พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - บทที่ 1980 ปิดบัง
เหมียวอี้เองก็หวังอย่างนี้ จึงถามหยั่งเชิงว่า “ไม่ทราบว่าพลังของทั้งสองถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรือยัง มีหนทางกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พระปีศาจหรือเปล่า?”
“คนที่อยู่ระดับเดียวกับสามเซียนได้ ย่อมมีจุดที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว พวกเขาสองคนก็เป็นศิษย์ของสามเซียนเหมือนกัน ประมุขชิงฝึก ‘เคล็ดวิชาฟ้าครามทั่วหล้า’ ประมุขพุทธะฝึกตน ‘มหาเวทอเวจี’ ทั้งยังมี ‘วิชาอัคนีดารา’ ที่เจ้าฝึกอีก ทั้งหมดล้วนกำจัดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้!” เฟิ่งกล่าว
เหมียวอี้จดจำเงียบๆ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เคยดูสถานการณ์อีกทีแล้วกัน” เรื่องบางเรื่องเขาไม่สะดวกจะพูดรายละเอียดมากเกินไป
เขาเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นาน หลังจากออกจากรังหงส์ ก็ขี่ตั๊กแตนทมิฬเร่งไปยังทางออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ส่วนถ้ำมังกรนั้นห่างไกลเกินไป ที่นี่ไม่ใช่ดาราจักร เหาะได้ช้าเกินไป ถ้าไปที่นั่นก็สิ้นเปลืองเวลามาก ทำได้เพียงฝากฝังให้เฮยทั่นบอกลาเทพมังกรแทนเขา
เฮยทั่นกลายร่างเป็นคนเมื่อสองหมื่นปีก่อนแล้ว ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายมีระฆังดาราใช้ติดต่อกันสะดวก
ทว่ารอจนกระทั่งเหมียวอี้ไปถึงทางออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทั้งดำทั้งอ้วนก็กำลังเดินไปเดินมาอยู่ตรงใกล้ๆ ทางออกแล้ว ชายหนุ่มที่ทั้งดำทั้งอ้วนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน คือเฮยทั่นทีวีวัฒนาการเป็นคนแล้ว ตาโตมาก กลอกตาลอกแลกเหมือนโจรเป็นระยะ เป็นคนประเภทที่มองปราดเดียวก็รู้สึกไม่ไว้วางใจ
ตั๊กแตนทมิฬบินลงมาจากฟ้า เหมียวอี้เทียบรองพื้นเก็บตั๊กแตนทมิฬ จ้องเฮยทั่นอย่างเย็นเยียบ
เฮยทั่นหัวเราะแห้ง ถูไม้ถูมืออย่างค่อนข้างกระวนกระวาย พอเขาได้รับข่าวจากเหมียวอี้ว่าให้เขาไปบอกลาเทพมังกร เขาก็บอกลาเทพมังกรสองสามประโยคแล้วออกจากถ้ำมังกรมาที่นี่ทันที รีบไปตลอดทางจนในที่สุดก็ถึงก่อนเหมียวอี้แล้ว
“เจ้าจะถ่อมาที่นี่ทำไม?” เหมียวอี้ถามเสียงเย็น
เฮยทั่นใช้สองมือกุมท้องใหญ่กลม แล้วตอบอย่างเก้อเขิน “นายท่านออกไปคนเดียวข้าไม่วางใจ ข้าจะคุ้มกันส่ง เหอะๆ คุ้มกันส่ง”
เหมียวอี้จ้องเขาโดยไม่พูดอะไร อาศัยตำแหน่งและวรยุทธ์ของตัวเองในตอนนี้ สายตาค่อนข้างให้ความรู้สึกกดดันคนอื่น
เฮยทั่นกินปูนร้อนท้อง ไม่กล้าสบตากับเขา ไม่รู้จะหลบสายตาไปไหน จึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นน้อยเนื้อต่ำใจ “นายท่าน ข้าอยู่ที่นี่คนเดียวน่าเบื่อเกินไป พาข้าออกไปเที่ยวเล่นหน่อยเถอะ”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ครั้งก่อนข้าก็พาเจ้าออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ? มีอะไรน่าเที่ยว!”
