พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1772 เฒ่าจัญไร คิดว่าข้ามาอยู่ประดับที่นี่เฉยๆ เหรอ
- Home
- พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า
- บทที่ 1772 เฒ่าจัญไร คิดว่าข้ามาอยู่ประดับที่นี่เฉยๆ เหรอ
ยังไม่ทันเห็นสภาพวัดทั้งหมด ก็ได้ยินเสียงสวดมนต์พึมพำดังมาไม่หยุด เสียงไม่ดังมาก แต่เสนาะหู ราวกับเป็นบทเพลงจากสรวงสวรรค์ เป็นเสียงของผู้หญิง
เมื่อเสียงสวดมนต์ดังเข้าหู ก็ทำให้เหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าจิตใจสงบผ่อนคลายทันที มีผลต่อการคลายอารมณ์ตึงเครียด
ทั้งสามที่อยู่ตรงตีนบันไดทยอยกันยื่นศีรษะออกมา ทำให้เห็นสภาพด้านนอกวัดชัดเจนแล้ว ด้านนอกประตูวัดมีคนศีรษะโล้นสองคนนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงข้ามกันที่ฝั่งซ้ายและขวาของประตู
ไต้ซือศีลเจ็ดกำลังหลับตาด้วยสีหน้าเมตตาใจบุญ นอกจากสร้อยประคำในมือที่ขยับอย่างช้าๆ ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอื่น อีกคนที่นั่งหันหลังให้บันไดดูร่างผอมเล็กเมื่ออยู่ในจีวรตัวใหญ่โคร่ง โกนศีรษะโล้นแล้วเช่นกัน เสียงสวดมนต์ของผู้หญิงก็มาจากนางนั่นเอง
จีวรไม่ได้สะอาดใหม่เอี่ยมเหมือนจีวรบนตัวศีลแปด จีวรบนตัวทั้งสองเก่าจนดูไม่ได้ ศีลแปดที่เดินไปตรงหน้าทั้งสองยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับยืนเผชิญหน้าขอทานสองคน ภาพนี้ฉากนี้ทำให้เหมียวอี้เห็นแล้วคันฟันหมั่นไส้ เขารู้สึกว่าถ้าตัวเองเป็นไต้ซือศีลเจ็ด ก็จะต้องหักขาเจ้าศิษย์อกตัญญูคนนี้แน่นอน
ในวัดดำมืด เหมียวอี้และอวี้หลัวช่าที่ไม่สามารถใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไม่เห็นสภาพข้างในชัดเจน
ศีลแปดมองเข้าไปในประตูใหญ่ของวัด พร้อมบอกว่า “อาจารย์ มีคนมาเยี่ยมท่านแล้ว”
ศีรษะโล้นของปีศาจโลหิตตากแดดจนกลายเป็นสีน้ำตาล ใบหน้าก็ดำคล้ำเช่นกัน นางราวกับไม่สนใจสิ่งเร้าภายนอก กำลังตั้งใจสวดมนต์อย่างเคารพเลื่อมใส ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของศีลแปด
เหมียวอี้มองปีศาจโลหิตที่อยู่ตรงหน้า ตอนนี้ความรู้สึกของเขาซับซ้อนมาก ยังนึกถึงฉากที่ตัวเองกับจงหลีค่วยพบปีศาจโลหิตครั้งแรกได้ ปีศาจโลหิตในตอนนั้นแปลกประหลาดอัศจรรย์ ทั้งตัวเต็มไปด้วยเสน่ห์ของมารปีศาจ งดงามมากด้วย ความน่าทึ่งของค่ายกลมารโลหิตก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างทั้งสองในอดีตยังคงติดตามเหมือนเกิดขึ้นใหม่ แต่บนตัวปีศาจโลหิตในตอนนี้ไม่มีกลิ่นอายของมารปีศาจแม้เพียงครึ่งเดียว ความงดงามในอดีตก็เสื่อมถอยหมดแล้ว กำลังหลับตาด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น ผิวที่ตากแดดจนดำคล้ำก็เหมือนสตรีวัยกลางคนที่เป็นชาวนาในโลกมนุษย์
