคือถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากราชินีสวรรค์…ต่อให้แดนพุทธตอบตกลงก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี!” เหมียวอี้ไม่ยอมแพ้
“อ้อ!” เฉาหม่านฟังอะไรบางอย่างออกจากน้ำเสียงของเขา จึงจิบชาช้าๆ สองสามคำ ก่อนจะให้คำตอบที่แฝงความหมายลึกซึ้ง “เดิมทีเจ้าถูกดูแลโดยตำหนักนารีสวรรค์อยู่แล้ว รายงานไปที่ตำหนักนารีสวรรค์โดยตรงก็พอแล้ว มาหาข้าถือเป็นการกระทำที่มากเกินความจำเป็น” เขาอยากจะเห็นว่าเหมียวอี้จัดการคนฝั่งแดนพุทธอย่างไร
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจแล้วเช่นกัน อีกฝ่ายไม่สะดวกจะคุยให้อย่างโจ่งแจ้ง ยังต้องให้เขารายงานเองอย่างเปิดเผย เพียงแต่ลับหลังจะช่วยเขาคุยกับราชินีสวรรค์ได้ จึงกุมหมัดคารวะขอบคุณทันที “เถ้าแก่ชี้แนะได้ถูกต้อง วันหลังค่อยมารบกวนใหม่” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินจากไป
ทว่าเฉาหม่านกลับพูดรั้งเขาไว้ “อย่ารีบเลย ยังมีอีกเรื่องที่อยากอธิบายกับนายท่าน”
เหมียวอี้อึ้งทันที แล้วก็นั่งลงอีก “มีเรื่องอะไร?”
เฉาหม่านวางถ้วยน้ำชาลง “ช่วงนี้ตลาดผีเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย มีคนทำงานไม่สอดคล้องกับจริยธรรม ทำลายธรรมเนียมของตลาดผี บางทีใช้อุบายชั่วกับโรงน้ำชาของคนอื่น ทำให้คนอื่นประกอบธุรกิจไม่ได้ บางทีก็ไปคุกคามที่สำนักของคนอื่น บ้างครั้งไปจับตัวคนในครอบครัวคนอื่นมาเป็นตัวประกัน ใช้วิธีการต่างๆ นาๆ เพื่อ ‘ซื้อ’ ร้านค้า ไม่ต่างอะไรกับนักต้มตุ๋นที่หลอกไปทั่วโดยไม่ลงทุน เมื่อตรวจสอบดูแล้วก็พบว่าเกี่ยวข้องกับสวีถังหรานลูกน้องของท่าน ตอนนี้ทุกคนมาร้องขอความยุติธรรมที่ตึกศาลาสัตยพรต ข้าต้องได้หัวคนไปชี้แจงกับพวกเขา นายท่านคิดว่าข้าจะทำยังไงดี? ถ้านายท่านไม่สะดวกจะลงมือเอง ก็มีคนจะทำแทนให้”
“ทำไมเจ้าเวรนี่ไม่รู้จักเคารพธรรมเนียมบ้างเลย?” เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าโมโห แต่จากนั้นก็ถอนหายใจทันที “เรื่องนี้น่ะ ที่จริงก็โทษสวีถังหรานไม่ได้หรอก เป็นข้าเองที่ให้เขาไปซื้อร้านค้าที่ตลาดผีหลายร้าน เขาอาจจะขัดสนเงินทองกระมัง เลยทำงานรีบเร่งไปหน่อย กลับไปข้าจะตักเตือนเขา ครั้งนี้ยกเว้นให้ ครั้งต่อไปไม่ปล่อยแน่?”
“ครั้งนี้ยกเว้นให้ ครั้งต่อไปไม่ปล่อยแน่? หรือท่านแม่ทัพภาคยังอยากจะให้มีครั้งหน้าอีก? แก้ไขครั้งนี้ก่อนแล้วกัน” เฉาหม่านกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “คายสิ่งที่ฮุบไปออกมาเดี๋ยวนี้ เรียกทหารสวรรค์ที่ไปข่มขู่คนอื่นกลับมาทันที ที่จับคนในครอบครัวพวกเขาไว้ก็ปล่อยเดี๋ยวนี้ ขอเพียงเขาชี้แจง ก็จะปล่อยเขาไปสักครั้งเพื่อเห็นแก่หน้านายท่าน ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าตึกศาลาสัตยพรตไม่เกรงใจ” ถ้าไม่ใช่เพราะมีเหตุผลพิเศษ ฝั่งนี้คงจะให้บทเรียนกับจวนแม่ทัพภาคแล้ว มีหรือที่จะนั่งคุยกันดีๆ อย่างนี้
เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ “อยู่ที่ตลาดผี เรื่องข่มเหงแย่งชิงนั้นเกิดขึ้นทุกวัน ทำไมพอข้าทำบ้างก็ไม่ได้แล้วล่ะ?”