ที่เขาบอกหมายถึงครั้งก่อนที่ทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์มาปราบวิญญาณชั่วร้ายที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ครั้งนั้นไม่ใช่แค่เฮยทั่น แม้แต่เทพสตรีทั้งสองก็ถูกเขาพาออกมาด้วย
เฮยทั่นทำสีหน้าเหมือนอยากจะยกนิ้ว “นั่นมันเกือบสองหมื่นปีก่อนแล้ว ได้ออกไปแค่รอบนั้นอง แล้วอีกอย่าง ออกไปแค่ไม่กี่วันเอง…”
“หุบปาก!” เหมียวอี้ตัดบท ตะคอกว่า “เจ้าเวรนี่ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว มีคนตั้งมากมายเท่าไรที่อยากได้สภาพแวดล้อมในการฝึกตนที่สงบแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะข้ามีเรื่องมารบกวร ก็อยากจะจดจ่อฝึกตนอยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่ดูเจ้าสิ ความสุขอยู่รอบกาย แต่กลับไม่รู้ว่านั่นคือความสุข ไสหัวกลับไปฝึกตนเดี๋ยวนี้!”
เฮยทั่นหน้าแตกทันที ยื่นนิ้วออกมาหนึ่งนิ้วอย่างน่าสงสาร กล่าวขอร้องว่า “แค่ครั้งเดียว แค่ออกไปเที่ยวครั้งเดียว ตกลงมั้ย?”
“รอให้พลังของเจ้าถึงระดับสำแดงฤทธิ์ก่อน แล้วเจ้าอยากจะเที่ยวเล่นยังไงก็ได้” เหมียวอี้กล่าวเสียงเย็นชา
“หา! นั่นต้องรออีกตั้งกี่ปีกัน! ข้าหัวช้าแต่กำเนิด ข้าทำไม่ได้หรอก!” เฮยทั่นร้องโวยวาย
“ข้าจะพูดอีกครั้ง กลับไปฝึกตน!” เหมียวอี้กล่าวอย่างไร้ไมตรี
“ไม่ไป!” เฮยทั่นหย่อนก้นนั่งบนพื้น กระทืบสองเท้า พาลพูดว่า “ต่อให้ตีให้ตายข้าก็ไม่ไป!”
ชวิ้ง! ทวนเกล็ดย้อนปรากฏอยู่ในมือ เหมียวอี้ถือทวนประชิดเข้ามา
เฮยทั่นเหล่ตามอง ทำสีหน้าไม่ถูก ในปีนั้นตอนยังไม่กลายร่างเป็นคน รสชาติของการโดนทวนแทงยังชัดเจนเหมือนเกิดขึ้นใหม่ มันรีบดีดตัวขึ้นมา แล้วเหาะขึ้นฟ้าไปในชั่วพริบตาเดียว
เหมียวอี้เก็บทวน หลังจากใส่หน้ากากแล้วก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อผังก้วน ผังก้วนบอกให้เขารอ
รอจนกระทั่งผังก้วนตอบกลับมา เขาก็ถลันตัวหายไป เข้าไปในสุญญากาศที่มีรอยแยกแล้ว
ผ่านไปครู่เดียว เงาร่างของเฮยทั่นก็ปรากฏอยู่บนยอดเขาไกลๆ มันนั่งลงช้าๆ ทอดสายตามองไปที่ทางออกด้วยสีหน้าเศร้าสลด…
ลำแสงสีขาวหมุนวน ทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ปิดอีกครั้ง เงาร่างของเหมียวอี้หายเข้าไปในจุดลึกของดาราจักร
เหาะด้วยความเร็วอยู่ในดาราจักรตลอดทาง ตอนที่หยุดอีกครั้งก็มาโผล่อยู่ใต้ดินในดาวพิษแล้ว อยู่นอกประตูคลังสมบัติสำนักหนานอู๋
พอใช้ระฆังดาราติดต่อกับศีลแปด ก็ทำตามที่ศีลแปดแนะนำ เหมียวอี้กดตัวอักษรบนประตูถ้ำทีละตัว