ชีวิตคนเหมือนการเล่นหมากล้อมจริงๆ ทำให้เหมียวอี้ทอดถอนใจไม่หยุด เพียงชั่วพริบตานี้ เหมียวอี้ไม่เกิดความคิดที่จะล้างแค้นปีศาจโลหิตอีกแล้ว
พอได้ยินเสียงศีลแปด เหมียวอี้ก็รีบมองไปที่ไต้ซือศีลเจ็ด
ไต้ซือศีลเจ็ดลืมตาขึ้นช้าๆ พอเห็นเหมียวอี้ก็ทำสีหน้าตะลึงงันทันที เห็นได้ชัดว่าประหลาดใจ ไม่ค่อยกล้าเชื่อว่าเหมียวอี้จะมาปรากฏตัวที่นี่ได้ มือที่คีบสร้อยประคำไข่มุกประนมมือกล่าวว่า “อามิตตาพุทธ” บนใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนๆ พูดน้อยลงกว่าเมื่อก่อนมาก
สำหรับท่านนี้ เหมียวอี้รู้สึกเคารพเลื่อมจากใจมาตลอด ท่านนี้สิถึงจะเป็นชาวพุทธที่มีเมตตาธรรมยิ่งใหญ่ในสายตาเขาอย่างแท้จริง ยามต้องสละตัวเองเพื่อปกป้องสัจจธรรมก็ไม่เคยแสดงความอ่อนแอ ที่พิภพเล็กไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรม ล้วนไม่มีใครว่าอะไรท่านนี้ได้ ไม่ใช่ชาวพุทธที่มือถือสากปากถือศีลแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังดูแลเจ้ารองมาหลายปี เป็นเพราะท่านนี้มีเมตตาจิต ถ้าเปลี่ยนให้อาจารย์คนอื่นเจอกับลูกศิษย์อย่างเจ้ารอง ไม่โดนทอดทิ้งก็แปลกแล้ว มีหรือที่จะยอมให้เจ้ารองก่อเรื่องซี้ซั้วเป็นเวลานาน ในขณะที่รู้สึกเคารพ ก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณจากใจ เหมียวอี้โค้งตัวประนมมือด้วยความเคารพ “ไต้ซือ พบกันอีกแล้ว”
อวี้หลัวช่าที่อยู่ข้างกันเห็นฉากนี้แล้วประหลาดใจอยู่บ้าง ตามที่นางรู้มา สิ่งต่างๆ ที่หนิวโหย่วเต๋อทำที่ตำหนักสวรรค์ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เป็นคนที่กล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับขุนนางใหญ่ทั้งตำหนักสวรรค์ ต่อให้เผชิญหน้ากับตนในเมื่อก่อน การพูดการจาก็ไม่แสดงความอ่อนข้อเลยสักนิด แต่ตอนนี้กลับแสดงความเคารพอย่างจริงใจ เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นจริงๆ นางอดไม่ได้ที่จะมองประเมินไต้ซือศีลเจ็ดอย่างจริงจัง
ไต้ซือศีลเจ็ดมองอวี้หลัวช่าแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าเบาๆ พร้อมประนมมือทักทาย อวี้หลัวช่าจีบนิ้วตรงหน้าอกเพื่อทักทายกลับ
ในขณะนี้เอง จู่ๆ ในวัดก็พลันระเบิดยิงแสงสีทองออกมา ดึงดูดความสนใจของเหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าทันที ทั้งสองรีบหันมอง
ในประตูวัดที่ก่อนหน้านี้ยังดำมืดว่างเปล่า ตอนนี้ปรากฏเงาร่างคนสีทองคนหนึ่ง อีกฝ่ายตัวสูงใหญ่ ห่มจีวรเฉียงเปลือยไหล่ข้างเดียว เปลือยแขนและสองเท้า ราวกับเป็นรูปปั้นทองในวัด ทั้งตัวราวกับฉาบด้วยผงทอง ใบหน้าอยู่ภายใต้แสงสีทองเหมือนจะเห็นไม่ชัดเจน จมูกโด่งสันเป็นคม กระดูกโหนกแก้มสูง ริมฝีปากใหญ่หนา แก้มตอบ ในดวงตาสองข้างมีแสงสีทองรุ่งโรจน์ ราวกับมีเปลวเพลิงสีทองในดวงตา น่าสะพรึงมาก