“ธรรมเนียมก็คือธรรมเนียม คนของจวนแม่ทัพภาคไปแทรกแซงเรื่องการค้าขายที่ตลาดผีไม่ได้” เฉาหม่านกล่าว
เหมียวอี้หัวเราะไม่ออกแล้ว กล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ธรรมเนียมไม่มียกเว้นไมตรี ต้องให้ทางรอดสักทางสิ” ในคำพูดเผยความหมายแฝงว่า ถ้าไม่เหลือทางรอดให้ข้า ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าก็ทำได้ทั้งนั้น
“ท่านกำลังขู่ข้าเหรอ?” เฉาหม่านถาม
“จะกล้าได้ยังไง! ถ้าไม่มีทรัพยากรฝึกตนแล้วข้าจะฝึกตนได้ยังไงล่ะ ต้องให้ทางรอดกันบ้างสิ?” เหมียวอี้ถาม
“ตระกูลโค่วให้ทรัพยากรฝึกตนท่านน้อยไปเหรอ?” เฉาหม่านถาม
“ก่อนหน้านี้ก็ไม่น้อยหรอก” พอพูดถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าหมดอารมณ์นิดหน่อย แล้วยกถ้วยน้ำชาอุ่นๆ ขึ้นมาจิบหนึ่งคำ “เพิ่งจะได้รับข่าวจากตระกูลโค่วมา หลังจากนี้ตระกูลโค่วจะไม่ให้ทรัพยากรฝึกตนข้าอีกแล้ว รอให้ข้าเจอกำลังพลที่ยินดีจะมาอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคแล้ว กำลังพลของตระกูลโค่วก็จะออกจากที่นี่ทันที”
“เอ่อ…” เฉาหม่านงุนงงเล็กน้อย แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “มันเรื่องอะไรกัน?”
“ไม่พูดดีกว่า” เหมียวอี้ส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างเบื่อหน่าย
นี่ไม่ใช่คำโกหก เพราะสถานการณ์เป็นอย่างนี้จริงๆ แต่ตระกูลโค่วอธิบายเหตุผลได้ค่อนข้างดี นั่นก็คือเพื่อที่จะรับประกันความปลอดภัยของเขาได้ ก็ต้องประนีประนอมกับขุนนางใหญ่คนอื่นของตำหนักสวรรค์ด้วย จำเป็นต้องทำอย่างนี้เพื่อให้เกิดผลดีกับเขา แต่การถอนกำลังพลของตระกูลโค่วกลับไม่ได้เรียบง่ายแค่การเปลี่ยนกำลังพล เพราะกำลังพลของตระกูลโค่วที่อยู่ที่นี่ย่อมมีตระกูลโค่วช่วยเลี้ยงไว้ แต่ถ้าเปลี่ยนกำลังพลใหม่ จะมีใครอยากมาอยู่ในสถานที่เส็งเคร็งอย่างตลาดผีล่ะ ต่อให้ฝืนย้ายมา แต่ถ้าเจ้าไม่ให้ประโยชน์อะไรกับอีกฝ่ายเลย ไม่มีเงินทั้งยังไม่ได้เลื่อนขั้น ชัดเจนว่าไร้อนาคต แล้วผีที่ไหนจะอยากมาทำงานรับใช้เจ้าล่ะ จะให้ตึกศาลาสัตยพรตช่วยให้เจ้าเลื่อนขั้นเร็วๆ เหรอ ไม่มีทางเกิดเรื่องอย่างนั้นอีกแน่นอน
ถ้าให้เขาแค่คนเดียว ทรัพยากรฝึกตนที่หกลัทธิมอบให้ก็เลี้ยงทั้งครอบครัวของเขาได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ถ้าจะเอาทรัพยากรของหกลัทธิมาเลี้ยงคนกลุ่มใหญ่ ก็อาจจะฟังดูเหลวไหลไปหน่อย ถ้าอยากจะได้ลูกน้องคนสนิทสักกลุ่ม การลงทุนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เดิมทีนึกว่าจะไม่ต้องกังวลเรื่องใช้ทรัพยากรแล้ว ผลปรากฏว่าอ้อมไปอ้อมมาก็ยังหลบไม่พ้น อยากจะทำงานใหญ่ก็ไม่พ้นต้องใช้กำลังทรัพย์สนับสนุน ถ้าไม่มีกำลังทรัพย์แม้แต่งานเล็กก็จัดการได้ยาก ที่เขาให้สวีถังหรานหาร้านค้ายี่สิบร้านก็เพราะมีแผนอีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้แผนเกิดการเปลี่ยนแปลง จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไรแล้ว ใครจะคิดว่าตระกูลโค่วจะถอนกำลังออก ทำให้เขาต้องพิจารณาปัญหาเรื่องกำลังทรัพย์