ไม่นานประตูก็เปิดออก ศีลแปดยืนต้อนรับอยู่ข้างในด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ท่าทางเกรงอกเกรงใจ “พี่ใหญ่ ในที่สุดท่านก็มาพบข้าแล้ว หลายปีมานี้ข้าเก็บกดจะแย่” พูดจบก็ตาแดงก่ำ น้ำตาไหลออกมา กอดเหมียวอี้พลางร้องไห้อย่างปวดใจ
ที่จริงเหมียวอี้ก็มาหาเขาหลายรอบแล้ว นำของมาให้เขานิดหน่อย
เหมียวอี้รู้สึกสะท้อนใจ ผลักเขาออกแล้วใช้สองมือประคองไหล่เขา “ข้ารู้ว่าเจ้าทรมานที่ถูกขังอยู่ในนี้ แต่ข้าก็หวังดีกับเจ้าเหมือนกัน รอให้เจ้าฝึกพุทธธรรมที่นี่สำเร็จ ารฝึกตน ใต้หล้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ เจ้าอยากจะไปที่ไหนก็ได้”
“อืม!” ศีลแปดพยักหน้าซ้ำๆ ปาดน้ำตาแล้วบอกว่า “อาตมาเข้าใจเหตุผลพวกนี้”
เหมียวอี้ตบบ่าเขา แล้วเขาไปสำรวจดูทุกที่ในคลังสมบัติ
ศีลแปดที่ตามหลังเหมียวอี้กลับแอบปาดเหงื่อ คิดในใจว่าเสี่ยงมาก เขาเพิ่งมาถึงที่นี่ก่อนเหมียวอี้ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พอได้ข่าวจากอวี้หลัวช่าเรื่องศีลเจ็ด เขาก็เดาออกแล้วว่าเหมียวอี้อาจจะมาที่นี่ จึงดิ้นรนรีบกลับมาอย่างสุดชีวิต โชคดีที่ในที่สุดก็กลับมาถึงก่อนเหมียวอี้ ไม่อย่างนั้นอาจจะโดนหักขาก็ได้
อวี้หลัวช่าเองก็ช่วยเขาปิดบังเรื่องที่แอบพบกับนางเช่นกัน ศีลแปดบอกไว้แล้ว ว่าถ้าให้พี่ใหญ่รู้ เขาก็ไม่มีทางแอบออกไปเจอนางได้อีก นางจึงช่วยปิดบังให้เขา
หารู้ไม่ ศีลแปดแค่ไปหาอวี้หลัวช่าเป็นบางครั้งเท่านั้น ที่จริงเวลาส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่คลังสมบัติ และไม่ได้อยู่ข้างกายอวี้หลัวช่าเช่นกัน
เหมียวอี้ที่เดินดูไปรอบๆ หยุดฝีเท้าแล้วกันมาถาม “เจ้าไม่ได้แอบออกไปหรอกใช่มั้ย?”
จากคำพูดเขาทำให้ฟังออกว่าไม่ไว้ใจศีลแปด
ศีลแปดถลึงตาทันที “พี่ใหญ่ ท่านพูดจาไร้เหตุผลจริงๆ อาตมาก็อยากจะออกไปโปรดสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงทุกข์ แต่เปิดคลังสมบัตินี้จากข้างในไม่ได้เลย ทำได้เพียงเปิดจากด้านนอก ถ้าพี่ใหญ่ไม่เชื่อ ก็ลองขังตัวเองอยู่ในนี้ดู อาตมาจะคอยดูว่าท่านจะออกไปได้ยังไง”
เหมียวอี้เชื่อเขาไปก่อน ถามว่า “วรยุทธ์เป็นยังไงบ้างแล้ว?”
ศีลแปดยื่นสองนิ้ว ตอบปนเสียงหัวเราะแห้ง “ขั้นสอง บงกชทองขั้นสอง บรรลุถึงระดับบงกชทองขั้นสองแล้ว”
เหมียวอี้หน้าดำทันที “ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แต่เพิ่งถึงบงกชทองขั้นสอง นี่เจ้าฝึกตนยังไง?”