ต่อให้ถูกควบคุมอยู่ในวัด แต่ความรู้สึกกดดันอย่างที่บรรยายเป็นคำพูดได้ยากนั้นทำให้คนหวาดระแวงกลัว
อุณหภูมินอกวัดเหมือนจะลดลงในชั่วพริบตาเดียว ลมหนาวยะเยือกเริ่มพัดวูบ พัดฝุ่นดินบนพื้นให้ปลิวขึ้นมา
ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่านี่คือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโป เหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าแทบจะหยุดหายใจพร้อมกัน จ้องเงาคนสีทองข้างในไม่ละสายตา ขนาดอยู่ในสภาพนี้แล้วยังทำให้คนรู้สึกกดดันขนาดนี้ได้ ทั้งสองจินตนาการได้เลยว่าตอนยังมีชีวิตอยู่คนคนนี้มีพลังอำนาจขนาดไหน ตำนานร่ำลือกันว่าเจ้าหมอนี่ตั้งตัวเองเป็นเทพสูงสุด มองสรรพสิ่งในใต้หล้าราวกับเป็นมด
ทั้งสองรู้สึกได้ว่าสายตาเพลิงสีทองคู่นั้นกำลังจ้องประเมินพวกเขาอยู่ แม้จะเห็นสายตาของอีกฝ่ายไม่ชัดเจน แต่กลับรู้สึกได้ถึงความเคียดแค้นในสายตาอีกฝ่าย
“มีมาเนอเวิง…” จู่ๆ ทั้งสองก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ที่เร่งรีบดังขึ้น เสียงดังก้องอยู่ในหัวสมอง ไม่นานก็ก่อรูปเป็นน้ำวนสายหนึ่ง ใต้น้ำวนราวกับเป็นห้วงลึกไรที่สิ้นสุด จิตสำนึกของทั้งสองจมดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว
จิตสำนึกที่จมดิ่งกลับมาได้สติอีกครั้งในชั่วพริบตาเดียว ภาพตรงหน้าที่เหมียวอี้เห็นก็คือไต้ซือศีลเจ็ดกับศีลแปดกำลังยิ้มกริ่มคลั่งไคล้ ท่าทางเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว พวกเขากำลังถอดเสื้อผ้าของอวิ๋นจือชิวกับเยว่เหยา ผู้หญิงสองคนนี้กำลังร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน ส่วนปีศาจโลหิตก็กำลังถือดาบตัดคอหงเฉินและอนุภรรยาคนอื่นๆ เสียงเรียงโหยหวนดังต่อเนื่อง เหมียวอี้มองจนตาแทบถลนออกมา
อวี้หลัวช่าไม่รู้ว่าเห็นอะไร ดวงตางามเบิกกว้าง ในดวงตาเต็มไปด้วยเลือดแดง นิ้วทั้งสิบสั่นเทิ้มขณะมองไต้ซือศีลเจ็ด ศีลแปดและปีศาจโลหิต เหมือนอยากจะพุ่งเข้าไปสู้ตาย
ศีลแปดหันกลับมามองเหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าที่เอามือกุมศีรษะเป็นระยะ จากนั้นชักกระบี่ตรงเอวออกจากฝัก แล้วขว้างไปที่ผนังวัดอย่างแรง
แกร๊ง…
ทันใดนั้นในวัดก็มีเสียงระฆังดัง เงาคนสีทองในประตูวัดกรีดร้อง “อา” เอามือกุมศีรษะพลางโซเซถอยหลัง ราวกับถูกของหนักทุบศีรษะ
ปีศาจโลหิตที่กำลังนังขัดสมาธิสวดมนต์ประนมมือเปล่งเสียงดังขึ้น เสียงสวดมนต์ดังขึ้นในชั่วพริบตาเดียว
ไต้ซือศีลเจ็ดที่นั่งขัดสมาธิรีบประนมมือ เปล่งเสียงสวดมนต์ดังขึ้น
เหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าเดินโซเซเล็กน้อย ใบหน้าซีดขาวเหงื่อท่วมตัว หลับตาและสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