แน่นอน เรื่องนี้ก็มีประโยชน์เช่นกัน ตระกูลโค่วคืนอิสระให้อวิ๋นจือชิวแล้ว ถ้ารบกวนเรื่องอะไรเล็กน้อยก็พอช่วยได้ แต่ถ้าเรื่องใหญ่ก็อย่าหวังเลย นอกจากนี้หลังจากตระกูลโค่วถอนกำลังออกไป อย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกตระกูลโค่วจับตาดูอย่างเข้มงวดแล้ว
และตระกูลโค่วก็พูดจาถึงขั้นนี้ เหมียวอี้รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน นี่คือรูปแบบใหม่ที่ใช้ตัดสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลโค่ว เพียงแต่เรื่องบางเรื่องถ้าพูดเปิดเผยทุกคนจะมองหน้ากันไม่ผิด เหลือทางหนีทีไล่ไว้สักนิด ต่อไปเวลาเจอกันจะได้ไม่ลำบากใจ
เฉาหม่านทำสีหน้าครุ่นคิด ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าในนั้นเกิดเรื่องอะไรกันแน่ แต่คาดว่าหนิวโหย่วเต๋อคงไม่ถึงขั้นพูดซี้ซั้วกับปัญหานี้ จึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ลูกน้องเก่าของท่านที่ตลาดสวรรค์ล่ะ ให้ช่วยหาร้านที่ตลาดสวรรค์ให้หลายๆ ร้านก็คงไม่ยากมั้ง?”
“ร้านค้าที่ตลาดสวรรค์จะค้าขายได้กำไรเยอะเหมือนการค้าหลบๆ ซ่อนๆ ที่ตลาดผีได้ยังไงล่ะ?” เหมียวอี้ส่ายหน้า แต่นี่เป็นเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น อีกสาเหตุเป็นเพราะเขาไม่อยากทำให้พวกฝูชิงลำบากไปด้วย อย่างไรเสียเรื่องบางเรื่องตระกูลโค่วก็แค่พูดไว้เท่านั้น ในภายหลังจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครพูดได้ชัดเจน ถ้าพวกฝูชิงใกล้ชิดเขาเกินไปอาจจะไม่ใช่เรื่องดี นอกจากนี้ เมื่อดูจากสถานการณ์ต่างๆ ถ้าตัวเองอยากจะหลุดพ้นจากตลาดผีก็เกรงว่าคงยากนิดหน่อย การไปขอให้พวกฝูชิงช่วยเหลือไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนา
แล้วอีกอย่าง เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่คลุมเครือ การทำร้านค้าที่ตลาดสวรรค์มีความเสี่ยงนิดหน่อย เขาเคยเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์มาก่อน ทางการบทจะยึดร้านเจ้าก็ยึดเลย ถึงตอนนั้นความเสียหายก็จะไม่ใช่น้อยๆ เขาเคยมีเรื่องกับคนมากมายขนาดนั้น ใครจะพูดได้ชัดเจนล่ะ ไม่เหมือนตอนอยู่ที่ตลาดผี ตึกศาลาสัตยพรตสามารถรับประกันให้เขาได้ในระดับหนึ่ง มือของตำหนักสวรรค์แทรกแซงเข้ามาไม่ได้ นี่ก็คือรากฐานที่ตึกศาลาสัตยพรตสามารถรวบรวมตลาดซื้อขายที่ตลาดผีได้
“ถ้าไม่อย่างนั้น ข้าลดขนาดลงก็ได้ สักสิบร้านเป็นยังไง?” เหมียวอี้ต่อรอง
เฉาหม่านปฏิเสธลูกเดียว “ข้าจะบอกอีกครั้ง ธรรมเนียมก็คือธรรมเนียม คนของจวนแม่ทัพภาคไม่อาจยื่นมือเข้าไปแทรกแซงการค้าในตลาดผีได้ อย่าว่าแต่สิบร้านเลย ต่อให้เป็นร้านเดียวก็ไม่ได้ ไม่มีทางเหลือให้ต่อรอง! ถ้าเริ่มผ่อนผันให้ท่าน ต่อไปถ้าที่นี่เปลี่ยนแม่ทัพภาค พวกเขาก็จะยกท่านมาเป็นข้ออ้าง แล้วข้าจะสกัดขวางมือของตำหนักสวรรค์ที่ยื่นมาที่นี่ได้ยังไงล่ะ?”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว อีกฝ่ายอธิบายเหตุผลชัดเจนขนาดนี้ สงสัยช่องทางนี้จะไม่สะดวกแล้วจริงๆ หลังจากในหัวรีบคิดหาวิธี สุดท้ายก็เอ่ยปากขอร้องอีกฝ่าย “เถ้าแก่ ช่วยอะไรข้าอีกสักนิดได้มั้ย?”