ศีลแปดถอนหายใจ “นี่ก็ไม่ขี้เกียจแล้วนะ อาตมาเองก็อยากได้ระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเหมือนกัน แต่พุทธธรรมไม่ได้ฝึกง่ายขนาดนั้น ถ้าฝึกง่ายขนาดนั้น สำนักหนานอู๋คงไม่โดนพระปีศาจหนานโปกำจัดหรอก ท่านว่ามั้ยล่ะ?”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว มองไปที่ภาพบนกำแพงรอบๆ คลังสมบัติ
ศีลแปดกลัวว่าเขาจะพบพิรุธอะไร รีบเปลี่ยนประเด็นสนทนา “พี่ใหญ่ เรื่องอาจารย์ของข้า อวี้หลัวช่าส่งข่าวมาบอกข้าแล้ว ท่านมาเพราะเรื่องนี้เหรอ?”
เขาเบี่ยงเบนความสนใจเหมียวอี้สำเร็จแล้ว เหมียวอี้อันไปมองเขา พยักหน้าบอกว่า “ตำหนักสวรรค์กำลังจะหาที่นี่พบ เรื่องฝึกตนเอาไว้ก่อน เจ้าก็ออกไปด้วยกันสักรอบ ทุกคนช่วยกันคิดหาทาง หาวิธีโน้มน้าวให้ไต้ซือศีลเจ็ดออกไปจากที่นี่ ดูว่าจะแก้ไขปัญหาเรื่องสถานที่ผนึกได้หรือเปล่า”
ศีลแปดไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “อาตมายังไปไม่ได้หรอกมั้ง ช่วงนี้อาตมาเหมือนใกล้จะบรรลุพุทธธรรมไร้ขอบเขตแล้ว” เขาชี้นิ้วไปรอบๆ หาข้ออ้างสักอย่าง ที่จริงไม่อยากออกไป ประเด็นคือไม่อยากเจอลูกชายตัวเอง ยังไม่ได้เตรียมใจจะเผชิญหน้า หลายปีมานี้เขาหลบเลี่ยงมาตลอด
ทว่าหัวหน้าครอบครัวอย่างเหมียวอี้ตามใจเขาไม่ได้ คว้าแขนเขาดึงออกไปเสียเลย ศีลแปดวรยุทธ์บงกชทองขั้นสอง เมื่อสู้กับวรยุทธ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ก็ไม่มีทางเหลือให้ขัดขืนเลย โดนหิ้วไปราวกับลูกไก่ตัวหนึ่ง…
อวี้หลัวช่านัดไว้แล้วว่าจะไปด้วยกัน ถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากอวี้หลัวช่า สองพี่น้องก็ไม่สะดวกจะเข้าใกล้สถานที่ผนึก เพราะกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่กำลังตรวจค้นยังอยู่
สานที่นัดเจอของทั้งสามก็คือจุดลับตาคนนอกอารามแปดทิศ เดิมทีอารามแปดทิศก็อยู่ที่น่านฟ้าเถาะติงอยู่แล้ว นับเป็นจุดเริ่มต้นไปการไปสถานที่ผนึก
บนเกาะแห่งหนึ่ง ทั้งสามเจอหน้ากันแล้วคุยกันสักพัก อวี้หลัวช่าเห็นเหมียวอี้แล้วรู้สึกผิดนิดหน่อย
ฉวยโอกาสตอนนี้เหมียวอี้ไม่ได้สนใจ อวี้หลัวช่าถลึงตาใส่ศีลแปดอย่างดุดัน สาเหตุที่รู้สึกผิดก็เพราะตัวเองกำลังช่วยศีลแปดหลอกลวงเหมียวอี้
ศีลแปดกลับส่งสายตาคลุมเครือมีเลศนัยให้ อวี้หลัวช่ามองเงาหลังเหมียวอี้อย่างหวาดกลัว กังวลว่าจะถูกจับได้
พอนึกได้ว่าพุทธะหน้าหยกผู้สง่าผ่าเผยอย่างตนกลัวเหมียวอี้ขนาดนี้ อวี้หลัวช่าก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็โทษศีลแปดคนเดียวไม่ได้ นางเองก็มีส่วนรับผิดชอบ
ไม่ได้อยู่ที่นี่นาน สุดท้ายเหมียวอี้กับศีลแปดก็เข้าไปในกระเป๋าสัตว์ของอวี้หลัวช่า แล้วอวี้หลัวช่าก็เหาะพุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