ศีลแปดที่โยนกระบี่ออกไปรีบหันตัวมา เดินมาตรงหน้าทั้งสองแล้วโบกกระบอกแขนเสื้อ นิ้วทั้งสิบที่อยู่ในแขนเสื้อรีบจีบเป็นมุทรา เหมือนกับมุทราคีบบุปผาของอวี้หลัวช่า จู่ๆ ก็มุทราคีบบุปผาก็แบ่งเป็นสองอัน ไปแตะตรงหว้างคิ้วเหมียวอี้กับอวี้หลัวช่า ปากก็พึมพำต่อเนื่องกันว่า “มิใช่มารมิใช่เคราะห์ ไม่ยึดติดไม่เพ้อฝัน ไร้ฝุ่นไร้ราคี ไม่สัมผัสไม่คล้อยตาม อย่ารักอย่าโกรธ ยากจะหาจุดเริ่มต้น ยากจะหาจุดจบ หยิบยื่นบุปผา เป็นเพียงฝันฉากหนึ่ง…”
หลังจากทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา พอกล่าวถึงประโยคสุดท้าย ศีลแปดก็เรียกได้ว่าตะคอกอย่างเด็ดขาด การตะคอกที่เหมือนตีแสกหน้า เหมียวอี้กับอวี้หลัวช่าที่ตื่นรู้ก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว ทั้งคู่ลืมตาขึ้นช้าๆ สายตากลับมาแจ่มแจ้ง มองศีลแปดพร้อมหายใจอย่างร้อนรน เหงื่อบนใบหน้ายังคงไหล เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ก็เหมือนกับประโยคสุดท้ายที่ศีลแปดตะคอก เป็นเพียงฝันฉากหนึ่ง! ทั้งสองราวกับตื่นขึ้นจากฝันร้าย
ศีลแปดวางมือสองข้างลง แล้วประสมมือกล่าวว่า “อามิตตาพุทธ!”
เหมียวอี้กับอวี้หลัวช่ามองเข้าไปในวัดอีกครั้ง วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปนั่งสมาธิแล้ว แสงทองที่ส่องจากตัวอ่อนจางลงแล้วเช่นกัน เปลี่ยนแสงเป็นสลัว แต่ฉากเมื่อครู่นี้ยังทำให้ทั้งสองหวาดกลัวอยู่เลย ในใจทั้งสองรู้ดีมาก ว่าเมื่อครู่เกือบถูกพระปีศาจหนานโปควบคุมแล้ว เกือบจะพุ่งเข้าไปช่วยเขาสู้กับศีลเจ็ด ศีลแปดและปีศาจโลหิต
เสียงสวดมนต์ที่ดุเดือดของไต้ซือศีลเจ็ดและปีศาจโลหิตขึ้นลงพร้อมกันเป็นจังหวะ ไม่เพียงแค่ทำให้แสงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจหนานโปค่อยๆ มืดลงเท่านั้น แต่ช่วยปลอบประโลมอารมณ์ตื่นตระหนกของเหมียวอี้และอวี้หลัวช่าอย่างรวดเร็วด้วย
“เจ้าได้ชื่อว่าเป็นพุทธะหน้าหยกไม่ใช่เหรอ? ทำไมตกหลุมพรางง่ายขนาดนี้ล่ะ?” ศีลแปดจ้องอวี้หลัวช่าอย่างค่อนข้างดูถูก
อวี้หลัวช่าขยับปากจะเถียง แต่เมื่อเทียบกับอีกฝ่ายแล้ว สุดท้ายก็ไร้ความสามารถเถียงอะไรได้
ศีลแปดหันตัวเดินไปทางประตูวัด จ้องวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างในพลางแสยะยิ้ม เขาเก็บกระบี่มาใส่ไว้ในฝักข้างเอวก่อน จากนั้นทิ้งคนที่เหลือเอาไว้และหันตัวเดินอ้อมไปอีกฝั่งของวัด เขาหายไปครู่เดียว รอจนเขากลับมาอีกครั้ง ในมือก็ถือค้อนเหล็กอันใหญ่มาจากไหนก็ไม่รู้ เขาใช้ด้ามค้อนยืนกระทุ้งอยู่ตรงประตู มือหนึ่งจับด้ามค้อน อีกมือเท้าเอว จ้องวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างในอย่างเย็นเยียบดุร้าย เพียงแต่เมื่อรวมกับจีวรบนตัวแล้วดูขัดกัน
ศีลแปดกล่าวทักข้างในว่า “จนป่านนี้แล้วยังไม่ล้มเลิกความคิดชั่วร้ายอีกเหรอ? เฒ่าจัญไร เจ้าคิดว่าพ่อมาอยู่ประดับที่นี่เฉยๆ เหรอ?”
วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่นั่งสมาธิพลันลืมตา สายตาเพลิงสีทองปรากฏอีกครั้ง เมื่อคนลุกขึ้นยืน แสงทองบนตัวพลันสาดส่อง ลอยมาตรงประตู อยู่ห่างจากศีลแปดเพียงหนึ่งช่วงแขน แล้วกล่าวเสียงดังก้อง “เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก เหตุใดต้องลำบากทำสิ่งไร้ประโยชน์ ยิ่งเจ้าล่วงเกินข้าฝังลึกมากเท่าไร ในอนาคตหลังจากข้าออกไปได้แล้ว เจ้าก็ยิ่งมีจุดจบอนาถ เจ้าไม่เข้าใจเชียวเหรอ? เจ้าเชื่อมั้ยว่าข้าจะทำให้เจ้าทรมานเวียนวายตายเกิดอยู่ในทะเลทุกข์ตลอดไปทุกชาติภพ?”
ปีศาจโลหิตกับไต้ซือศีลเจ็ดแทบจะหยุดสวดมนต์พร้อมกัน พวกเขาเอียงหน้ามองศีลแปด ไต้ซือศีลเจ็ดถอนหายใจ “ศีลแปด!” เหมือนตั้งใจจะห้าม
แต่ศีลแปดไม่สนใจเขาเลย จ้องเพียงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พลางพูดเย้ย “บ่นมาเป็นชุด เจ้ากลัวหรือไม่มั่นใจเข้าแล้วล่ะ? คุกเข่าขอร้องข้าสิ ไม่อย่างนั้นอาตมาจะให้เจ้าทรมานซะเดี๋ยวนี้เลย!”
“เด็กไม่รู้ความ ไม่รู้จักพลานุภาพ…” เสียงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ดังก้อง
ยังไม่ทันพูดจบ ศีลแปดก็ถ่มน้ำลายแล้วด่าว่า “ชาติสุนัข!”
ไม่น่าเชื่อว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะเถียงไม่ออก โมโหจนเสียงสั่น ทว่าได้รับรู้ฝีปากของศีลแปดมานานแล้ว ถ้าพูดถึงการด่า เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศีลแปดเลยจริงๆ ต่อให้ตอนมีชีวิตอยู่เขาจะวางอำนาจบาตรใหญ่ในใต้หล้า แต่เขาก็รู้ว่าถ้าตัวเองกล้าต่อปากต่อคำ ก็จะได้ยินสิ่งที่ไม่น่าฟังเอามากๆ ทันที
“ตกต่ำจนกลายเป็นนักโทษแล้ว ยังกล้ามาอวดอ้างพลานุภาพต่อหน้าปู่อีกเหรอ เจออานุภาพของปู่เจ้าสักยกก่อนเถอะ!” ศีลแปดพูดเหยียดหยาม แล้วถือค้อนเดินไปข้างๆ แล้วใช้สองมือควงค้อนทุบกำแพงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
แกร๊งๆๆ…
แขนเสื้อจีวรสะบัดไม่หยุด ทุบค้อนแล้วค้อนเล่า
แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง…
เสียงระฆังในวัดดังก้องไม่หยุด
“อา…” วิญญาณศักดิ์สิทธิ์เอามือกุมศีรษะทันที เสียงกรีดร้องโหยหวนปนเสียงระฆัง ทั้งตัวโซเซไปมาอยู่ในวัด ทำท่าเหมือนทรมานจนทนไม่ไหว แสงทองบนตัวมืดสลัวลง ร่างกายสีทองเปลี่ยนเป็นสีเทาอยู่ภายใต้เสียงระฆังที่ดังต่อเนื่อง เหมือนหินหนืดภูเขาไฟที่ค่อยๆ เย็นตัวลงแต่กลับเห็นไฟอยู่ข้างในผ่านรอยแยก วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ดิ้นรนร้องครวญครางอย่างทุกข์ทรมาน
…………………