“อะไร?” เฉาหม่านถามเสียงเย็น
เหมียวอี้นั่งโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย “ช่วยคุยกับราชินีสวรรค์ให้สักหน่อยว่าจะช่วยได้หรือไม่ ข้าไม่ต้องการกำลังพลที่ตลาดผีแล้ว ไม่ต้องส่งคนมาที่นี่แล้ว ข้าจะเป็นแม่ทัพภาคโดดเดี่ยว ให้อำนาจข้าตัดสินใจด้วยตัวเองก็พอ”
แม่ทัพภาคโดดเดี่ยว? นี่จะมาไม้ไหนอีก? เฉาหม่านงงไปชั่วขณะ ก่อนจะถามว่า “อำนาจในการตัดสินใจด้วยตัวเองคืออะไร?”
เหมียวอี้ตอบว่า “อนุญาตให้ข้ารับนักพรตอิสระมาทำงานให้จวนแม่ทัพภาคในนามของจวนแม่ทัพภาค แบบนี้สามารถช่วยตำหนักสวรรค์ประหยัดค่าจ้างได้เยอะเลย ใช่มั้ยล่ะ?”
ในหัวของเจ้าหนุ่มนี่มันคิดบ้าอะไรของมัน? เฉาหม่านครุ่นคิด แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ พบว่าตัวเองค่อนข้างโง่ ไม่น่าเชื่อว่าจะตามความคิดของเจ้าหนุ่มนี่ไม่ทัน จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ “หรือว่ารับนักพรตอิสระมาทำงานให้จวนแม่ทัพภาคแล้วจะไม่ต้องจ่ายเงินเลี้ยง? ถ้าไม่มีทรัพยากรฝึกตนแล้วใครจะมาทำงานให้? ตำหนักสวรรค์ดึงกำลังพลให้ท่าน อย่างน้อยท่านก็ไม่ต้องควักเงินกระเป๋าตัวเองมาจ่ายค่าจ้างพื้นฐานไม่ใช่เหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “กำลังพลที่ดึงมาจากตำหนักสวรรค์ทำงานได้แค่ในตลาดผี ถ้าส่งออกไปทำอะไรก็จะเกินขอบเขตได้ง่าย แต่กำลังพลที่ข้าหามาเองสามารถส่งออกไปทำงานข้างนอกหรือไม่ก็ทำธุรกิจสร้างกำรให้ข้าได้ ทำอะไรแค่นี้ไม่ได้เหรอ?”
“…” เฉาหม่านพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง แต่ในหัวเกิดแสงสว่างฉับพลัน หรือว่าเจ้าหนุ่มนี่จะฉวยโอกาสดึงอำนาจที่อยู่เบื้องหลังออกมา?
เขายกถ้วยน้ำชาขึ้นช้าๆ พร้อมกล่าวอย่างเนิบนาบ “เดิมทีท่านก็อยู่ในสังกัดตำหนักนารีสวรรค์โดยตรง รายงานไปที่ตำหนักนารีสวรรค์โดยตรงก็สิ้นเรื่องแล้ว มาหาข้าถือว่าเกินความจำเป็นไปหน่อย”
คำตอบเหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เหมียวอี้เข้าใจแล้ว จึงยืนขึ้นกุมหมัดคารวะ พร้อมกล่าวปนเสียงหัวเราะ “เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน รอให้เรื่องเปลี่ยนอาณาเขตกับวัดพระกษิติครรภ์เรียบร้อยแล้ว ข้าก็จะจัดการเรื่องนี้ทันที ส่วนเจ้าสวีถังหรานนั่นก็เหลวไหลเกินไปแล้ว เดี๋ยวกลับไปข้าจะสั่งให้เขากลับเนื้อกลับตัวเลย!”
…………………………