เดินทางราบรื่นตลอดทาง ผ่านด่านกองทัพองครักษ์ไปอย่างง่ายดาย มุ่งตรงไปยังดาวเคราะห์เป้าหมาย
หลังจากหลบหูตากองทัพองครักษ์ได้แล้ว อวี้หลัวช่าก็ปล่อยทั้งสองออกมา เหาะฝ่าชั้นบรรยากาศไปด้วยกัน ไปเหยียบลงบนดาวเคราะห์ที่โบราณทว่างดงาม
ทั้งสามไปถึงนอกวัดแห่งหนึ่ง อวี้หลัวช่ารีบเดินเข้าไป เหมียวอี้กับศีลแปดกลับเงยหน้ามอง ‘อาศรมซินหู’ บนประตูใหญ่แวบหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าวัดจะมีชื่อแบบนี้ สองพี่น้องสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็รู้สึกจนใจ
อีกฝ่ายเป็นมารดาและต้องการจะตั้งชื่อนี้ให้ได้ เหมียวอี้เองก็ไม่สะดวกจะพูดอะไร
เห็นได้ชัดว่าศีลแปดไม่อยากเข้าไป แต่โดนเหมียวอี้ผลักเข้าไปแล้ว ทั้งสองเจอกับปาไห่ที่ออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ นางคือปีศาจโลหิตนั่นเอง
“ศิษย์พี่ โยมหนิว” หลังจากปีศาจโลหิตทักทาย ก็ยื่นมือเชิญให้ตามนางเข้าไป
พอเข้ามาในลานบ้าน ก็เห็นอวี้หลัวช่าน้ำตานองหน้าแล้ว กำลังเงยหน้ามองหลังคาของอาคารหลักของวัด เหมียวอี้และศีลแปดก็เงยหน้ามองตามเช่นกัน
พระสงฆ์ผอมดำคนหนึ่งนั่งสมาธิอยู่บนหลังคา สีหน้าสงบเยือกเย็น หลับตานั่งสมาธิ หันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์ยามเย็น ราวกับไม่ได้ยินทุกสิ่งที่อยู่ภายนอก ราวกับเข้าสู่สภาวะไร้ตัวตน ราวกับกายใจหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินแล้ว ถ้าไม่สนใจก็คงมองข้ามไปเลยว่าบนหลังคายังมีคนอีกคนหนึ่ง
พระสงฆ์ผอมดำก็คือจางซินหู ลูกชายของศีลแปด ไต้ซือศีลเจ็ดตั้งฉายานามให้ว่าซินหู ไม่ได้ใช้ฉายานามของวิชาศีลตั้งชื่อ ไม่ได้รับเข้าเรียนวิชาศีล
เหมียวอี้เคยตามอวี้หลัวช่ากลับมาเยี่ยมครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นตั้งใจมาเยี่ยมซินหู หลังจากอวี้หลัวช่าพอจะเข้าใจศีลแปดบ้างแล้ว ก็ไม่ยอมให้ลูกชายฝึกวิชาศีล วิชาของนางเองก็ไม่เหมาะจะให้ลูกชายฝึก ได้ยินว่ากำลังหาเคล็ดวิชาดีๆ อยู่ ดังนั้นท่านลุงใหญ่อย่างเหมียวอี้จึงมอบของขวัญล้ำค่าให้ เมื่อเห็นซินหูได้รับอิทธิพลจากพุทธธรรมตั้งแต่ด็ก ชอบพุทธธรรม เหมียวอี้จึงมอบ ‘หฤทัยสูตรสุขาวดี’ ให้เขา
การกระทำของเหมียวอี้ทำให้อวี้หลัวช่าซาบซึ้ง นางย่อมรู้ว่าหกเคล็ดวิชาพิเศษไม่อาจเปิดเผยต่อภายนอกง่ายๆ แต่เมื่อใหญ่ท่านลุงใหญ่อย่างเหมียวอี้เอ็นดูลูกชายตัวเอง ทั้งยังแอบตกตะลึงในความรวยของเหมียวอี้ แม้แต่หฤทัยสูตรสุขาวดีทั้งชุดก็ยังหามาได้
มีเคล็ดวิชาฝึกตนระดับสุดยอดแบบนี้แล้ว ทั้งยังมีทรัพยากรฝึกตนของพุทธะหน้าหยกคอยช่วยเหลือ ตอนนี้ซินหูวรยุทธ์เหนือกว่าศีลแปดไปไกลแล้ว
…………………………